กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

ซูฉางเล่อมาบันทึกคำให้การที่สถานีตำรวจเสร็จแล้ว ก็ถือโอกาสสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เกี่ยวกับกลุ่มถานชี ถึงแม้จะไม่ได้เจอถานชีอีกครั้งแต่ก็รู้สึกพอใจมาก เขาก้าวออกจากสถานีตำรวจและหันไปมองป้ายข้างสถานีตำรวจอีกที ชายหนุ่มเดินเตร่อยู่แถวนั้นหนึ่งรอบ สุดท้ายก็มองหน้าร้านแห่งหนึ่งที่ปิดประตูเหล็กไว้บริเวณในซอยด้านหลังสถานีตำรวจนานพักใหญ่ จึงค่อยหันหลังกลับไปยังโรงแรมที่พักอย่างอ้อยอิ่ง
เขาหยิบคีย์การ์ดออกมาเปิดประตู เพิ่งก้าวเท้าเข้าห้องก็มีแจกันใบหนึ่งลอยลิ่วมาต้อนรับ ซูฉางเล่อเห็นจนชินชาเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เขาเดินเข้าห้องอย่างใจเย็นราวกับไม่เห็นอะไรสักอย่าง ส่วนแจกันใบนั้นก็หยุดชะงักกึกกลางอากาศก่อนที่จะกระแทกซูฉางเล่อ
ซูฉางเล่อเดินเข้ามาด้วยท่าทางเมินเฉยต่อแจกันดอกไม้ใบนั้น เด็กน้อยตัวอ้วนกลมสองคนกำลังตีกัน เวลานี้ห้องนั่งเล่นในห้องชุดสุดหรูของโรงแรมกลับมีสภาพเละเทะระเนระนาดราวกับถูกโจรยกเค้า
“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ” ซูฉางเล่อเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ข้าน้อยจะดูหนังขอรับ!”
“ก็ข้าน้อยจะเล่นเกม!”
ตุ๊กตาผิวขาวผ่องเป็นยองใยสองคนดูน่าจะอายุไล่เลี่ยกันประมาณห้าหรือหกขวบ ทำแก้มป่องพองลม ท่อนแขนเป็นปล้องเหมือนรากบัว คนหนึ่งใส่เอี๊ยมแดง อีกคนใส่เอี๊ยมขาว ราวกับกุมารทองบนภาพวาดไม่มีผิด
กุมารเอี๊ยมแดงมัดแกละหางม้าสองข้าง ใบหน้าดวงน้อยยู่ยี่แก้มป่องด้วยความโกรธแต่กลับดูน่ารักน่าชังเสียมากกว่า ส่วนกุมารเอี๊ยมขาวตัดผมสั้นไว้ผมหน้าม้าตรงเป๊ะ ใบหน้าขาวใสอมชมพู อวบอิ่มนุ่มนิ่มราวกับสามารถบีบน้ำออกมาได้ทั้งตัว
“ทำวัตรเย็นกันแล้วยัง” ซูฉางเล่อหลุดยิ้มออกมาทีหนึ่ง เขาหันไปมองกุมารน้อยทั้งสองด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
เด็กน้อยทั้งสองต่างอึ้งไปเล็กน้อย รีบวางรีโมตที่กำลังแย่งกัน แล้วก้มคำนับพร้อมกับกล่าวคำขอโทษพร้อมกันแต่โดยดี “ขอโทษขอรับศิษย์พี่ พวกเราจะไปทำเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ซูฉางเล่อโบกมือยิ้ม ๆ เพียงเสี้ยวพริบตาในห้องก็กลับมามีสภาพสะอาดเรียบร้อยดังเดิม เขาหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา หยิบรีโมตคอนโทรลที่เด็กน้อยทั้งสองแย่งกันอยู่นานมากดปิดโทรทัศน์
กุมารทั้งสองหันมาสบตากันทีหนึ่ง ต่างแปลกใจที่ไม่โดนศิษย์พี่ตำหนิ กุมารเอี๊ยมแดงทำขวัญกล้ากระโดดไปกอดเข่าศิษย์พี่ ดวงตากลมแป๋วกลอกกลิ้งไปมา “วันนี้ศิษย์พี่อารมณ์ดีเป็นพิเศษหรือขอรับ”
“ไปเจอเรื่องอะไรดี ๆ มาเหรอขอรับ” กุมารเอี๊ยมขาวก็รีบเข้ามาประจบประแจงด้วยเหมือนกัน
ซูฉางเล่อยกมือสองข้างหยิกแก้มกุมารไปคนละที “ไม่ถูกดุแล้วกินข้าวไม่ลงหรือยังไง”
กุมารเอี๊ยมแดงรีบยื่นมือออกมาบังหน้า กุมารเอี๊ยมขาวกลับยื่นหน้าอีกฝั่งมาตามความเคยชิน “ถ้าศิษย์พี่ชอบ ข้ายกแก้มอีกข้างให้ด้วยก็ได้นะขอรับ”
“ขี้ประจบ” กุมารเอี๊ยมแดงผลักกุมารเอี๊ยมขาวด้วยความขุ่นเคืองไปหนึ่งที ฝ่ายถูกผลักตีกลับอย่างโกรธ ๆ ทั้งคู่ซัดกันมะรุมมะตุ้ม
ซูฉางเล่อเห็นเด็กสองคนนี้ตีกันจนชิน จึงไม่สนใจที่ทั้งคู่มาซัดกันตุ้บตั้บอยู่ข้างขาเขา แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ฉานซิน จิ้งซิน ข้าวางแผนว่าจะอยู่ที่นี่ละ”
กุมารน้อยทั้งสองกำลังตีกันอย่างเมามัน พอได้ยินชายหนุ่มพูดคำนี้ก็หยุดชะงักทันที กุมารเอี๊ยมแดงชื่อฉานซิน ปีนขึ้นไปบนตัวซูฉางเล่อ “ศิษย์พี่หมายความว่าจะพักอยู่ที่โรงแรมต่อหรือขอรับ”
กุมารเอี๊ยมขาวชื่อจิ้งซิน หันไปมองฉานซินด้วยสายตาเชิงตำหนิทีหนึ่ง “ไม่ใช่สักหน่อย ศิษย์พี่หมายความว่าจะย้ายมาอยู่เมืองนี้ต่างหากเล่า ใช่ไหมขอรับ ศิษย์พี่”
“อืม ฉันถูกใจร้านอยู่ที่หนึ่ง พวกเราเปิดร้านที่นี่กันเถอะ” ซูฉางเล่อพูดยิ้ม ๆ
“ศิษย์พี่ ไหนบอกว่าจะไปอยู่ทางตะวันออกไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนใจปุบปับแบบนี้ล่ะขอรับ” ฉานซินเอียงคอถามด้วยความสงสัยระคนงงงัน
“ศิษย์พี่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือขอรับ” จิ่งซินรู้ว่าหากไม่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ซูฉางเล่อก็คงไม่เลือกอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่เช่นนี้ ในศตวรรษที่ผ่านมาบ้านเมืองต่าง ๆ เจริญก้าวหน้ามากขึ้น และอากาศก็มีมลพิษเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขานิยมไปอยู่ใกล้เขตป่าเขามากกว่า ทุก ๆ ยี่สิบจึงจะเปลี่ยนมาใช้ชีวิตในโลกมนุษย์สักครั้ง
“ข้าหาเขาพบแล้ว” ซูฉางเล่อแย้มยิ้ม ยื่นมือไปลูบหัวกลมป้อมของกุมารน้อยทั้งสอง น้ำเสียงร่าเริงและเบาสบาย
“ใครหรือขอรับ” ฉานซินและจิ้งซินประสานเสียงถามพร้อมกัน หน้าฉงนฉงายของทั้งสองทำให้เขาเห็นแล้วอดใจไม่อยู่ ต้องยื่นมือไปหยิกแก้มยุ้ย ๆ ของพวกเขาอีกที
“ซูฉางเล่อ ข้าหาเขาพบแล้ว” เขาพูดเสียงเบาหวิว มุมปากหยักโค้งบ่งบอกว่าอารมณ์ดีมาก “ต่อไปข้าจะใช้ชื่อนี้ และจะพักอยู่ที่เมืองนี้”
ฉานซินยังคงทำหน้างง เขาหันไปมองคู่หูตัวน้อย จิ้งซินติดตามซูฉางเล่อมานานกว่าฉานซินเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นก็นึกถึงถ้อยคำที่พระแม่เคยพูดไว้ก่อนที่เขาจะจากมา
“คนที่ศิษย์พี่พูดถึงก็คือ… หลวงจีนรูปนั้นงั้นเหรอ” จิ้งซินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“หลวงจีนรูปไหน” ฉานซินยังคงมีสีหน้าข้องใจ
“ก็รูปนั้นไงเล่า” จิ้งซินขึงตาใส่เขาไปทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงค่อย ๆ
“รูปไหน” ฉานซินยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก
จิ้งซินหรี่เสียงพูดให้เบากว่าเดิม “ร่างทองสยบหมื่นมารเมื่อหนึ่งพันหนึ่งร้อยปีก่อนนั่นไง”
“อ๋อ หลวงจีนเจียฟ่านนั่นเอง” ฉานซินครุ่นคิดอยู่นานมากกว่าจะนึกออก เขามองหน้าของซูฉางเล่อก็ดูอ่อนโยนดี ไม่เหมือนคนที่ซักถามอะไรไม่ได้สักหน่อย เด็กน้อยจึงใจกล้าเอ่ยถามออกไป “ศิษย์พี่ รู้จักกับเจียฟ่านหรือขอรับ”
“ข้ามีกรรมเก่าที่ติดค้างเขาไว้ บุญคุณยังมิได้ทดแทน ข้าจึงต้องชดใช้หนี้ให้เขา” ซูฉางเล่อไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาเพียงตบหัวเด็กน้อยทั้งสองเบา ๆ “พรุ่งนี้ข้าจะไปจัดการเรื่องหน้าร้านให้เรียบร้อย ส่วนพวกเจ้าทั้งสองไปทำวัตรเย็นให้เสร็จ ที่นี่เทียบกับที่เก่าไม่ได้ ในเมืองมีกล้องวงจรปิดติดไว้ทั่วไปหมด ออกไปข้างนอกต้องคอยระวัง เสื้อผ้าต้องใส่ให้เรียบร้อย ห้ามวิ่งไปวิ่งมาทั้งที่ยังโป๊อยู่อีกเด็ดขาด”
ฉานซินกลอกตาครุ่นคิดแล้วถามต่อ “ในเมื่อศิษย์พี่ต้องใช้ชื่อใหม่ ถ้างั้นแล้วพวกข้าน้อยล่ะขอรับ”
“ใช้ชื่อเดิมเหมือนเมื่อก่อนก็ได้” ซูฉางเล่อโบกมือปัด ๆ ตัดความรำคาญ “รีบไปทำวัตรเย็นกันได้แล้ว อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย”
“ขอรับ ศิษย์พี่” ฉานซินขานรับพร้อมกับจูงจิ้งซินวิ่งตื๋อเข้าห้องไป เขากระซิบถามคู่หูเบา ๆ “ศิษย์พี่มีกรรมเก่าอะไรกับเจียฟ่านงั้นเหรอ”
จิ้งซินสั่นหัวดิกราวกับแทมบูรีน “ห้ามถาม”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้ พระแม่ตรัสว่าห้ามถาม”
ครั้นฉานซินได้ยินว่า ‘พระแม่ตรัสว่าห้ามถาม’ ก็กลืนคำถามที่ว่า ‘หลวงจีนรูปนั้นวิญญาณแตกสลายไปแล้วมิใช่หรือ’ ลงคอไปทันที แล้วจูงจิ้งซินไปคุกเข่าทำวัตรเย็นบนเบาะรองนั่งแต่โดยดี
ซูฉางเล่อนับลูกประคำในมือด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา ลูกประคำไม้แต่ละลูกเป็นมันวาวราวกับหุ้มด้วยหยกสีเขียวเข้มไว้หนึ่งชั้น
เขาเกิดปัญญา[1]เร็วมาก เพียงสองร้อยปีก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ ผจญวิบากกรรมหกร้อยปี แปดร้อยปีก็แตกฉานในมหาโรจนะมนต์หกอักขระ[2]ของพระพุทธศาสนา หนึ่งพันปีเอาชนะทัณฑ์ราคะได้ และได้รับนามเบื้องหน้าพระพักตร์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์[3] ทว่าตลอดมาเขาไม่อยากไปจากโลกมนุษย์เลย
พระแม่ทรงเมตตา เพียงให้เขาพาฉานซินกับจิ้งซินมาบำเพ็ญเพียรยังโลกมนุษย์ และอยู่ยาวมาจวนจะครบร้อยปีแล้ว
ตอนเพิ่งกลายร่างเป็นคน เขาเคยแอบกลับไปดูป่าผืนนั้น แต่พุทธรังษีที่เจียฟ่านทิ้งไว้ยังคงแผ่รังสีปกคลุมไปทั่วป่า มีผู้บำเพ็ญเพียรเข้าออกเยอะเกินไป เขากลัวจะถูกคนจับได้จึงได้แต่มองดูอยู่ห่าง ๆ แล้วก็จากไป จนกระทั่งพ้นวิบากกรรมได้ ถึงกล้ากลับไปอีกครั้ง สี่ร้อยปีต่อมาป่าผืนนั้นก็ถูกหักร้างถางพงสร้างเป็นวัด หลังจากเขาฟังเสียงไต้ซือเทศน์ดังแว่วมาจากในวัดเป็นเวลาหลายวันก็จากไปด้วยความผิดหวัง ไม่มีผู้ใดสามารถเทศน์ได้ลึกซึ้งอย่างเจียฟ่าน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยกลับไปที่นั่นอีก
หลายร้อยปีต่อมาเขาแทบไม่ได้คิดถึงเจียฟ่านเลย ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้บังเอิญเจอถานชีเข้าละก็ เขาก็เกือบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่เคยเป็นผืนป่าทั้งผืน มันคือสถานที่ถือกำเนิดของเขา และเป็นที่ที่เขาได้พบกับเจียฟ่าน เป็นที่ที่เจียฟ่านตั้งชื่อให้เขา และเป็นที่ที่เขาเห็นเจียฟ่านมรณภาพ
ซูฉางเล่อหยักยิ้ม ตลอดมาเขาไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดถึงไม่ยอมไปจากโลกมนุษย์ ที่แท้เป็นเพราะเขายังไม่ได้แก้กรรมเก่า หนี้บุญคุณยังมิได้ทดแทนจึงยังหลงเหลือความอาวรณ์
เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างกระจกบานยาวจดพื้น จันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ชายหนุ่มเปิดประตูเดินออกไปที่ระเบียง แล้วหลับตาสูดรับแสงจันทร์ ในโลกปัจจุบัน แสงจันทร์มีพลังเบาบางลงทุกที มนุษย์กลืนกินความมืดแล้วคายแสงแห่งความตายที่ไร้ชีวิตออกมา สิ่งนั้นไม่อาจหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณใดได้นอกจากตัวมนุษย์เอง บุญคุณย่อมต้องทดแทน ในใจเขาอยากดับกิเลสทั้งปวงแล้วไปจากโลกมนุษย์ หลังจากนั้น…

—————-
เชิงอรรถ
[1] ปัญญาระดับสูงสุดและดีที่สุด จัดเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ต้องเกิดจากญาณ โดยต้องเริ่มต้นจากฌานด้วยการฝึกปฏิบัติเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยแบ่งปัญญาออกเป็น 3 ระดับดังนี้
สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การเล่าเรียน และจดจำข้อมูลความรู้มาจากผู้อื่น
จินตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการนำความรู้ที่มีอยู่มาคิดใคร่ครวญ แจกแจงได้
ภาวนามยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการทำ การปฏิบัติ และการพัฒนา จนสามารถแก้ไขปัญหาและต่อยอดได้มากขึ้น จนเป็นขั้นของญาณ วิชชา จักษุ หรือแสงสว่าง

กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ

กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ

กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ
Score 8.2
Status: Ongoing
อ่านกลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพเรื่องย่อ กลิ่นหอมอ่อนของกฤษณา ยวนเย้ามาจากอดีต… เมื่อนายตำรวจหนุ่ม “ถานชี” ปรากฏตัวในห้องสอบสวนคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นก็ทำให้ “ซูฉางเล่อ” ตระหนักได้ทันใด ว่านี่แหละคือเหตุผลที่เขายังคงอยู่บนโลกมนุษย์

Comment

Options

not work with dark mode
Reset