การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 4: เวทมนตร์นี่เกินจริงกว่าที่จินตนาการไว้เยอะนะเนี่ย

บทที่ 4 เวทมนตร์นี่เกินจริงกว่าที่จินตนาการไว้เยอะนะเนี่ย

 

ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างอาภัพนัก.. ถึงจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่น่าสงสารที่สุดในโลกก็เถอะนะ แต่ขีดจำกัดมันไม่เท่ากันนี่น่า

ฉันอยากจะบ้าตาย แล้วจะรอดไงเนี่ย จริงสิ.. ฉันมีข้อมูลทุกอย่างในโลกนี่น่า.. เทพธิดาให้ไว้แล้วนี่

จะว่าไปถ้าให้ข้อมูลทุกอย่างในโลก ฉันไม่ใช่ว่าต้องเข้าใจภาษาทุกภาษาเรอะ อย่าบอกนะว่าไม่ทำตามคำขออีก เทพธิดาบัดซบใจโฉดชะมัด

ฉันพยายามนึกถึงความทรงจำทั้งหมด.. และแล้วก็ไปเจอความทรงจำหนึ่งเข้าพอฉันกำลังจะนึกถึงความทรงจำนั้นก็เหมือนถูกอะไรชนหัว

เจ็บแปลบขึ้นมา

“สวัสดีจ้า เทพธิดาจ้า”

“อ๊ากกก ผี!?”

ฉันที่พยายามควานหาความทรงจำจู่ๆ ก็มีเสียงของเทพธิดาดังขึ้นในหัว รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในโลกมืดๆ ฉันเลยร้องออกมาได้

“ไม่ใช่ย้ะ”

อ้อ เทพธิดาใจโฉดนี่เอง ว่าแต่นี่หมายความว่าไงหว่า อย่าบอกนะว่ายัยนี่กำลังวางแผนที่จะซ้ำเติมฉันแบบ สมน้ำหน้าเจอ Bad End ตั้งแต่เริ่มตลกดีนะ

อะไรแบบนี้.. ร้ายจริงๆ เทพธิดาแถวบ้านฉันต้องเป็นเทพธิดาใจดีไม่ใช่เรอะ

“จริงๆ ข้าไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”

อ่านใจออกจริงด้วย! ฉันอุทานในใจดูเหมือนเธอจะอ่านใจได้ แต่ทำไมไม่ทำท่าเหมือนตอนแรกนะ (ตบมุข)

คงจะเหนื่อยสินะทำแบบนั้น ก็แน่ ล่ะจู่ๆ ก็ตะคอกใส่.. เทพธิดาบ้าไรไม่รู้

“นี่คือเศษเสี้ยวความทรงจำของข้าที่เหลือทิ้งไว้พร้อมกับข้อมูลทุกอย่างในโลก แต่ขอบอกไว้ก่อน ข้อมูลทุกอย่างคือข้อมูลที่ข้าวางไว้ตั้งแต่โลกกำเนิดขึ้น ดังนั้นการพัฒนาต่างๆ หรือเวทมนตร์รูปแบบใหม่ แม้แต่ภาษาก็ไม่มีอยู่ จะมีก็มีแต่ภาษาก่อนประวัติศาสตร์ เพราะงั้นควรพึ่งมันอย่างเป็นประโยชน์ และเมื่อข้าปลดผนึกนี่ข้อมูลทั้งหมดจะไหลทะลักใส่สมองของเจ้าทันที”

“เฮ้ย. บทพูดมันดูปักแฟล็กทรมา—”

แต่ก่อนที่ผมจะพูดจบเสียงดีดนิ้วของเทพธิดาก็ดังขึ้น ฉันรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วหัวทันที.. ก่อนที่สายตาจะพร่ามัวและร้องออกมา

เพราะข้อมูลความทรงจำไหลทะลักมาและฉันที่ตาพร่ามัวก็ได้ยินเทพธิดาพึมพำบางอย่างแต่เต็มไปด้วยเสียงที่ค่อนข้างสบายใจ

“ข้าว่าแล้วเชียว ต้องผนึกเศษเสี้ยวความทรงจำไว้ในดวงวิญญาณก่อน เพราะต้องมีกายเนื้อถึงจะบันทึกข้อมูลลงสมองส่วนความทรงจำได้”

“เพราะนอกจากทักษะป้องกันตัวที่สถิตลงวิญญาณโดยตรงกับการปรับเปลี่ยนทางกายภาพให้ตรงกันข้ามตอนเกิด”

“และมีแค่ความทรงจำนี่แหละที่ต้องการร่างกายก่อน น่าสนใจจริงๆ ดวงวิญญาณกับกายมนุษย์มันสัมพันธ์ยังไงกันแน่นะ เทพธิดาแห่งความเป็นและความตาย.. เธอทำเรื่องซับซ้อนไปถึงขั้นไหนกันแน่ หึๆ”

เหมือนกำลังสะใจที่ฉันได้รับความทรมานและหัวเราะอย่างชั่วร้ายใส่สินะ อ๊ากกก เทพธิดานี่ใจโฉดโดยกำเนิดแท้ๆ

รู้แบบนี้ตายไปเลยไม่ดีกว่าเรอะ! ความเจ็บปวดทั้งหมดทำเอาฉันสติพร่าเลือนอีกครั้งหลับไปอีกรอบ

ทำเอาฉันฝันเห็นเทพธิดาใจโฉดนั่นอีก.. เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่เนี่ย!

ไม่นานฉันก็ตื่นขึ้นพร้อมกับรับรู้ถึงบางอย่างในหัว… โลกใบนี้มีชื่อว่า โลกสงบสุขนิรันดร์ โดยโลกนี้จะมีเผ่าพันธุ์หลากหลายเผ่าพันธุ์แตกต่างกันออกไป

ไม่ว่าจะเป็น มังกร ปีศาจ มนุษย์ กึ่งมนุษย์ หรือแม้แต่เทพเจ้า อ้อ.. แล้วก็ดูเหมือนเทพธิดากับเทพเจ้าจะไม่ใช่ตัวตนในระดับเดียวกันนะ

ดูเหมือนว่าเทพธิดานี่คือเทพที่แท้จริง แต่เหล่าเทพเจ้าที่อยู่เบื้องล่างคือผู้ที่ลดตนลงมาทำสัญญากับมนุษย์ที่ต่ำ กว่า พันธสัญญาเทพ อะไรทำนองนั้น

แม้จะยังกลับไปโลกเทพหรือทำอะไรในโลกเทพได้ แต่พลังเทพจะถูกปิดผนึกในโลกเบื้องล่างนี้ พวกเขาไม่สามารถปล่อยพลังเวทระดับเดิมได้

แต่ก็นะด้วย ‘พันธสัญญาเทพ’ ก็เหมือนให้มนุษย์เป็นองครักษ์ของเทพ มีสิทธิ์ที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นเทพได้ ถึงจะเป็นแค่เทพระดับล่างซึ่งพอซัดพอเหวี่ยงกับจอมมารทั้งสิบสองได้

นอกจากนี้โลกนี้ยังมีผู้กล้าด้วย ผู้กล้าคือคนที่ได้รับพรจากพระเจ้าและเกิดมาภายใต้แสงสว่างและได้รับความรักจากภูต

เวทมนตร์แบ่งออกเป็นสองประเภท ซึ่งประกอบไปด้วย เวทมนตร์ธรรมชาติ และเวทมนตร์แฟร์รี่หรือเวทมนตร์แห่งภูต

เวทมนตร์ธรรมชาติ คือเวทระดับที่ใครๆ ก็ทำได้ เพราะในโลกนี้ทุกอย่างสามารถตีความได้ว่าเป็นเวทมนตร์

ไม่ว่าจะอากาศ ต้นไม้ หรือผู้คน ทุกคนล้วนเป็นเวทมนตร์ได้ โดยผู้ใช้เวทมนตร์ธรรมชาติจะจัดการเวทธรรมชาติแทรกแซงธรรมชาติ ให้เกิดไฟโดยไม่ต้องการ อากาศ

อะไรทำนองนั้น

ส่วนเวทมนตร์แฟร์รี่ นั้นแข็งแกร่งกว่าเพราะปริมาณที่ปลดปล่อยออกมาได้มันมากกว่าเวทธรรมชาติ

ถ้าจะพูดหากเวทมนตร์ธรรมชาติ คือการใช้พลังเวทแทรกแซงธรรมชาติ

พลังเวทมนตร์ของแฟร์รี่ก็คือ.. การสร้างธรรมชาติขึ้นมาใหม่ด้วยตัวมันเอง! หรือก็คือสามารถปล่อยพลังเวทประเภทที่เป็นไปไม่ได้

เช่น การสร้างพื้นที่เฉพาะเป็นอาณาเขตของตัวเอง ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ และหากเข้ามา พวกมันจะตกอยู่ในการควบคุมของผู้ใช้เวทโดยสิ้นเชิง

ไม่ใช่เวทมนตร์ควบคุมจิตใจหรือร่างกาย แต่เป็นการบงการโดยสิ้นเชิง!

ก็อะไรประมาณนี้ แต่แฟร์รี่ว่ากันว่าเป็นตำนานเท่านั้น มีเพียงผู้กล้าไม่กี่คนเท่านั้นที่มีมัน

จะว่าไปผู้หญิงที่มองฉันเมื่อกี้นั่นเป็นจอมมารสินะ ที่รู้เพราะว่าในหัวมันมีคุณลักษณะพิเศษในการมองว่าคนนี้เป็นจอมมารหรือไม่

จริงๆ ฉันก็รู้ข้อมูลเกี่ยวกับจอมมาร ว่าในโลกนี้มีจอมมารสิบสองคน อะไรทำนองนี้ … แล้วเธอที่คลอดฉันนี่เป็นจอมมารสินะ ..

จอมมารนี่น่ากลัวไปแล้ว กล้าทิ้งลูกตัวเองกลางป่าเขาลำเนาไพร.. เอ๊ะ หรือว่าธรรมชาติของปีศาจจะคล้ายๆ สัตว์

ที่แบบเอาเด็กไปปล่อยป่าอะไรแบบนี้ หากเอาชีวิตรอดจนถึงแปดขวบแล้วจะกลับมารับไรงี้… ถึงจะกลับมารับจริงถ้าฉันรอดจนถึงระดับนั้น

ฉันไม่มีทางกลับไปหาปีศาจหรอกเฟ้ย สมกับเป็นปีศาจจริงๆ .. แต่ว่ากันตามจริงแบบนี้ฉันก็เป็นจอมมารสินะ

เพราะเป็นลูกของจอมมาร แล้วจอมมารมีอาณาจักรเป็นของตัวเอง มันคงคล้ายๆ การสืบทอดราชบัลลังก์ของจอมมารอะไรแบบนั้น

หือ.. แบบนี้ฉันเกิดจากจอมมารคงไม่ใช่ว่า ฉันมีพลังจอมมารหรอกนะ..

ไม่สิ.. ถึงจะเป็นพลังจอมมารก็เถอะ แต่ฉันต้องทดสอบดูก่อนนะ แค่ทดสอบนะ! จะว่าไปถึงจะเป็นพลังมาจากแม่ที่เป็นจอมมาร

แต่มันก็เป็นพลังของฉันนี่น่า ใช้ๆ ไปก็คงไม่มีใครว่าหรอกเนาะ

ว่าแล้วฉันก็หลับตาลง.. การใช้เวทมนตร์คือการรวบรวมสมาธิ และควบคุมเวทธรรมชาติสร้างวงแหวนในจิตใจขึ้น เพื่อใช้ในการแทรกแซง

และฉันก็แทรกแซงธรรมชาติโลก จุดสำคัญคือการจินตนาการว่าเราจะปล่อยมันออกไปในแบบไหน แต่การที่จินตนาการเราต้องเข้าใจองค์ประกอบของมันก่อน

เช่นระเบิดเราต้องเข้าใจว่าปริมาณ ดินปืนที่มากพอจะระเบิดระดับที่จินตนาการไว้ประมาณเท่าไหร่ ถึงจะค่อนข้างนุ่งยากแต่นี่แหละเวทมนตร์

ฉันหลับตาลง นึกถึงพลุ.. ใช่แล้วแบบพลุสีรุ้งอะไรทำนองนี้.. แต่ก็นะฟ้าต้องมืดด้วยสินะ… แต่จะทำท้องฟ้ามืดไม่ได้นี่น่า เพราะเป็นเวทธรรมชาติ แต่ไม่สามารถแทรกแซงการไหลของเวลาได้

ฉันเลยลืมตาขึ้น… ยิงเวทออกไปทันที… ท้องฟ้าที่เคยสว่างกลายเป็นความมืดยามราตรี

“ห้ะ?”

แต่พลุที่ฉันสร้างก็ถูกยิงออกไปลอยอยู่บนฟ้าและ.. ด้วยจำนวนปริมาณพลังเวทที่มากมหาศาลเกินไปในตัวฉัน ซึ่งตัวฉันไม่ทราบ

ส่งผลให้จินตนาการพัฒนาไปอีกขั้น องค์ประกอบถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นโดนอัตโนมัติและเหนือท้องฟ้ากลางป่าก็..

“ตู้มมมม”

แสงสีของพลุแตกออกกลางอากาศหูฉันรู้สึกเหมือนกับเต็มไปด้วยเสียง “วิ้ง” เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นจังหวะนี้ป่าที่ฉันอยู่แทบกระเจิงออกไปรอบด้าน

ฉันก็ปลิวตามแรงลม ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่บาดเจ็บ เพราะแรงทั้งหมดถูกส่งไปที่ตะกร้า ก่อนถึงตัวฉันน่ะนะ แต่ทำไมตะกร้าไม่เป็นไรเลยเนี่ย?

(สานจากใยที่เป็นกระดูกมังกรเพราะกลัวลูกตัวเอง ได้รับกระแทก ผ้าห่มผืนหนึ่งแข็งกว่าชุดเกราะเพชรประมาณร้อยเท่าจ้า)

แต่จะว่าก็ว่าเถอะนี่มันไม่ใช่พลุ… นี่มันระเบิดอานุภาพทำลายล้างเมืองแล้วเฟ้ย!

ฉันควรจะหลีกเลี่ยงการใช้เวทมนตร์แบบนี้สินะ… เพราะนี่แค่พลุนะ ลองนึกสภาพฉันปล่อยนิวเคลียร์อะไรทำนองนี้ดู.. ประเทศหนึ่งไม่หายไปจากแผนที่โลกเลยเรอะ

จะว่าไปแค่เด็กยังทำได้ขนาดนี้โตไปจะขนาดไหนนะ.. ไม่สิ หรือว่าแค่นี้ใครๆ ก็ทำได้ เพราะยังไงซะเทพธิดาใจโหดนั่นก็ไม่มีทางให้ฉันสุขสบายแน่ๆ

แบบนี้นี่เอง ไม่หลงกลหรอกเฟ้ย นี่คือความธรรมดาในโลกนี้สินะ ฉันต้องฝึกมากกว่านี้ ฮ่าๆ

…………

โดยวันนั้น.. ซึ่งเจ้าตัวไม่ทราบว่า ตัวเองได้สร้างความปั่นป่วนให้โลกทั้งใบ.. เพราะเปลี่ยนเวลาของโลกให้เป็นกลางคืน

และยิงพลุที่ถูกเรียกว่า ‘ภัยพิบัติธรรมชาติครั้งแรก’ ในภายหลัง..

และถึงแม้จะมีข้อมูลทุกอย่างในโลก.. แต่ไม่ได้แปลว่ามีบรรทัดฐานสามัญในคำอธิบายเกม.. เหมือนกับคู่มือเกมที่ไม่ต้องอธิบายว่ามีค่า ต่างๆ ในระบบสเตตัสมีความหมายแบบไหนบ้าง

เพราะมันคือพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้.. แต่น่าเสียดายที่ผู้ชาย.. ไม่สิ

ผู้หญิงคนนี้มีพื้นฐานที่ติดลบสุดๆ!

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!
Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset