กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ – เล่มที่ 4 บทที่ 8 ออกจากสํานัก

เล่มที่ 4 บทที่ 8 ออกจากสํานัก

 

สายลมพัดผ่านพาเส้นผมยาวดําของชายหนุ่มโบกสะบัดไปตามลม ด้วยความสงบอย่างน่าประหลาด หยางอี้ปล่อยวางจิตใจเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งจนถึงขีดสุด หวนคืนสู่ความว่างเปล่า ดั่งคําที่เสียงลึกลับได้กล่าวเอาไว้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจิตใจของ เขาล้วนมุ่งเน้นให้ทะลวงผ่านเข้าถึงความรู้แจ้งในเจตจํานงแห่งดาบ ทว่าหนทางที่ดูเหมือนใกล้เพียงมือหนึ่งคว้าเอาไว้ กลับยาวไกลจนมิสามารถอาจเอื้อม

 

ด้วยคําแนะนํานั้นหยางอี้จึงบังเกิดเป็นความเข้าใจบางอย่างอันลึกซึ้ง เจตจํานงต่างๆล้วนคงอยู่ในโลกนี้แต่ดั้งเดิมเพียงแต่ผู้คนนั้นจิตใจไขว้เขวจนมิอาจสัมผัสถึง เฉกเช่นปราณธรรมชาติที่ก่อเกิดมาจากแกนโลก การดูดซับเพื่อบ่มเพาะยังต้องตั้งสมาธิเข้าฌาณจึงบังเกิดการชักนําเวียนวนสู่ตันเถียน ฉะนั้นแล้วเมื่อจิตใจขุ่นมัวหมกมุ่นกับการก่อร่างเจตจํานงจึงมิอาจนําพาให้สัมผัสถึงมันได้

 

เวลาเวียนไปยิ่งปล่อยวางความเข้าใจยิ่งเพิ่มพูน แต่เดิมตัวเขาก็ก้าวมาถึงจุดสูงสุดแล้วเพียงยังมิอาจสัมผัสถึงเจตจํานงเหล่านั้น ด้วยการยืนสงบนิ่งพริ้มตาทําความเข้าใจในห้วงลึกของจิตใจ สายลมผ่านเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งโดยมีตัวเขาเป็นจุดสูญกลางริ้วแสงหนึ่งเส้นเริ่มปรากฏขึ้นมาจางๆด้านหลังของชายหนุ่ม ต่อมาไม่นานเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสิบ เป็นร้อย..ริ้วแสงอันเฉียบคมพลันปรากฏขึ้นมากมายจนนับมิถ้วน

ด้วยสติอันแจ่มแจ้งล้วนจดจ่ออยู่ในห้วงแห่งความคิด ร่างกายของหยางอี้พลันเคลื่อนไหวไปเองตามสัญชาตญาณ หนึ่งมือเคยว่างเปล่าพลันชักนําริ้วแสงเหล่านั้นก่อบังเกิดเป็นพลังปราณที่อัดแน่นไปด้วยอํานาจแห่งดาบ แม้เพียงมองเห็นเป็นแห่งแสงสีขาวแต่ความคมกล้าของมันนั้นกลับเฉือนได้กระทั่งหินผา

 

ด้วยคลื่นลมที่บ้าคลั่งกลีบบุปผาถูกซัดกระจายลอยล่องอีกครั้ง ภายในห้วงความคิดหยางบังเกิดความรู้แจ้งสู่วิถีแห่งดาบอย่างถ่องแท้ตัวตนพลันพร่าเลือนแต่มิจางหาย เขากลับหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับดาบแสงเบื้องหน้าก่อนที่ดวงตาจะเปิดออกราวกับริ้วแสงนับร้อยให้การยอมรับ ด้วยความบ้าคลั่งก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวลเข้าห้อมล้อมชายหนุ่ม ราวกับลูกรักแล้วบังเกิดเส้นแสงขนาดใหญ่ห้อทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า พลังอํานาจดาบแผ่กระจายไปทั่วทั้งหุบเขา

 

หยางอี้ลืมตาขึ้นช้าๆ เต็มไปด้วยความปิติยินดี หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายเดือน ในที่สุดก็สามารถบรรลุเจตจํานงแห่งดาบเข้าสู่ความสมบูรณ์แบบของบุปผาดอกแรกได้สําเร็จ ความคิดนี้หากผู้คนรับรู้คงได้แต่กระอักเลือดตายเป็นแน่ ปรมาจารย์ดาบผู้แกร่งกล้ายังต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตจึงสัมผัสได้ถึงเจตจํานงแห่งดาบ อัจฉริยะเปี่ยมพรสวรรค์ยังต้องใช้ความพยายามตั้งแต่เล็กขัดเกลาอยู่กับดาบจึงบังเกิดการเข้าถึงสภาวะเช่นนี้ แต่หยางอี้แม้จะมีพื้นฐานอยู่บ้างรวมกับความลึกซึ้งของกระบวนท่าที่หนึ่งก็ตามที ด้วยเวลาการฝึกฝนเพียงไม่กี่เดือนกลับบรรลุถึงได้ นับว่าในอดีตก่อนจะสูญเสียพลังให้กับมุกมิติราชันย์เขาถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะ ในรอบร้อยปีนั้นไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย กระทั่งว่าจะต่ําไปเสียด้วยซ้ํา

 

ขณะเดียวกันห่างออกไปหลายลี้ยังยอดไม้ ชายชราร่างเล็กพลันอ้าปากค้างดวงตาเบิกกว้างตกตะลึงอย่างสุดขีด น้ําเต้าทองที่บรรจุสุราล้ําค่าพลันหลุดจากมือร่วงหล่นสู่พื้น ตัวเขามิเคยนึกฝันว่าจะได้เป็นพยานในเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อครั้งเห็นหยางอี้ฝึกฝนเขาล้วนเข้าใจว่าเด็กคนนี้เดินตามวิถีแห่งดาบมาตั้งแต่ยังเด็กด้วยอายุเพียงเท่านี้ กลับมาถึงจุดสุดยอดได้ นับว่าหาได้ยากแล้ว เรื่องนี้จึงทําให้เขางุนงงว่าเหตุใดสหายที่เป็นเซียนโอสถจึงรับเด็กที่มีพรสวรรค์สูงล้ําในการใช้ดาบมาเป็นศิษย์ ทว่าบัดนี้จากเพียงคําแนะนําที่เขากล่าวไป ผ่านมาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเจ้าเด็กบ้านกลับทะลวงการรู้แจ้งบรรลุสู่เจตจํานงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความสับสนอย่างแท้จริง

 

“ช่วงชีวิตของข้าพบเห็นเรื่องราวมากมาย ได้เจอกับผู้มีพรสวรรค์มาก็มาก แต่เจ้าเด็กนี่…”

 

หลังจากพึมพําได้ไม่นาน ดวงตาของเขาก็ปรากฏเพียงร่องรอยของความอิจฉา คําว่า บัดซบ ถูกกล่าวออกมามิรู้กี่ครั้ง จนผ่านไปไม่นานดูเหมือนความคิดบางอย่างแล่นผ่าน ดวงตาหรี่เล็กพลันเบิกกว้างอีกครั้งก่อนจะฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา

 

“ฮี่ๆ เฒ่าชางเอ๋ย อย่าได้โทษข้า ใครใช้ให้ศิษย์เจ้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”

 

กลับมาที่หยางอี้ หลังจากประสบความสําเร็จในการเข้าถึงเจตจํานงแห่งดาบแล้วในใจล้วนปีติยินดียิ่งนัก ด้วยกว่าจะผ่านคอขวดนี้ตัวเขาต้องใช้เวลาไม่น้อยในการทุ่มเทฝึกฝนแม้ว่าเมื่อเทียบกับผู้อื่นแล้วจะเป็นเพียงเสี้ยวเวลาก็ตาม

 

แผนการที่วางไว้หลังจากจบการประลอง 5 จักรวรรดินั้น ย่อมเป็นการสร้างรากฐานให้กับตระกูลหยาง ในเมื่อตัวเขาเป็นถึงศิษย์ของตาเฒ่าที่เรียกตัวเองว่าเซียนโอสถ แถมยังครอบครองตําราอันทรงคุณค่าอยู่ในมือ ดังนั้นหนทางที่ง่ายที่สุด ย่อมเป็นการค้าขายโอสถ!

 

สูตรโอสถในตํารานั้นแน่นอนว่าเป็นกู่เทียนชางรวบรวมไว้ด้วยตัวเอง ดังนั้นนอกจากสูตรลับแล้วมีจํานวนไม่น้อยที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน หยางอี้ยังคงครุ่นคิดถึงการวางแผนเลือกโอสถบางชนิดเพื่อเข้าสู่ตลาด ในยุคเช่นนี้โอสถเป็นปัจจัยสําคัญต่อผู้บ่มเพาะอย่างแน่นอน ทว่าคู่แข่งนั้นย่อมมีไม่น้อยเช่นกันดังนั้นจําต้องคิดอย่างถี่ถ้วน ข้อได้เปรียบอย่างแรกของหยางอี้คือการครอบครองสูตรที่ดีที่สุดในตอนนี้อย่างแน่นอน ข้อสองคือความบริสุทธิ์ที่สามารถหลอมได้

 

โดยมิรู้ตัว ความคิดของหยางอี้ยังคงตื้นเขินนักด้วยตัวเขามิได้รู้ถึงการคงอยู่ของตัวตนระดับกู่เทียนชาง สําหรับทวีปแห่งนี้แล้ว เพียงการเปิดเผยสูตรยาชั้นสูงในตําราบางตัวออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความกระสับกระส่ายไปทั้งห้าจักรวรรดิ

 

ช่วงเวลาก่อนออกเดินทางยังคงเหลืออยู่อีกเกือบหนึ่งเดือน ด้านการฝึกฝนหยางอี้ยังคงวางใจได้ในระดับหนึ่ง หลังจากสําเร็จบุปผาแรกรวมกับบรรลุเจตจํานงแห่งดาบแล้ว ในระดับรุ่นเยาว์เกรงว่าจะมีเพียงน้อยคนที่สามารถรับมือได้ ด้วยขนาดของเส้นลมปราณและความหนาแน่นของชายหนุ่มแม้จะอยู่ในชั้นที่ 4 ของระดับปฐพี่ก็เทียบได้กับขั้นที่ 7 ของคนทั่วไป แล้วหากรวมกับความสามารถในการต่อสู้ การรับมือกับผู้ที่อยู่ ในระดับปฐพีขั้นสูงสุดก็มิใช่เรื่องยาก หากถึงคราวจําเป็นยังคงมีไฟลับอยู่หลายใบที่จะช่วยให้ฟันฝ่าไปได้

 

ดังนั้นเวลาทั้งหมดที่เหลือหยางอี้จึงทุ่มเทให้กับการวางแผน และเตรียมตัวสําหรับก่อตั้งตระกูลหยางขึ้นที่จักรวรรดิมังกรสวรรค์อันเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปจันทร์กระจ่าง

 

ผ่านไปหลายวัน หลังจากเลือกสูตรยาได้สี่ห้าสูตร หยางอี้ก็เริ่มประสบความสําเร็จในการปรุงยาระดับสาม แม้จะเป็นเพียงความสําเร็จที่เรียกได้ว่าไม่ห่างจากขี้เท่ามากนักแต่ก็นับว่าเพิ่มพูนกําลังใจให้แก่เขาไม่น้อย ด้วยการตั้งรกรากครั้งนี้อยู่ ในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดหยางอี้จึงมุ่งเป้าไปที่ยาระดับสามทั้งหมด แม้จะมีตําราอยู่ในมือแต่ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องไปขลุกอยู่ในตําหนักของเจ้าเขาโอสถหลายวัน ด้วยบุคลิกที่ไม่หยิ่งยโสรวมกับพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อแม้จะมิได้เป็นศิษย์ แต่ชายชราก็เต็มใจที่จะถ่ายทอดทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง อย่างองค์ความรู้ที่ตกสะเก็ดจากประสบการณ์หลายสิบปีย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

 

เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย หยางอี้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากบรรพชนอีกครั้ง ตัวเขาทําใจไม่ได้แม้แต่น้อยหากจะต้อง จากไปโดยไม่ได้ลงไปยังถ้ําของราชันย์น้ําเงิน ยิ่งในตอนนี้เขาได้ครอบครองหมื่นสวรรค์ซึ่งมีจิตวิญญาณของอสรพิษเหมันต์พิสุทธิ์ แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างยังไงก็ต้องลองดูสักครั้ง

 

การเก็บเกี่ยวครั้งนี้นับว่าทําให้หัวใจพองโตไม่น้อยแม้จะผิดหวังอยู่บ้างที่ด้านล่างมิได้คงอยู่ถึงเพลิงศักดิ์สิทธิ์แต่ด้วยวัตถุดิบล้ําค่าเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเมื่อไปถึงจักรวรรดิมังกรสวรรค์ หลังจากนั้นอีกหลายวัน ข่งโหลวหลินในฐานะเจ้าสํานัก ทําได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นมิรู้ว่าจะไปร้องให้กับผู้ใด เมื่อหยางอี้ใช้เวลากว่าสิบวันในการเข้าสู่ป่าสวรรค์ เรียกได้ว่าเป็นหายนะในรอบสิบ…ไม่สิ ร้อยปีเลยด้วยซ้ํา สมุนไพรระดับสูงแทบจะไม่มีเหลือเลยในเขตที่ 3 ยิ่งภายในปล่องภูเขาที่เป็นเขตหวงห้ามยิ่งถูกกวาดไปจนเกลี้ยง ยังถือว่าโชคดีเล็กน้อยที่หยางอี้หยิบไปเพียงสมุนไพรที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ……. ทว่าในใจข่งโหลวหลินนั่นแหละคือปัญหา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่า ทางสํานักต้องใช้เวลาอีก 50 ปี เป็นอย่างน้อยเพื่อบ่มเพาะมันขึ้นมาใหม่เลยมิใช่หรือ

 

ยามเช้าตรู่หยางอี้นั้นฝึกฝนอยู่หน้าลานบ้านอีกครั้งอย่างปลอดโปร่ง ในใจล้วนอิ่มเอมกับทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวได้ ตอนนี้ไม่จําเป็นต้องนําออกไปขายแล้วเพราะด้วยการแลกเปลี่ยนครั้งก่อน หยางอี้ถือว่าเป็นเศรษฐีน้อยแล้วในตอนนี้ เหรียญทองที่หอประมูลนํามาให้มีมูลค่าราวๆ 5-6 ล้าน นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยอัตราการแลกเปลี่ยน 10 เท่า หากเป็นคนภายในสํานักอาจมองว่าไม่คุ้มค่าต่อให้เป็น 15 เท่าก็ตาม ทว่าเมื่อหยางอี้ต้องออกจากสํานัก 10 เท่านี้นับเป็นราคาที่สูงมากแล้ว

 

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมวันออกเดินทางก็มาถึงกําหนด การประลองเหลือเวลาอีกครึ่งปี ใช้เวลาไปถึงเมืองหลวงหนึ่งเดือนรวมกับคัดเลือกรอบสุดท้ายจะเหลือเวลาสี่เดือน ตามกําหนดคร่าวๆที่เจ้าสํานักบอกมา หลังได้ตัวผู้เข้าประลองทั้ง 5 แล้ว มีเวลาพักเตรียมตัวไม่นานก็ต้องออกเดินทางทันที จักรวรรดิเมฆาหวนนั้นอยู่ไกลจากจักรวรรดิมังกรสวรรค์ไม่น้อย ใช้เวลาเดินทางเร็วที่สุดก็เกือบ 3 เดือน โดยจะแวะพักบ้างตามเมืองใหญ่ และใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนที่เหลือเพื่อเตรียมตัวและหาข่าวสารที่จําเป็นภายในจักรวรรดิมังกรสวรรค์

 

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมการเดินทางก็มาถึง แม้ในใจของอีก 3 คนจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทว่าหยางอี้กลับไม่ให้ความสนใจกับการคัดเลือกเลยแม้แต่น้อยชายหนุ่มยังคงครุ่นคิด เกี่ยวกับการวางรากฐานของตระกูลอย่างต่อเนื่อง

กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์

กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์

Status: Ongoing
อ่านนิยาย กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์หยางอี้เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่พลิกผันจมลงสู่จุดต่ำสุดของชีวิตเพราะบังเอิญไปเจอกับหินลึกลับอันหนึ่ง แต่ในเวลาต่อมาด้วยความเพียรพยายามไม่ย่อท้อก็ทำให้เขาได้พบกับความลับของหินลึกลับก้อนนั้นและความลับนี้เองที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปยืนอยู่เหนือยุทธภพ! ขันพลังต่างๆ *ระดับผู้ฝึกยุทธ์ -ก่อกำเนิด (1-10) แบ่งเป็น 4 -ขั้น 1-3 ขั้นต้น ,4-6 ขั้นกลาง ,7-9 ขั้นปลาย ,10 ขั้นสูงสุด-ครึ่งก้าวเบิกนภา -เบิกนภา (1-10) แบ่งเป็น 4 -ขั้น 1-3 ขั้นต้น ,4-6 ขั้นกลาง ,7-9 ขั้นปลาย ,10 ขั้นสูงสุด-ครึ่งก้าวปฐพี -ปฐพีต้นกำเนิด (1-7) ??? -นภาศักดิ์สิทธิ์ (1-5) ??? -เนมิต (1-3) แบ่งเป็น 3 ขั้น -ขั้น 1 ราชา ,ขั้น 2 ราชัน ,ขั้น 3 จักรพรรดิ ดับสูร (ไร้ระดับ) ??? *มรรคาแบ่งเป็น 7 ระดับ -ความลี้ลับระดับต่ำ (1-10) -ความลี้ลับระดับกลาง (1-10) -ความลี้ลับระดับสูง (1-10) -มรรคาเล็ก (ตื้นเขิน พื้นฐาน บางส่วน ส่วนใหญ่ สมบูรณ์) -มรรคากลาง (ตื้นเขิน พื้นฐาน บางส่วน ส่วนใหญ่ สมบูรณ์) -มรรคาใหญ่ (ตื้นเขิน พื้นฐาน บางส่วน ส่วนใหญ่ สมบูรณ์) -บรรลุสรรพสิ่ง *วิชาต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท -วิชาปราณ –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) -วิชายุทธ์ –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) -วิชาจิต –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) *ระดับวัตถุ/ทรัพยากร/อาวุท –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) *ระดับ สำนัก/ตระกูล/ประเทศ/ -แบ่งเป็นระดับ 1-10 (ระดับหนึ่งแข็งแกร่งที่สุด จำแนกระดับตามผู้ปกครอง) หากมีเพิ่มเติมจะมาอัพเดทให้ภายหลังตามเนื้อเรื่อง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset