กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 66 เข้าวังคัดเลือกพระชายา

เดิมซูหลีเองก็อยากขอคำชี้แนะจากฮุ่ยกวง กลับนึกไม่ถึงว่าหลางฉ่างจะเอ่ยขึ้นก่อน นางจึงทำได้เพียงเดินออกไป ทว่าพระอาจารย์ฮุ่ยกวงที่อยู่ด้านหลังพลันเรียก “ประสกหญิงโปรดรั้งอยู่ก่อน”
ซูหลีชะงัก หันกลับไปเห็นใบหน้าเปี่ยมความเมตตาน่าเลื่อมใสของพระอาจารย์ฮุ่ยกวง ส่ายหน้าและเอ่ยอย่างทอดถอนใจกับนาง “ยิ่งยึดมั่นในความแค้น วาสนาแห่งความสุขยิ่งตื้นเขิน เมื่อใดที่ประสกปล่อยวาง เมื่อนั้นจึงจะหลุดพ้น”
ซูหลีอึ้งงัน พระอาจารย์ฮุ่ยกวงสายตาเฉียบแหลมดังคาด เพียงช่วงเวลาสั้นๆ นางยังมิได้เอ่ยวาจาใด กลับมองความแค้นในใจนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง! สายตาฉงนฉงายของตงฟางเจ๋อที่อยู่ข้างหน้าเลื่อนมองมา นางหลุบตาเล็กน้อยก่อนกล่าว “ขอบคุณพระอาจารย์ที่ชี้แนะ” ทว่า นางยังไม่ได้ทวงคืนความยุติธรรม ความแค้นก็ยังไม่ได้ตอบแทน แล้วจะปล่อยวางได้อย่างไรเล่า?
หลังเดินออกมาจากกุฏิ ซูหลีหลุบตาใคร่ครวญ นึกถึงสายตาและท่าทีแปลกๆ ที่หลางฉ่างมีต่อนาง ในใจพลันสะดุด รั้งหว่านซินเดินไปด้านหนึ่งก่อนลดเสียงกำชับหลายประโยค เอ่ยเสร็จ หว่านซินรับคำและจากไป
ตงฟางเจ๋อออกคำสั่งให้เหล่าทหารที่ปิดทางเข้าออกวัดถอนกำลังและแยกย้าย เหล่าชาวบ้านที่ตกใจกับเหตุพลิกผันจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง รีบแย่งกันวิ่งออกจากสถานที่วุ่นวายแห่งนี้ทันที ผ่านไปเพียงไม่นาน ลานวัดที่เคยเกิดเหตุโกลาหลพลันเงียบสงัดไร้สรรพเสียง
ซูหลีลอบถอนใจ “วันนี้พระอาจารย์ฮุ่ยกวงเปิดแท่นเทศนาพระธรรม ห้าปีจึงจะมีหนึ่งหน นึกไม่ถึงจะจบลงเช่นนี้ ช่างบาปกรรมแท้ๆ บาปกรรม”
ตงฟางเจ๋อกล่าวยิ้มๆ “วันนี้ผ่านไปแล้ว ก็ยังมีวันหน้า ซูซูจะทอดถอนใจไปใย?”
ซูหลียิ้มบาง ไม่ได้เอ่ยอะไร คนกลุ่มหนึ่งเดินทางลงจากภูเขาฝูซาน เซี่ยงหลียกมือประสานก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านไว้พบกันใหม่ ข้าน้อยจะรีบกลับไปเตรียมสินสอดทองหมั้น ไม่กี่วันจะได้ไปสู่ขอหญิงงามที่เรือน” เอ่ยจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ตงฟางจั๋วแค่นหัวเราะเย็นชา “ไม่ประมาณตนเอง!”
ตงฟางเจ๋อกระโดดควบม้า นัยน์ตาเข้มกวาดมองรอบข้าง ก่อนเอ่ยถาม “ซูซู เหตุใดไม่เห็นหว่านซินสาวรับใช้ของเจ้าแล้วเล่า?”
ซูหลีตอบ “อ้อ หม่อมฉันเห็นในป่ายังมีดอกท้อเบ่งบานงดงามยิ่งนัก จึงบอกให้นางไปเด็ดมาหลายกิ่งนำกลับจวน”
“อ้อ? เช่นนั้นหรือ?” เห็นชัดว่าเขาไม่เชื่อเท่าไร สายตาจดจ้องใบหน้านาง นัยน์ตาคมปลาบ แฝงแววจับผิด
“เป็นเช่นนั้นเพคะ” ซูหลีถอนหายใจ “ดอกท้อด้านล่างภูเขาล้วนเหี่ยวเฉาแล้ว”
ตงฟางเจ๋อเอ่ย “ดอกไม้ยังมียามร่วงโรย หญิงงามกลับนับวันยิ่งเลอโฉม แม้แต่คุณชายมากรักอันดับหนึ่งในใต้หล้ายังหลงรักซูซูตั้งแต่แรกพบ เพื่อแย่งชิงหญิงงาม แม้แต่ชีวิตก็ไม่เสียดาย” สีหน้าท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เห็นชัดว่ามีความนัยแฝงในวาจา
ซูหลีเงยหน้าสบตาตรงๆ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มหยัน “รักแรกพบ? หรือท่านอ๋องคิดว่าคุณชายมากรักท่านนั้นมีความจริงใจสักกี่ส่วนกัน! ผู้ชายหลายใจในโลกนี้ มีมากดั่งปลาที่แหวกว่ายในแม่น้ำ!”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะดังลั่น “เช่นนั้นข้าหวังว่าซูซูจะเจอบุรุษที่จริงใจในเร็ววัน!”
ซูหลีแหงนหน้ามองเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ สายตาเย็นชา เรื่องในวันนี้ นางมองทะลุปรุโปร่ง เขาจับคนของเฉินเหมินบังคับให้ชี้ตัวคนร้าย เจาะจงมาที่หว่านซิน คาดไม่ถึง กลับมีเซี่ยงหลีเข้ามาป่วนสถานการณ์ กอปรกับบุคคลปริศนาสังหารคนปิดปาก! ตามหลักแล้วยามนี้ตงฟางเจ๋อต้องอารมณ์ไม่ดีแน่นอน แต่จากสีหน้าเขา นางกลับมองไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใด
“เราไปกันเถิด” ตงฟางจั๋วก้าวเข้ามาประคองนาง เอ่ยเสียงเย็นชา “วันนี้น้องหกทำงานพลาด คงมีเรื่องให้ต้องสะสางมากมาย”
ตงฟางเจ๋อสายตาเย็นเยียบ คลี่ยิ้มบางๆ “ที่ข้าทำงานพลาด ก็ต้องขอบพระทัยฝ่ามือลมของพี่รอง! ข้าสงสัยนัก ด้วยพลังของพี่รอง กลับโจมตีไม่โดนเซี่ยงหลี!” แต่โจมตีโดนศพนั้นแทน!
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้วถาม “น้องหกสงสัยว่าข้าจงใจทำงานของเจ้าเสียหรือ?”
“มิกล้า” ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ข้ามีเรื่องต้องไปทำ ขอตัวก่อน ย่าห์!” อาชาชั้นดีกระทืบกีบเท้าพุ่งทะยานออกไป ตงฟางเจ๋อควบม้านำทัพทหารพร้อมม้าหายลับไปพร้อมกับฝุ่นตลบ
ตงฟางจั๋วมุมปากกระตุกเบาๆ แค่นยิ้มเย็นชา ดึงมือซูหลีขึ้นรถ ซูหลีมองดูรอยยิ้มเย็นชาของเขา นึกไปถึงท่าทีและคำพูดเมื่อครู่ของตงฟางเจ๋อ ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกประหลาด หากเขาตั้งใจจริงๆ เล่า? นางพลันตึงเครียด ทว่ากลับไม่รู้จะเปิดปากเช่นไร
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ไม่ขอใช้สามีร่วมกับผู้อื่น เป็นความจริงจากใจหรือ?” ตงฟางจั๋วพลันถามนาง สายตาสะท้อนแววจริงจังหลายส่วน
ซูหลีไม่ได้ตอบคำถาม ยามนั้นนางพลั้งปากออกไป มิได้ไตร่ตรองลึกซึ้ง เรื่องแต่งงาน มิได้อยู่ในความคิดของนาง อีกอย่าง บนโลกนี้ มีชายที่แต่งสตรีนางเดียวอยู่ด้วยหรือ?
นางเผยยิ้มเชิงเย้ยหยัน กลับมองเห็นเขาค่อยๆ หลุบตาลง ท่าทีหยิ่งยโสในยามปกติ เวลานี้กลับอ่อนลงไปหลายส่วน คล้ายกำลังเยาะเย้นตนเอง และเจ็บปวดเศร้าโศกในเวลาเดียวกัน เขาถึงขั้นพึมพำกับตนเอง “ข้าเคยคิด หากชีวิตนี้ได้คนผู้นั้นมาครอง จะไม่ขอสิ่งใดอีก”
ซูหลีสะท้านวาบไปทั้งใจ หน้าอกพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ใบหน้ากลับเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ทว่าความรวดร้าวในดวงตาของตงฟางจั๋วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังยึดมั่นในความคิดของตนเอง สีหน้าพลันกลับมาเย็นชาไร้ความเมตตาอีกครั้ง
กลับมาถึงจวน ก็ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว หลังอาหารมื้อเย็น หว่านซินถึงเพิ่งกลับมา
“เหตุใดถึงเพิ่งกลับมายามนี้? ไม่มีเรื่องใดใช่หรือไม่?” ซูหลีกันโม่เซียงออกไป ปิดประตู แล้วจึงค่อยถามอย่างเร่งร้อนใจ
หว่านซินกล่าว “ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนมีคนของเจิ้นหนิงอ๋องอยู่ทุกที่ บ่าวไม่กล้าประมาท”
นางรู้อยู่แล้วตงฟางเจ๋อไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปแม้แต่น้อย! ซูหลีครุ่นคิด เอ่ยถาม “เซี่ยงหลีผู้นั้นเป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่?”
“ตอนนี้บ่าวยังไม่แน่ใจ เรื่องที่คุณหนูให้บ่าวไปสืบ…” หว่านซินขมวดคิ้ว น้ำเสียงพลันสะดุด
ซูหลีเอ่ย “ทำไมเล่า? สืบไม่ได้ความงั้นหรือ?”
หว่านซินส่ายหน้า คิ้วงามสองเส้นขมวดเป็นปม สายตาจดจ้องใบหน้าซูหลี ก่อนเอ่ยเสียงจริงจัง “บ่าวอยู่นอกกุฏิ พวกเขาคุยกันเสียงเบามาก บ่าวจึงได้ยินไม่ชัด แต่ว่า…บ่าวเห็นองค์รัชทายาทแคว้นติ้งนำภาพหนึ่งออกมา”
ซูหลีนึก หากเขาต้องการตามหาคน มีภาพติดตัวก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สีหน้าของหว่านซินกลับดูประหลาด ซูหลีถามอย่างสงสัย “เขากำลังตามหาคนในภาพหรือ?”
หว่านซินสายตาไหวระริก “ถูกต้องเจ้าค่ะ แต่คนในภาพนั้น หน้าตาละม้ายคล้ายคุณหนูอย่างน้อยก็เจ็ดส่วน”
ซูหลีอึ้งงัน วันนั้นที่วัดเฉิงหวงหลางฉ่างมิได้พูดปด! นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฮูเอ่อร์ตูไล่ตามนางบอกว่านางคล้ายสหายเก่าของตนเอง หลางฉ่างก็นำภาพวาดของสตรีที่มีส่วนคล้ายนางถึงเจ็ดส่วนมาสืบหาคนกับพระอาจารย์ฮุ่ยกวง…
ในเมืองหลวงแห่งนี้ สตรีที่หน้าตาคล้ายนาง นอกจากหลีซูกับเสด็จแม่ของนาง ยังมีผู้อื่นอีกหรือ?
นางหมุนกาย นั่งลงตรงหน้าคันฉ่อง ยกมือลูบดวงหน้าที่ทั้งคุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้าเบาๆ
ใบหน้าเช่นนี้ มีปานประหลาดที่เกิดจากพิษ ท่ามกลางความสับสนงุนงง การเกิดใหม่ครานี้คล้ายมิใช่เป็นเรื่องบังเอิญ เหลือเวลาอีกครึ่งเดือน ก็จะถึงวันที่ท่านอ๋องทั้งสองต้องเลือกพระชายาแล้ว ฮูเอ่อร์ตูขุนพลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยนและหลางฉ่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งจะต้องอยู่ในงานด้วยแน่นอน เมื่อถึงยามนั้นชะตาชีวิตของนางจะหมุนไปยังทิศทางใดอีก?
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียววันคัดเลือกพระชายาก็มาถึง ซูหลีเตรียมการทุกอย่างเสร็จแล้ว รอเพียงพระราชโองการใหม่มาถึงเท่านั้น ทว่า จนถึงเช้าตรู่ของวันคัดเลือกพระชายา ชื่อของนาง ก็ยังคงไม่ปรากฏในรายชื่อคัดเลือกรอบแรก
“คุณหนู ท่านอย่าวาดอีกเลยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ก็ไปแล้ว” โม่เซียงเกลี้ยกล่อมอย่างปวดใจ
ซูหลีราวกับไม่ได้ยิน ใช้สีสันแพรวพราวแต่งแต้มปานสีแดงบนใบหน้า นกเพลิงที่เส้นเค้าโครงละเอียดอ่อน อยู่ในท่าพินอบพิเทาตัวหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นสยายปีกพร้อมโบยบิน เปลี่ยนปานที่เดิมดูขวางหูขวางตา ให้กลายเป็นการแต่งแต้มที่แสนจะสะดุดตา
“หากคุณหนูเข้าวังได้ จะต้องชนะทุกคนได้แน่นอน น่าเสียดาย…” เดิมทีนึกว่าจิ้งอันอ๋องมีวิธี นึกไม่ถึงว่าจะต้องผิดหวัง โม่เซียงก้มหน้าถอนหายใจ
………………………………………….

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset