กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 60 พบองค์รัชทายาทอีกครั้ง

ซูชิ่นตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าซีดเซียวราวกับไร้ลมหายใจ
“ช่วย…ช่วยด้วย…” นางมองซูหลีอย่างอ้อนวอน แต่กลับพบแววตาเย็นเยือกราวกับคมมีด ไม่ใช่น้องสาวขี้ขลาดที่นางเคยรู้จัก ในใจพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นอย่างอดไม่ได้ ตะโกนด้วยความสิ้นหวัง “ท่านอ๋อง…” แล้วก็จมดิ่งกลืนน้ำเข้าไปหลายอึก
ตงฟางเจ๋อราวกับไม่ได้ยิน เมื่อเห็นซูชิ่นกำลังจะจมลึกลงไป ซูหลีก็รู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่ซึมซาบเข้ามาในครั้งนั้นอีกครา ราวกับสายน้ำล้อมรอบเข้ามา พลันสะท้านใจ ตะโกนขึ้นทันใด “หวั่นซิน ช่วยนาง”
หวั่นซินกระโจนโฉบไปทันทีที่ได้ยิน ประชิดผิวน้ำคว้าเข้าที่คอเสื้อของซูชิ่น หิ้วนางกลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้ที่มามุงดูอยู่รอบบริเวณ มองนางด้วยใบหน้าตื่นตระหนก หวั่นซินขมวดคิ้วเอ่ย “มัวอึ้งอะไรกัน? ยังไม่รีบพาตัวคุณหนูใหญ่กลับเรือนอีก แล้วตามหมอมาตรวจรักษาด้วยล่ะ”
คำพูดของนางฟังดูเฉียบขาด ผ่านไปชั่วขณะทุกคนถึงจะฟื้นสติกลับมา รีบร้อนอุ้มตัวซูชิ่นกลับเข้าเรือนทันที
ตงฟางเจ๋อมองร่างหวั่นซิน แววตาล้ำลึกและเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
“จวนอัครเสนาบดีช่างเสือหมอบมังกรซุ่ม[1]จริงๆ ข้าคิดว่าซูซูพิเศษแล้ว คิดไม่ถึงว่าสาวรับใช้ข้างกายจะเหนือความคาดหมายถึงเพียงนี้!” เมื่อกลับถึงฝั่ง เขาวางซูหลีลง ก้มหน้ามองนางเห็นเพียงใบหน้าซีดเซียว ดูแล้วเหมือนจะตกใจ แต่แววตาที่หลุบลงต่ำกลับสงบเป็นปกติ
หวั่นซินก้มหน้าไม่เอ่ยคำใด ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เสมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งนั้น เซิ่งฉินเหลือบมองนางบ่อยครั้งอย่างอดไม่ได้ ใครจะรู้ว่าผู้ที่สามารถรับพลังฝ่ามือของเจิ้นหนิงอ๋องได้ในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คน?
ซูหลีลูบบริเวณหน้าอกครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้วเพคะ หวั่นซินเพียงแค่เคยร่ำเรียนวิชาจากท่านลุงของหม่อมฉันตั้งแต่วัยเยาว์เพียงเท่านั้นเพคะ”
“ท่านลุง?” ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ขมวดคิ้ว
“ใช่แล้วเพคะ” ซูหลีช้อนตายิ้มบางพลางเอ่ย “ท่านอ๋องคงจะไม่ทราบว่า หวั่นซินคือลูกสาวของญาติห่างๆ ทางฝั่งมารดาหม่อมฉัน แม้นว่าท่านลุงของหม่อมฉันจะไม่ใช่คนในยุทธภพ แต่มีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ ปรามปราบผู้มีอิทธิพลและช่วยเหลือผู้อ่อนแอในท้องถิ่น พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ภายหลังโรคห่าระบาด เพื่อป้องกันไม่ให้โรคห่าระบาดไปสู่ท้องที่อื่น ขุนนางจึงก่อไฟเผาหมู่บ้าน ท่านลุงของหม่อมฉันเพื่อที่จะช่วยผู้คนเสียชีวิตท่ามกลางไฟลุกลาม หวั่นซินนั้นวาสนาดี ไม่ติดโรคระบาดและพยายามหนี จึงมาขอพึ่งมารดาของหม่อมฉันเพคะ”
“อ้อ? หากเป็นเช่นนี้จริง ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ” ตงฟางเจ๋อช้อนตามองหวั่นซิน หวั่นซินก้มหน้า สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย แววตาตงฟางเจ๋อไหววูบ เหลือบมองเซิ่งฉิน พลางหัวเราะและเอ่ยเสียงขรึม “บังเอิญเสียจริง องครักษ์คนนี้ของข้าก็ฝึกวิชามาตั้งแต่เยาว์วัย ปกติมีสายตาที่ค่อนข้างเฉียบแหลม เมื่อพบเจอผู้ฝึกวิทยายุทธ์ก็มักอยากขอคำชี้แนะอยู่เสมอ”
“เซิ่งฉินด้อยวิชา ขอแม่นางหวั่นซินชี้แนะข้าด้วย” เซิ่งฉินตอบรับและก้าวขึ้นไปเบื้องหน้า ประกายตาเฉียบคม จับจ้องไปยังหวั่นซิน
หวั่นซินไม่ตอบรับ หันไปมองซูหลี ซูหลีขมวดคิ้ว “หวั่นซินเป็นเพียงคนรับใช้ จะริอ่านประลองฝีมือกับคนของท่านอ๋องได้อย่างไรเพคะ? เกรงว่า…จะไม่เหมาะสม”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะพลางเอ่ย “ซูซูกังวลเรื่องใด? หากเจ้าไม่ให้เซิ่งฉินได้ลองปะทะ คืนนี้เขาคงจะนอนไม่หลับ เอาอย่างนี้ ประลองกันแค่พอเสมควรก็พอ ไม่มีการใช้อาวุธ เป็นเช่นไร?”
ซูหลีอ้ำอึ้ง เห็นฝ่ามือเซิ่งฉินที่กำลังรวบรวมกำลังภายใน ใบหน้าตื่นเต้นดีใจ ความอยากประลองนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ เพียงแต่เจตนาของตงฟางเจ๋อนั้นปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน ควรทำเช่นไร?
เวลานี้เซิ่งฉินก้าวขึ้นหน้าอีกครั้ง ประสานหมัดหันไปทางหวั่นซินพลางเอ่ย “เชิญแม่นาง” แล้วก้าวถอยหลัง พร้อมตั้งกระบวนท่า ไม่รีบร้อนที่จะโจมตี ท่าทางสุภาพนอบน้อม
หวั่นซินลอบไตร่ตรอง ใจคิดหากปฏิเสธออกไป เกรงว่าตงฟางเจ๋อจะยิ่งสงสัยหนักขึ้น จึงประสานหมัดเอ่ยทันที “เชิญ” โบกสะบัดฝ่ามือเรียบง่าย ท่าทางธรรมดายิ่ง เป็นกระบวนท่าทั่วไปของสามัญชนในยุทธภพโดยแท้จริง
เซิ่งฉินลอบประหลาดใจ กำลังภายในของหญิงสาวผู้นี้แข็งแกร่ง เหตุใดกระบวนท่ากลับธรรมดาเช่นนี้? หรือว่านางเจตนาปิดบัง? ไม่มีการปรานีใดๆ การโจมตีค่อยๆ ดุเดือดขึ้น การประลองของยอดฝีมือ การปิดบังความสามารถที่แท้จริงนั้นเปลืองแรงยิ่งกว่าการต่อสู้อย่างเต็มที่เสียอีก เพราะทุกกระบวนท่าของอีกฝ่ายล้วนแต่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาที่ซ่อนอยู่ในร่างกายออกมาได้ ไม่เกินสิบกระบวนท่า หวั่นซินก็ดูท่าจะพ่ายแพ้ ภายใต้สถานการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นหลายครั้ง นางหลบหลีกได้สำเร็จ
ซูหลีเมื่อเห็นก็ตื่นตระหนกยิ่ง เซิ่งฉินสมกับเป็นหนึ่งในผู้ติดตามประจำตัวของตงฟางเจ๋อที่มีความสามารถที่สุด วิทยายุทธ์เก่งกาจ กำลังภายในเต็มเปี่ยม แม้ว่ามือไร้อาวุธ แต่ทุกกระบวนท่าล้วนแต่เฉียบขาดรุนแรง ท่าทีคุกคาม หวั่นซินตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ หากแม้นไม่ระวังเพียงสักนิด เผลอใช้ตำราโบราณ ถูกตงฟางเจ๋อจับได้ว่านางคือคนชุดดำที่คิดลอบสังหารเขาที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ยในวันนั้น ต้องแย่แน่! โทษฐานลอบสังหารองค์ชายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากถูกจับได้ อย่าว่าแต่หวั่นซินคนเดียว กระทั่งทุกคนในจวนอัครเสนาบดีก็ยากที่จะหลุดพ้นจากความเกี่ยวข้องนี้!
ไม่ได้การแล้ว นางต้องรีบหาวิธีขัดขวางการประลองครั้งนี้ มิเช่นนั้นจากความเฉียบคมของตงฟางเจ่อ ไม่ช้าก็เร็วต้องจับพิรุธได้แน่ ซูหลีหันสายตาลอบมองตงฟางเจ๋อ เวลานี้สีหน้าของเขาเคร่งขรึม กำลังสังเกตการเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าของหวั่นซินอย่างละเอียด ทันใดนั้น ซูหลีที่อยู่ข้างกายก็ก้าวขึ้นไป ชี้ไปที่พงหญ้าพลางร้องเสียงตกใจ “นั่นมันอะไรกัน?”
ตงฟางเจ๋อมองตามทิศทางที่นิ้วของนางชี้ เหลือบมองแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เชือกฟางสีดำคล้ายงูซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ เขาขมวดคิ้วตอบรับ “ก็แค่เชือกฟาง”
ซูหลียังคงท่าทางตกใจไม่มั่นคง ยกมือทาบอก ตงฟางเจ๋อหันกลับไปสังเกตการประลองของทั้งสองต่อ ไม่ทันสังเกตว่านางประชิดตัวใกล้กับเขาขนาดนี้แล้ว เมื่อหันศีรษะไปปลายจมูกสูงโด่งก็ชนเข้ากับเส้นผมดำขลับยุ่งกระเซิงอย่างไม่ทันระวัง
เสียงปิ่นปักผมสีเขียวมรกตบนหัวนางตกกระทบพื้นดังสนั่น แตกละเอียดทันทีเมื่อตกสู่แผ่นหินบนถนน
ซูหลีอึ้งงัน ถลึงตาทั้งสองข้าง ตะโกนร้องเสียงหาย “อ๊า! ปิ่นปักผมหยก…ของหม่อมฉัน!”
เสียงตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกของนาง ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อย สองคนที่กำลังปะทะกันก็หยุดลงโดยอัตโนมัติ
ซูหลีย่อตัวลง นิ้วมือเรียวขาวผุดผ่อง ยื่นออกไปจับปิ่นปักผมหยกสีเขียวมรกตที่แตกออกเป็นสองท่อนอย่างสั่นเทา
ตงฟางเจ๋อพลันขมวดคิ้ว ดึงนางขึ้นพลางเอ่ย “เพียงปิ่นปักผมหยกหนึ่งชิ้นเท่านั้น คู่ควรให้เจ้าเสียใจขนาดนี้เชียวหรือ ไว้กลับไปข้าจะมอบอันที่ดีกว่านี้ให้เจ้าเอง”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา แววตาเจ็บปวดพร้อมด้วยประกายเย็นชาคมกริบ ประดุจหิมะหนาวเหน็บที่โปรยปรายลงมาในฤดูหนาวอย่างเฉียบพลัน เหน็บหนาวไปถึงกระดูก
นางเอ่ยประโยคนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำ “โลกนี้มีของล้ำค่าคณานับ เพียงแต่ในใจซูหลี สิ่งของใดๆ ก็มิอาจล้ำค่าเทียบได้กับสิ่งของที่ท่านแม่หม่อมฉันมอบไว้ให้ดูเป็นของต่างหน้าเพคะ”
ตงฟางเจ๋อชะงักทันที เห็นดวงตาแดงก่ำของหญิงสาว พยายามหยุดน้ำตา ในใจราวกับถูกโจมตีโดยฉับพลัน ลืมจุดประสงค์ในครั้งนี้ไปชั่วขณะ
“เจิ้นหนิงอ๋อง!” ซูหลีทำความเคารพเล็กน้อย “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันยังมีเรื่องให้สะสาง ไม่สามารถชมวิวทิวทัศน์ในสวนกับท่านอ๋องได้แล้ว เชิญท่านอ๋องตามสบายเพคะ หวั่นซิ่น ไปกันเถอะ” พูดจบก็ทิ้งตงฟางเจ๋อและองครักษ์ไว้อย่างไม่เกรงใจ หมุนตัวจากไปทันท
หวั่นซินขานรับ “เจ้าค่ะ” ทันควัน พลางหันไปทำความเคารพตงฟางเจ๋ออย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินตามซูหลีออกไป
เซิ่งฉินไม่เข้าใจดังนั้นจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านอ๋อง นี่…”
“กลับจวน” ตงฟางเจ๋อสีหน้าเคร่งเครียด แสดงให้เห็นอารมณ์ของเขาในเวลานี้ว่าไม่สบอารมณ์ยิ่ง เซิ่งฉินปิดปากอย่างอ่านสถานการณ์ออก
เมื่อเห็นเงาร่างของพวกเขาหายลับไปจากประตูสวน ริมฝีปากแดงของซูหลีก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่ภายในดวงตากลับไม่มีรอยยิ้มสักนิด
“ขอบคุณคุณหนูนะเจ้าคะ! หากไม่ได้คุณหนูยื่นมือเข้าช่วยดึงดูดความสนใจของเจิ้นหนิงอ๋อง เกรงว่าวันนี้เจิ้นหนิงอ๋องคงจะไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ แต่ว่าเสียดายปิ่นปักผมชิ้นนี้…” หวั่นซินมองไปยังนิ้วมือที่บีบแน่นของซูหลี ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
……………………………………………..
[1] เสือหมอบมังกรซุ่ม หมายถึง สถานที่ที่เต็มไปด้วยคนเก่งซุกซ่อน

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset