กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 189 นางไม่ใช่ซูหลี (2)

“เหลียนเอ๋อร์เด็กดี เจ้าไปพักผ่อนกับพี่สาวโม่เซียงก่อนเถิด ข้าไม่เป็นไร” นางปลอบประโลมเสียงเบา คงเป็นเพราะใบหน้านางประดับด้วยรอยยิ้ม แลดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ เหลียนเอ๋อร์จึงยอมตามโม่เซียงไปอย่างว่าง่าย
ครั้นแผ่นหลังของสาวรับใช้ทั้งสองหายลับไปจากประตู ซูหลีจึงค่อยหันมากล่าวด้วยเสียงเย็นชา “จิ้งอันอ๋อง! หม่อมฉันไม่ใช่หลีซูจริงๆ เพคะ! ไม่ว่าเมื่อครู่ท่านได้ยินสิ่งใด ล้วนเป็นเรื่องที่ท่านหญิงหมิงอวี้บอกหม่อมฉันผ่านความฝันทั้งสิ้น!”
ตงฟางจั๋วกล่าว “ความฝันอีกแล้วหรือ? มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะโกหกข้าอีกหรือ?!” วาจาตัดพ้ออย่างเจ็บปวดและข่มกลั้น สะท้อนความสิ้นหวังจากใจ พาให้อากาศที่เดิมก็หนาวเย็นอยู่แล้ว ยิ่งหนาวเหน็บเสียดลึกไปถึงกระดูก
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย เบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขา
ตงฟางจั๋วมองดูใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกของนาง นัยน์ตาแหลกสลาย หัวใจเจ็บปวดดั่งโดนมีดกรีดแทง
เขาเอ่ยเสียงสั่น “หลีซูนาง…นางอาจบอกเจ้าว่านางชอบดอกหลี เพื่อความจำเป็นในการรื้อคดี นางกระทั่งอาจบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างข้ากับนาง แต่ว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคดี จดหมายกระดาษสาแทนความรู้สึกคิดถึงที่ข้ามอบให้นาง…นางไม่มีทางบอกผู้ใดแน่นอน! แต่เจ้า กลับรู้ละเอียดถึงเพียงนี้ แม้แต่เนื้อหาและกลิ่นหอมของกระดาษ ก็รู้อย่างแม่นยำขนาดนี้! เพราะเหตุใด?”
ซูหลีไม่ได้ตอบ และไม่มองหน้าเขา
ตงฟางจั๋วกล่าวอย่างเจ็บปวด “เพราะว่าเจ้าก็คือหลีซู…หลีซู ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้ามาก เกลียดข้ามากเสียจน…อยากลืมเรื่องราวที่เกี่ยวกับข้าไปเสียให้สิ้น…”
“จิ้งอันอ๋อง!” ความเจ็บปวดแล่นจู่โจมหัวใจ ซูหลีหายใจสะดุด ในที่สุดก็กล่าวตัดบทเขาด้วยเสียงเย็นชา “ท่านคิดมากไปแล้ว! ท่านหญิงหมิงอวี้เกลียดท่านมากจริงๆ แต่ระหว่างพวกท่านก็เคยมีความทรงจำที่สวยงามร่วมกัน เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าอยากลืมก็สามารถลืมได้ ก็เหมือนกับที่ท่านเคยเกลียดนาง และอยากลืมนาง!”
“ข้าไม่เชื่อ!” ตงฟางจั๋วตัวสั่น ตะโกนด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน หากได้ฟังวาจาเหล่านั้น และเห็นสีหน้าเจ็บปวดยามหวนนึกถึงอดีตของนางเมื่อครู่ แล้วเขายังเชื่อเรื่องวิญญาณเข้าฝันของนางอีก เช่นนั้นเขาก็คงกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ!
“เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้! ท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่ท่าน!” ซูหลีมองหน้าเขาอย่างเย็นชา ครั้นเห็นสายตามุ่งมั่นและแน่วแน่ของเขา นางขมวดคิ้วเบาๆ ทว่ากลับกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อีกว่า “หากท่านอ๋องอยากจะคิดว่าหม่อมฉันคือท่านหญิงหมิงอวี้โดยไม่สนสิ่งใด หม่อมฉันก็ทำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่หม่อมฉันต้องการทูลท่านอ๋องก็คือ จากสิ่งที่ท่านอ๋องกระทำต่อท่านหญิงหมิงอวี้ ท่านอ๋องไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยวาจาเหล่านี้กับหม่อมฉันแม้แต่น้อย! ไม่ว่าหม่อมฉันคือซูหลีหรือหลีซู หม่อมฉันก็ไม่มีทางยอมรับและเลือกท่านอ๋อง เชิญเสด็จกลับไปเถิดเพคะ!”
นางผลักเขาแรงๆ ถอยหลังไปสองก้าว สายตาที่จ้องหน้าเขาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง ไร้ซึ่งความอบอุ่น ตงฟางจั๋วราวกับสูญสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง ถูกนางผลักจนเซไปหลายก้าว แทบยืนไม่อยู่
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ไม่สนใจเขาอีก เพียงหมุนกายเดินเข้าเรือนไป เส้นตายสามวันที่ฮ่องเต้กำหนด ครบกำหนดวันนี้พอดี นางจำต้องเร่งเตรียมตัวเข้าวัง
สางผมล้างหน้าให้เรียบร้อย ยามนางออกมาจากเรือน ตงฟางจั๋วกลับยังคงยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ร่างกายที่เดิมสูงใหญ่ภูมิฐาน ยามนี้เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว กลับดูเหมือนใบไม้แห้งเหี่ยวที่แกว่งไหวอยู่กลางสายลม
ซูหลีลอบกำหมัดแน่น เดินไปจนถึงประตูใหญ่ ในที่สุดก็หยุดก้าว หันกลับมากล่าวเสียงเรียบเฉย “วันนี้ซูหลีได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้เลือกพระสวามี จิ้งอันอ๋องประชวรหนักยังไม่หายดี ในเมื่อไม่อาจเข้าวังเข้าร่วมการคัดเลือก เช่นนั้นก็เชิญเสด็จกลับไปพักผ่อนที่จวนเถิดเพคะ มิเช่นนั้น หากอาการประชวรแย่ลง ซูหลีคงรับผิดชอบไม่ไหว!” เอ่ยจบนางไม่มองเขาอีก สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
เลือกพระสวามี…ตงฟางจั๋วอ้าปากเล็กน้อย เสียงหัวเราะเจ็บปวดอันเงียบงัน เล็ดลอดผ่านกลีบปากซีดเซียวของเขา พาให้สีหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อยปกคลุมใบหน้าเขา เขาหมุนกายเดินออกจากประตูไปเหมือนเครื่องจักร
ตอนที่ซูหลีมาถึงพระราชวัง การประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงเสร็จสิ้นพอดี ตงฟางเจ๋อสวมเครื่องแบบราชสำนักสำหรับท่านอ๋อง เดินอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีราศีของผู้เป็นกษัตริย์แผ่กำจายอยู่รอบกาย ดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ช่างโดดเด่นสะดุดตา
ครั้นเห็นนาง ใบหน้าเคร่งขรึมของเขาก็พลันมีรอยยิ้มอ่อยโยนผุดพรายขึ้นมา เขาก้าวเท้าเร็วๆ ฝ่าฝูงชนมาหานาง “ซูซู เจ้ามาแล้วหรือ พอดีเลย พวกเราไปพร้อมกัน” ต่อหน้าเหล่าขุนนางมากมาย เขากลับจูงมือนางตรงๆ ราวกับว่านางเป็นภรรยาของเขาแล้ว ท่าทีดูเป็นธรรมชาติสุดแสน
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย อยากดึงมือเขาออก เขากลับจงใจกระชับแน่นกว่าเดิม
ซูเซียงหรูเห็นเช่นนั้นก็ยกมือลูบเครา ใบหน้าเกลื่อนยิ้ม แววย่ามใจพาดผ่านดวงตา เหล่าขุนนางแล่นเรือไปตามทิศทางลม ต่างพากันเข้าไปแสดงความยินดี มีเพียงซูฉุนที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำใด
คดีของท่านหญิงหมิงอวี้ ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง สร้างความสะเทือนไปทั้งราชสำนัก ถึงแม้พระชายารองอวี้ในเซ๋อเจิ้งอ๋องได้ปลิดชีพตนเองหนีโทษ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเซ่อเจิ้งอ๋องกับจิ้งอันอ๋องแน่นอน และเซ่อเจิ้งอ๋องกับจิ้งอันอ๋องก็ถูกเรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก หลีเฟิ่งเซียนโรคภัยรุมเร้า ได้รับพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้ให้งดเว้นการเข้าร่วมประชุมช่วงเช้าได้ ส่วนตงฟางจั๋วไอเย็นเข้าแทรกร่างกายจนเป็นไข้ ป่วยหนักนอนติดเตียง สติสัมปชัญญะเลือนราง มิหนำซ้ำเรื่องถวายฎีกาขอร้องฝ่าบาทเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพเป็นครั้งที่สอง ยังส่งผลให้ฝ่าบาทกริ้วหนัก ไม่โปรดปรานเขาดังเช่นแต่ก่อนอีก
ภาษิตว่าไว้มีขึ้นก็ต้องมีลง เหล่าขุนนางหลายคนที่เดิมเคยสนับสนุนตงฟางจั๋วต่างพากันผิดหวังในตัวเขาเพราะเรื่องนี้ จึงแล่นเรือไปตามทิศทางลม หันมาสนับสนุนตงฟางเจ๋อ ยามนี้ตงฟางเจ๋อได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเป็นพิเศษ มีอำนาจเรืองรองดั่งดวงตะวันกลางนภา
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่?” ระหว่างทางไปตำหนักใน ตงฟางเจ๋อเห็นนางขมวดคิ้ว จึงเอ่ยถาม
ซูหลีมองหน้าเขา ดวงตางาม คิ้วคมเข้ม ใบหน้าเบิกบานอิ่มเอม วันนี้ตงฟางเจ๋อดูอารมณ์ดีไม่น้อย ซูหลีสายตาไหวระริกเล็กน้อย กล่าวเสียงนิ่ง “หม่อมฉันกำลังคิดว่า คดีของท่านหญิงหมิงอวี้ ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริงกันแน่?!”
ตงฟางเจ๋ออึ้งงันเล็กน้อย คิ้วกระบี่ที่ตวัดขึ้นขมวดเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น มือที่กุมมือนางพลันคลายออกเล็กน้อย เขาชะงักฝีเท้า แล้วจ้องหน้านางนิ่งๆ
ซูหลีมองตอบด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม สายตาเย็นชา เมื่อครู่พอเห็นเขายืนอย่างมีสง่าราศีอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนาง ไม่มีผู้ใดเทียม นางก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะไม่อยากเห็นเขาโดดเด่น เพียงแต่การที่เขาโดดเด่นจากเรื่องนั้น มันทำให้นางรู้สึกหนักอึ้งในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ทุกสิ่งที่เขาทำให้นาง มีผลประโยชน์เป็นแรงขับเคลื่อนหรือไม่?
สองคนที่เมื่อครู่ยังเดินจูงมือกัน ดูเหมือนรักหวานซึ้งกินใจ จู่ๆ สายตากลับเย็นชาตึงเครียด สร้างกำแพงหนากั้นขวางอีกฝ่าย
“ซูซู…” ตงฟางเจ๋อพลันทอดถอนใจ คล้ายไม่รู้ว่าควรตำหนินางอย่างไรดี เขาจูงมือนางอีกครั้ง ดึงนางก้าวเดินไปข้างหน้า “ข้าช่ำชองการวางแผน ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ก็จริง แต่ชีวิตคนเรามักมีคนหนึ่ง หรือความรู้สึกหนึ่ง ที่เป็นข้อยกเว้น! ซูซู เจ้าก็คือเรื่องเหนือความคาดหมายที่สวยงามที่สุดในชีวิตข้า!”
แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณสาดกระทบใบหน้าชายหนุ่ม รอยยิ้มของเขาอบอุ่นเจิดจรัส ค่อยๆ หลอมละลายความเย็นชาและกำแพงกั้นขวางในสายตานางทีละนิดๆ
“ท่านอ๋อง…ทรงยกยอหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ!”
“เจ้าไม่เชื่อหรือ?”
ซูหลีหลุบตา แย้มยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร สำหรับนาง แม้แต่คำสาบานสามภพสามชาติยังผิดคำสาบานได้ นับประสาอะไรกับคำพูดสวยหรูเช่นนี้ ในใจนาง คำสาบาน เทียบไม่ได้เลยกับการยืนยันด้วยการกระทำ
“ได้ยินว่าในการประชุมช่วงเช้าของเมื่อวาน ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกตัวแม่ทัพทหารม้าที่ประจำการอยู่ชายแดนกลับเมืองหลวงหรือเพคะ?” ซูหลีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามถึงเรื่องที่นางบังเอิญได้ยินมาเมื่อวานอย่างไม่ใส่ใจ
…………………………………………………………..

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset