กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 209 หึงครั้งแรก (2)

ครั้นวาจานี้เอ่ยออกไป ทุกคนก็ทยอยลุกขึ้น ตงฟางเจ๋อยื่นมือออกไปหมายจูงมือซูหลีอย่างเป็นธรรมชาติ
ซูหลีกลับยกมือกระชับเสื้อคลุมอย่างแนบเนียน เอ่ยกำชับเสียงเบา “เหยาเอ๋อร์ดูแลสุขภาพให้ดี วันหลังมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมอีก” สายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ทอดมองออกไปนอกสวน ราวกับมองไม่เห็นการส่งสัญญาณจากเขา
นางหลบเลี่ยงชัดเจนขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย มือชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะดึงกลับอย่างบึ้งตึง ทั้งสามเดินออกจากจวนเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างเงียบงัน
นครหลวงภายใต้แสงสายัณห์ที่แผ่ปกคลุมลงมา แสงไฟในตัวเมืองเข้ามาแทนที่ความคึกคักอันฉาบฉวยในยามกลางวัน อาบไล้ด้วยแสงสีเหลืองขุ่น หากก้มมองลงมาจากกลางอากาศ ก็จะเห็นทิวทัศน์งดงามตราตรึง
ถนนตงซื่อยังคงคึกคักไม่น้อยลง โรงเหล้าอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ‘หอเทียนเซียง’ เต็มไปด้วยแขกเหรื่อเนืองแน่น เหตุผลมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นเพราะไม่กี่วันก่อนที่นี่มีหญิงนางหนึ่งที่งามทั้งรูปโฉมและพร้อมด้วยความสามารถมาใหม่ นามว่าเตี๋ยอู่ ทุกค่ำคืน นางจะแสดงการร่ายรำให้แขกที่มากินข้าวชม เพียงไม่ถึงเดือน ชื่อเสียงก็เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง
ได้ยินว่าท่วงท่าอันงดงามของนางเปรียบได้กับเทพธิดาฉางเอ๋อ[1] ที่ตกลงมาในโลกมนุษย์ เสียงขับร้องของนางไพเราะเพราะพริ้งจับใจคนฟัง รูปโฉมอันงดงามโดดเด่นของนาง ไม่มีบุรุษใดที่ใจไม่เต้นแรง เดิมทีการค้าขายของหอเทียนเซียงก็รุ่งเรืองอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเหมือนเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[2]
ขณะที่พวกตงฟางเจ๋อเข้าไปด้านใน เหลือโต๊ะว่างอยู่เพียงสองสามตัว แต่ไม่นานก็ถูกแขกที่เดินตามกันเข้ามาติดๆ ยึดครองจนเต็ม ห้องส่วนตัวถูกจองเต็มล่วงหน้าหลายวันแล้ว แขกที่กระจายตัวกันนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่เป็นผู้ชายเสียส่วนมาก มองไปเห็นผู้คนสารพัดอาชีพ หลากหลายรูปแบบ
เหลียงหรูเยวี่ยมีฐานะเป็นบุตรีสกุลผู้ดี ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เล็ก อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด นางเม้มปากเล็กน้อย ถึงแม้ไม่ค่อยพอใจ แต่เพื่อที่จะได้ชมการร่ายรำอันน่าทึ่งในตำนาน จึงทำได้เพียงอดทน
ซูหลีกลับไม่ค่อยถือสาเรื่องประเภทนี้ ตอนที่ยังเป็นหลีซู นางมักออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยๆ จึงเรียนรู้ที่จะทำตัวให้เคยชินกับสภาพแวดล้อมโดยรอบนานแล้ว
ที่นั่งของพวกเขาอยู่ด้านตะวันตกของเวทีการแสดง ไม่ใช่ที่นั่งด้านหน้า เวทีนี้เป็นรูปวงกลม ตั้งอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่ โต๊ะอาหารถูกจัดวางอย่างเหมาะสมโดยรอบทั้งสี่ด้าน เว้นระยะห่างพอดี ทำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการรับชม
เพียงแต่บนเวทีไร้เงาคน ไม่รู้ว่าการแสดงจะเริ่มขึ้นเมื่อใด
หอเทียนเซียงมีแขกคนใหญ่คนโตมากมาย การจัดอาหารกลับรวดเร็วทันใจ ผ่านไปไม่นาน อาหารก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอย่างครบครัน กลิ่นหอมลอยกรุ่น หน้าตาอาหารประณีตไร้ที่ติ ดึงดูดให้น้ำลายไหลอย่างไม่อาจควบคุม
เหลียงหรูเยวี่ยมองดูขนมเปี๊ยะหน้าตาประณีตที่อยู่บนโต๊ะ แล้วหันไปมองตงฟางเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างซูหลี เขากำลังจัดวางอาหารให้นางอย่างใส่ใจ สีหน้าดูเป็นธรรมชาติ ไม่เอ่ยปากถามสักคำ เห็นชัดว่าจำอาหารที่นางโปรดปรานได้ขึ้นใจนานแล้ว
แต่ซูหลีกลับสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ รอจนอาหารถูกจัดวางเสร็จ ก็เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ขอบพระทัยเพคะ” ระหว่างพวกเขาคล้ายมีบางสิ่งที่สื่อถึงกันได้โดยไม่ต้องพูด ขอเพียงส่งสายตา ก็สามารถเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย อย่างที่คนนอกไม่อาจเข้าใจได้
วินาทีนั้น เหลียงหรูเยวี่ยรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนนอก
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับพริบตาเดียวพวกเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยามนี้เมื่อมานั่งอยู่ในหอเทียนเซียงแห่งนี้อีกครั้ง พี่ชายเจ๋อของนาง ก็ได้ลืมเลือนเรื่องในอดีตไปจนสิ้น ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้าและผิดหวัง
“เมื่อครู่เจ้ายังโวยวายกับข้าว่าหิวมากมิใช่หรือ อาหารก็ครบแล้ว กลับนั่งเหม่อเสียได้” ตงฟางเจ๋อกระตุกมุมปากยิ้ม เด็กคนนี้ไม่รู้คิดอะไรอยู่ ใจลอยทั้งวัน ยิ่งทำให้ดูเงอะงะกว่ายามยังเยาว์วัย
“เปล่านี่ อาจเพราะหิวเกินไป” เหลียงหรูเยวี่ยรีบยิ้ม ทว่ากลับก้มหน้าลงไปเงียบๆ
“เด็กโง่” ตงฟางเจ๋อคีบขนมเปี๊ยะหน้าตาสวยงามชิ้นหนึ่งวางในจานนาง “เจ้าชอบสิ่งนี้มากที่สุดไม่ใช่หรือ รีบกินตอนที่ยังร้อน ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะเลี่ยน”
เหลียงหรูเยวี่ยใจสั่นไหว ยิ้มตาหยี ชะโงกตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ที่แท้…ท่านก็ไม่ได้ลืมหรอกหรือ?”
ตงฟางเจ๋อแค่นหัวเราะ “ลืม? ตอนเด็กๆ เจ้ามักร้องไห้ตามหลังข้า ข้าโดนทำโทษเพราะเจ้าไม่รู้ตั้งกี่หน โตแล้วยังทำตัวเงอะงะ ไม่รู้จักทำตัวให้สมกับเป็นกุลสตรีบ้าง ภายหน้าผู้ใดจะสู่ขอเจ้า?!”
วาจาที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจของเขา กลับทำให้สองคนที่มีเรื่องในใจต่างสะดุ้ง
ซูหลีเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา เป็นเช่นนั้นจริงๆ วันนี้เพราะความใกล้ชิดของตงฟางเจ๋อกับเหลียงหรูเยวี่ย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ เพราะสายตาที่เหลียงหรูเยวี่ยมองเขา ดูก็รู้ว่ารู้สึกเป็นอื่น เขาฉลาดถึงเพียงนั้น ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ?
เขาเพียงแค่ทำเป็นไม่รู้เท่านั้นเอง
ซูหลีลอบถอนหายใจ ในโลกของความรู้สึก หากทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกไม่เท่ากัน คนที่เป็นฝ่ายไล่ตามจะลำบากกว่ามาก ทุ่มเททุกสิ่งกลับได้คืนมาเพียงความสนใจเป็นครั้งคราว…
ไฟในห้องโถงพลันหรี่ลง มีเพียงโคมแดงที่ห้อยอยู่บนเพดานสูงๆ รอบทิศ ที่ส่องแสงสีแดงหม่นๆ เพื่อเพิ่มบรรยากาศลึกลับยากจับต้องในห้องโถง
ผู้คนพากันโห่ร้อง ปรบมืออย่างครึกครื้น โดยเฉพาะแขกผู้ชายสองโต๊ะด้านหน้าที่ร้องเสียงดังที่สุด ทุกคนต่างเบิกตากว้างตั้งตารอคอย ด้วยกลัวว่าจะพลาดวินาทีสำคัญไป
ซูหลีหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เวทีการแสดงนี้แม้ดูตกแต่งเรียบง่าย ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เวลาที่กำหนดไว้สำหรับเริ่มการแสดง ราวกับคำนวณความอดทนในการรอของแขก และสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เป็นใจมาอย่างพอดิบพอดี
แสงไฟในห้องโถงเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดสับเปลี่ยนกันไปมา ทว่ากลับยังคงมองเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเหล่าแขกผู้ชายได้อย่างชัดเจน นางหยักยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย โลกสมัยนี้ เพื่อการค้าแล้วทำได้ทุกอย่างจริงๆ ถึงกับคิดลูกเล่นอย่างนี้ขึ้นมาเพื่อดึงดูดลูกค้า
เสียงพิณอันไพเราะดังขึ้น แฝงแววอ้อยอิ่ง คล้ายกำลังหยอกเย้าหัวใจคนฟัง บนเพดานเหนือเวทีพลันปรากฏแสงสีเงินเส้นหนึ่ง ดั่งแสงจันทร์ในยามค่ำคืน สาดกระทบร่างสีขาวสะอาดตาที่กำลังลอยตัวลงมาอย่างเชื่องช้า
ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความตกตะลึง
ใบหน้าของหญิงสาวถูกพัดขนนกที่กำลังกระเพื่อมเบาๆ ในมือบดบัง เอวคอดบางของนางถูกผ้าไหมสีแดงผูกไว้แน่น ขับเน้นให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง ร่างของนางลอยหมุนเป็นวงกลม กระโปรงสีขาวพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ กระทั่งผ้าไหมคลายออก เท้าของนางก็สัมผัสพื้นพอดี
หญิงสาวยืนนิ่งในท่าเดิมไม่ขยับ หลังเงียบอยู่ไม่นาน พัดขนนกพลันถูกสะบัดออกซ้ายขวา เผยให้เห็นดวงตาที่เหมือนดวงดาวอันไกลโพ้น กลีบปากสีแดงสด ช่างเป็นโฉมตรูที่มีรูปงามโดดเด่นจริงๆ! ขณะเดียวกัน เสียงพิณที่ตอนแรกเป็นท่วงทำนองอ้อยอิ่ง เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น
ท่วงทำนองตื่นเต้นเร้าใจ ท่วงท่าร่ายรำแข็งแรงทว่าอ่อนช้อย งดงามเกินบรรยาย
นางเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว อ่อนช้อยดั่งผีเสื้อ เดินวนรอบเวทีรูปวงกลมเหมือนกำลังโบยบิน แขนเสื้อกว้างๆ โฉบไหวผ่านแขกที่นั่งใกล้เวทีเป็นครั้งคราว พัดพาเอากลิ่นหอมชวนหลงใหลมาทำให้ผู้ชมจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์อย่างไม่รู้ตัว เพลงสุดท้ายทำนองช้าลง ครั้นใกล้จบเพลง ฝีเท้าของนางถี่ขึ้นเรื่อยๆ หมุนตัวร่ายรำไปจนถึงใจกลางเวที และจบด้วยท่ายืนเชิดคางไปพร้อมกับโน้ตดนตรีตัวสุดท้าย
ดนตรีจบ ผู้คนเงียบงัน หัวใจเต้นรัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงปรบมือพลันดั่งสนั่นเหมือนเสียงฟ้าร้อง แล้วยังมีเสียงผิวปากเสียดแทงแก้วหูดังระงม บรรยากาศในหอเทียนเซียงราวกับปะทุขึ้นในเสี้ยววินาที เตี๋ยอู่ค้อมกายคารวะไปยังด้านล่างเวที แสงสว่างในห้องโถงกลับมาสว่างเหมือนเดิม
………………………………………..

[1]เทพธิดาฉางเอ๋อ  เป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อปรัมปราของจีน โดยที่นางประทับเฉพาะแต่บนดวงจันทร์เท่านั้น
[2]เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เป็นสำนวนหมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้น ทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset