กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 210 ถูกเกี้ยวพาราสีต่อหน้าธารกำนัล (1)

แม้แต่เหลียงหรูเยวี่ยคุณหนูตะกูลผู้ดีที่เคยชมการแสดงใหญ่ๆ มานับไม่ถ้วน ก็ยังอึ้งค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยตะโกนอย่างตื่นเต้น “ช่างเป็นระบำผีเสื้อที่สวยสมชื่อจริงๆ! งดงามยิ่งนัก!”
ซูหลีสะดุดใจ การร่ายรำของสตรีนางนี้โดดเด่นมากจริงๆ ไม่รู้ว่านางไปร่ำเรียนมาจากผู้ใด ตงฟางเจ๋อกลับนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่แยแส หมุนถ้วยหยกใบเล็กในมือเล่น คล้ายขี้เกียจแม้กระทั่งจะเงยหน้ามอง หลังจากพิธีคัดเลือกพระชายา ไม่มีการร่ายรำของผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถตรึงใจเขาได้อีก การร่ายรำ ‘นกเพลิงสยายปีก’ ที่ทำให้โลกตะลึงของหญิงงามข้างกาย ได้ตราตรึงอยู่ในใจเขาอย่างไม่มีวันลบเลือนไปตลอดกาล
สตรีนามว่าเตี๋ยอู่ที่ยามนี้กำลังเป็นที่จับตามอง กวาดตามองแขกในห้องโถงอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานใส “ข้าน้อยนามว่าเตี๋ยอู่ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการสรรเสริญเยินยอจากทุกท่าน วันนี้โชคดียิ่งนักที่ได้พบปะทุกท่านที่นี่ หวังว่าการร่ายรำอันอัปลักษณ์ของเตี๋ยอู่จะทำให้ทุกท่านสนุกสนานขึ้นบ้าง”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็ได้ยินคนข้างล่างตะโกนเสียงดัง “อย่ามัวแต่เอ่ยวาจาสุภาพเหล่านั้นอยู่เลย! ข้าฟังจนเบื่อ! หากต้องการให้สนุกจริงๆ มาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักคำจึงจะถูก!” พูดจบ คนผู้นั้นก็วางถ้วยสุราลงบนโต๊ะอย่างแรง ยกไหสุราขึ้นรินจนเต็มจอก เสียงนั้นดังชัดเจนไปทั่วห้องโถง ดั่งเสียงระฆังสั่นสะท้านเสียดแทงแก้วหูผู้คน เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์ระดับสูง
วาจานี้เปรียบเหมือนก้อนหินที่โยนลงไปในบ่อน้ำสงบนิ่ง ฝูงชนในห้องโถงต่างฮือฮา พากันชะโงกหน้าไปดูว่าผู้ใดกันช่างอวดดีเช่นนี้! ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงว่าหญิงสาวนามว่าเตี๋ยอู่ผู้บอบบางจะรับมือกับเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้อย่างไร
ด้านหน้าเวทีการแสดง ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กำยำสวมชุดสีเทาผู้หนึ่งยืนอกผายไหล่ผึง อายุราวสามสิบกว่าปี คิ้วหนาใบหน้ากว้าง กลิ่นสุราโชยรอบกาย สายตาชั่วร้ายกวาดมองเรือนร่างของเตี๋ยอู่อย่างเปิดเผย แสดงให้เห็นถึงความคิดสกปรกอย่างไม่คิดปิดบัง
เตี๋ยอู่หน้าเปลี่ยนสี ตั้งแต่ที่นางมาที่หอเทียนเซียง นี่เป็นครั้งแรกที่เจอแขกเช่นนี้ ถึงแม้เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ยากที่จะข่มความรู้สึกโกรธขึ้งในใจได้ แต่นางก็ถือว่าเป็นสตรีขายศิลปะที่พบเห็นโลกมาไม่น้อย รู้ดีว่าเมืองหลวงแห่งนี้คือสถานที่ซ่อนเสือเร้นมังกร มียอดฝีมือมากมาย มิอาจสร้างความไม่พอใจให้ผู้คนที่นี่
เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยตอบ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งพลันตะโกนขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว “ดื่มเป็นเพื่อนเจ้า? เจ้าไม่ส่องกระจกดูบ้าง ว่าสภาพอย่างเจ้า แม่นางเตี๋ยอู่อยากดื่มด้วยหรือไม่!”
คนในห้องโถงต่างพากันหัวเราะเกรียวกราว!
ชายฉกรรจ์ชุดเทาคนนั้นโกรธขึ้ง ตบโต๊ะดัง ‘ปัง’ มุมโต๊ะด้านหนึ่งหักในพริบตา!
ผู้คนตกตะลึง พากันกลั้นหายใจ มองตามเสียงไป ห่างจากชายฉกรรจ์ชุดเทาออกไปสองโต๊ะ บุรุษในชุดพิธีการร่างกายแข็งแรงกำยำผู้หนึ่งลุกพรวด ดูแล้วน่าจะยังอายุน้อย เขาเหล่มองชายฉกรรจ์ชุดเทา สายตาเต็มไปด้วยแววดูแคลน เสียงของเขาทุ้มลึกทรงพลัง ไม่อ่อนด้อยไปกว่าชายฉกรรจ์ชุดเทาแม้แต่น้อย ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ ดูเหมือนต้องการดวลพลังกัน
แววสนอกสนใจพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ สองคนนี้ คือสองคนที่ตะโกนเสียงดังที่สุดเมื่อกี้!
ชายฉกรรจ์ชุดเทาถึงแม้ดื่มสุราไปมาก แต่สัญชาตญาณของผู้มีวรยุทธ์ได้ปลุกให้เขามีสติขึ้นมาหลายส่วน “เจ้าเป็นใคร? กล้าทำลายความบันเทิงของข้า?!”
บุรุษชุดพิธีการแค่นเสียงเย็นชา ตอบกลับอย่างดูแคลน “ข้าเป็นใครเจ้าไม่ต้องรู้ มาจากที่ใดเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ถาม! รู้ไว้เพียงว่า แม่นางเตี๋ยอู่เป็นของข้า!”
วาจานี้กล่าวดูถูกผู้คนยิ่งนัก ชายฉกรรจ์ชุดเทาโกรธจนควันออกหู ฤทธิ์สุรากำเริบ เขาด่าทอเสียงเกรี้ยว “ถุย! เข้าส้วมยังต้องต่อแถว! มารดาเอ็งไม่รู้จักกฎระเบียบบ้างหรือไร?”
“เหอะ กฎระเบียบ?! กฎเกณฑ์ของเจ้าเป็นได้แค่ลมตดในสายตาข้าเท่านั้น!”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด สรรพเสียงในห้องโถงขนาดใหญ่เงียบกริบ เหลือเพียงเสียงวิวาทของชายผู้มีวรยุทธ์ร่างใหญ่สองคนเท่านั้น แขกบางกลุ่มเริ่มสับสนงุนงง การแสดงดีๆ ชุดหนึ่ง เหตุใดจู่ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
ครั้นเห็นเหตุการณ์เริ่มควบคุมยาก เถ้าแก่หอเทียนเซียงมิอาจทนต่อไป เดินตัวสั่นเข้ามาเกลี้ยกล่อมด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ท่านทั้งสอง มีเรื่องใดเจรจากันดีๆ เถิด ต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตากันทั้งนั้น อย่าได้โกรธเคืองกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย ข่าวแพร่ออกไปจะดูไม่ดีนะขอรับ”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ คอเสื้อก็ถูกกระชากอย่างแรง ชายฉกรรจ์ชุดเทาอับอายระคนเดือดดาล ยกร่างเขาขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดายเหมือนไก่ตัวเล็กๆ อ้าปากตะโกนด่าเสียงดัง “ไสหัวไปให้พ้น!”
เดิมทีวาจาเกลี้ยกล่อมของเถ้าแก่ไม่ได้มีปัญหาใด แต่สำหรับชายฉกรรจ์ชุดเทา กลับเต็มไปด้วยวาจาเสียดสี! เขากวาดตามองรอบทิศ สายตาของคนมากมายในห้องโถงล้วนจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าตนเอง ต่างแฝงแววเย้ยหยันและนึกสนุกรางๆ
ถูกด่าไม่เหลือชิ้นดีต่อหน้าธารกำนัล เขาใช้ชีวิตอย่างอวดดีมาสามสิบกว่าปี ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้! ช่างน่าอับอายยิ่งนัก! ชั่วขณะหนึ่ง ชายฉกรรจ์ชุดเทาเดี๋ยวก็หน้าเขียว เดี๋ยวก็หน้าขาว
ทุกคนร้องด้วยความตกใจ จะมีเรื่องกันแล้ว จะมีเรื่องกันแล้ว!
สองเท้าเถ้าแก่ลอยเหนือพื้น ใบหน้าชราตกใจจนซีดเผือด ตนเองมาเกลี้ยกล่อมแท้ๆ! เขาร้องอ้อนวอนปนเสียงสะอื้น “ผู้กล้าโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”
‘ฮ่าๆ!’ ชายชุดพิธีการพลันแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง เขายืนเท้าสะเอว กล่าวอย่างดูแคลนสุดแสน “มีปัญญาก็มาลงมือกับข้านี่! ไประบายความแค้นที่เถ้าแก่ทำไมเล่า? จุ๊ๆ ดูสภาพเหมือนหมีของเจ้าสิ! ฮ่าๆๆ!”
ชายฉกรรจ์ชุดเทาเดือดดาลสุดขีด หมายจะอาละวาดด้วยการโยนร่างเถ้าแก่ใส่ชายชุดพิธีการ จู่ๆ พลันได้กลิ่นน้ำหอมมีระดับ บนแขนกำยำของเขา มือเรียวขาวดั่งหยกข้างหนึ่งแตะลงมา “นายท่านผู้นี้เป็นอะไรไป? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ คุ้มค่าให้ท่านโมโหใหญ่โตเช่นนี้หรือ?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เตี๋ยอู่เดินลงจากเวทีมายืนอยู่ข้างชายฉกรรจ์ชุดเทา
ดวงหน้างดงามโดดเด่นราบเรียบไร้อารมณ์ กลีบปากแดงเคลือบรอยยิ้มบาง น้ำเสียงนางนุ่มนวล สายตาอ่อนช้อยสดใสดั่งลำธารกลางภูเขา พลันทำให้เพลิงโทสะที่ลุกท่วมของชายฉกรรจ์ชุดเทามอดดับไปกว่าครึ่ง เขาคลายมืออย่างไม่รู้ตัว เถ้าแก่ล้มนั่งบนพื้น ยืดคอหอบหายใจ เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ได้ไปเยือนประตูยมโลกมาหนหนึ่งแล้ว
สายตาเหิมเกริมอย่างเปิดเผยของเขา จดจ้องอยู่ที่มือขาวเนียนดั่งหยกข้างนั้น เนียนนุ่มราวกับหน่ออ่อนในฤดูใบไม้ผลิ อดไม่ได้ที่ใจจะสั่นสะท้าน อยากครอบครองในทันที เตี๋ยอู่กลับเลื่อนมือออกไปอย่างได้จังหวะราวกับไม่ได้ตั้งใจ นางเลื่อนมือไปหยิบไหสุราบนโต๊ะ รินสุราด้วยตนเอง แล้วยกขึ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านมาเยือนหอเทียนเซียง เป็นเกียรติของเตี๋ยอู่ยิ่งนัก ข้าน้อยขอถือโอกาสดื่มสุราจอกนี้เพื่อคารวะท่านทั้งสอง ขอท่านทั้งสองโปรดระงับโทสะ เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร นั่งลงดื่มด่ำกับอาหารรสเลิศ ชื่นชมการร่ายรำต่อเถิดเจ้าค่ะ”
“ดี เจ้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอก เรื่องนี้ก็จะจบด้วยดี” บุรุษชุดพิธีการยิ้มชั่วร้าย
เตี๋ยอู่อึ้งงันเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “นายท่านทั้งสองล้วนเป็นผู้กล้า ต่างเป็นแขกผู้มีเกียรติของหอเทียนเซียงเรา ไม่ว่าได้ร่วมดื่มกับท่านใด ก็ล้วนเป็นโชคดีของเตี๋ยอู่ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ข้าน้อยขอคารวะนายท่านทั้งสองคนละจอก แต่ระหว่างนายท่านทั้งสอง ยากแยกแยะฝีมือสูงต่ำ…”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็ถูกวาจาหยาบคายของชายฉกรรจ์ชุดเทาตัดบทเสียก่อน
“ถุย เขาน่ะหรือ? ยามข้าออกรบกับศัตรู เกรงว่าเขายังกินนมอยู่ในอ้อมอกแม่! คิดจะเทียบกับข้า ชนะหมัดของข้าให้ได้ก่อนเถิด!” ครั้นเห็นหญิงงามทำดีกับตนเอง แต่ถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมทำลายบรรยากาศอีกครั้ง ชายฉกรรจ์ชุดเทามิอาจควบคุมเพลิงโทสะได้อีกต่อไป โพล่งด่าเสียงดัง
………………………………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset