กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 243 ไม่หันหลังกลับอีก (2)

ซูหลีอึ้งงัน หัวใจนางพลันหยุดเต้นไปทันที รองเท้า พิเศษ? นางรู้จักนางกำนัลที่ตายไปแล้วคนนั้น!
อวี้หรงเดินเข้ามาเร่งเสียงลนลาน “ท่านหญิง รีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ ฮองเฮาทรงรออยู่”
สายตาซูหลีมองตามขันทีกลุ่มนั้นที่สาวเท้าเร็วๆ เดินห่างออกไป พลางทำหน้าครุ่นคิด ในมือของนางกำนัลที่ตายแล้วคนนั้นคล้ายกำของบางอย่างไว้! แปลกนัก ตอนที่นางโดนโบยจนสิ้นลม เหตุใดจึงยังกำของสิ่งนั้นไว้ในมืออย่างสุดชีวิต?
สัญชาตญาณบอกกับนางว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ! ยามนี้ขันทีที่ยกศพเดินเลี้ยวลับหายไปในทางเดินอันยาวเหยียดของตำหนักแล้ว สายตาซูหลีไหวระริก พลิกข้อมือเบาๆ หมายจะส่งสัญญาณสื่อสารลับเฉพาะของเฉินเหมิน ก็เห็นเงาร่างของหวั่นซินเดินเข้ามาในตำหนักฉางชุนอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูเจ้าคะ!” นึกไม่ถึงว่ามาที่นี่ก็เจอซูหลีเลย สีหน้าร้อนใจของหวั่นซินคลายลงเล็กน้อย ครั้นเห็นอวี้หรงที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ก็หุบปากทันที
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “อวี้หรง เช็ดน้ำตาให้สะอาด แล้วนำชาไปถวายฮองเฮาก่อนเถิด”
น้ำเสียงของนางอ่อนโยนนุ่มนวล อวี้หรงที่ได้สติกลับมาบ้างแล้วพยักหน้ารับคำ เช็ดน้ำตาแล้วรีบเดินออกไปอย่างรีบร้อน
หวั่นซินยังไม่ได้พูดอะไร ซูหลีก็ถามเสียงขรึมก่อนแล้ว “ผลการร่วมพิจารณาคดีออกแล้วใช่หรือไม่?”
“คุณหนูคาดเดาได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ! เถียนหย่งรับสารภาพแล้วว่าเจิ้นหนิงอ๋องเป็นผู้บงการสั่งลอบปลงพระชนม์ ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? ได้เบาะแสของเจวี้ยนเอ๋อร์บ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
สายตาซูหลีเย็นชา “เกรงว่าคงถูกสังหารปิดปากไปแล้ว”
“ตายแล้วหรือเจ้าคะ?!” หวั่นซินตกใจ รีบลดเสียงให้ต่ำลง “ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
ซูหลีรีบตัดบทนาง กล่าวเสียงเคร่งเครียด “หวั่นซิน เจวี้ยนเอ๋อร์มีไฝสีแดงอยู่กลางคิ้วข้างซ้าย ขันทีข้าหลวงเพิ่งยกศพศพหนึ่งออกไป เจ้ารีบตามพวกเขาออกจากตำหนัก แล้วเรียกพวกเซี่ยงหลีมารวมตัวกัน ตรวจสอบดูว่าศพนั่นใช่เจวี้ยนเอ๋อร์หรือไม่ หากใช่ก็ให้คิดหาทางพากลับไปที่จวนท่านหญิง!”
“เจ้าค่ะ!”
“ต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้ทำผิดพลาดเป็นอันขาด” ซูหลีกล่าวด้วยใบหน้าตึงเครียด
หวั่นซินทำหน้าจริงจัง เข้าใจดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นางไม่พูดมากความ เพียงจากไปอย่างเร่งรีบ
ซูหลีสาวเท้าเร็วๆ เดินกลับตำหนักใหญ่ ที่นี่เงียบสงบเหมือนปกติ ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
ด้านในตำหนักฉางชุน ซูหลีกวาดตามองใบหน้าฮองเฮาอย่างรวดเร็ว ยามนี้นางทำหน้าได้ใจ รอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่ที่มุมปาก ในใจพลันกระจ่าง ความคิดในใจของซูหลีได้รับการยืนยันแล้ว ฮองเฮาคงได้รับข่าวที่เถียนหย่งรับสารภาพแล้ว ถึงได้สั่งโบยเจวี้ยนเอ๋อร์เพื่อปิดปาก!
ซูหลีเดินเข้าไปถวายบังคมในตำหนัก สีหน้าตงฟางจั๋วสะดุดเล็กน้อย ไม่รอให้ฮองเฮาพูดอะไร รีบลุกขึ้นกล่าวลา “เสด็จแม่ นี่ก็ค่ำมากแล้ว ลูกกับหมีงซีขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขาฟังดูเร่งร้อน คล้ายกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้ฮองเฮา
ฮองเฮามองหน้าเขา สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ถึงแม้ไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็เพียงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ไปเถิด”
ทั้งสองกล่าวลาก่อนจะออกจากตำหนักไป ระหว่างทางกลับจวน ตงฟางจั๋วนั่งข้างซูหลี เขาขมวดคิ้วแน่น สายตาฉายแววกังวล มองหน้าซูหลีอ้าปากทำท่าจะพูด แต่กลับพูดไม่ออก
ซูหลีหลุบตาไม่เอ่ยวาจา หางตากลับเหลือบเห็นท่าทางกระวนกระวายอยู่ไม่สุขของเขาอย่างชัดเจนแต่แรกแล้ว นางรู้ว่าเขาอยากพูดเรื่องตงฟางเจ๋อ ความรู้สึกที่ตงฟางจั๋วมีต่อนาง นางกระจ่างชัดแก่ใจ แต่กลับทำเป็นไม่รับรู้
ความตื่นเต้นและความคาดหวังที่เคยมีก่อนงานแต่ง ได้จางหายไปดั่งฝุ่นผงพร้อมกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นแล้ว ยามนี้เรื่องที่อยู่ในสมองนางมีเพียงจะทำอย่างไรให้ตงฟางเจ๋อพ้นผิดเท่านั้น
ทั้งสองต่างเงียบงันอยู่อย่างนั้น เมื่อถึงจวนท่านหญิง ซูหลีลงจากรถ ก้าวเท้าหมายจะเดินขึ้นบันไดหิน
“หลีเอ๋อร์…” ตงฟางจั๋วเปิดม่าน ลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กล่าวเสียงเบา “อากาศเปลี่ยนแปลง เจ้า…ดูแลสุขภาพให้ดี”
ซูหลีไม่หันกลับมา ความหมายแฝงในประโยคนี้ นางเข้าใจดี ยืนหันข้างเล็กน้อย โคมไฟที่ห้อยสูงอยู่ด้านหน้าประตูจวนสะท้อนแสงสีส้มนวลตา สาดส่องใบหน้าด้านข้างของนาง แลดูงดงามชวนฝัน ราวกับเป็นภาพลวงตา ตงฟางจั๋วอึ้งงันไปชั่วขณะ
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเป็นห่วงเพคะ” เอ่ยจบ นางก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่โดยไม่หยุดก้าวแม้เพียงก้าวเดียว
ตอนนี้เวลาล่วงเข้าสู่ยามซวีมาสามเค่อแล้ว หวั่นซินยังไม่กลับมา โม่เซียงปรนนิบัติดูแลซูหลีกินข้าว นางมีเรื่องในใจ จึงกลืนอาหารไม่ลง กินเพียงไม่กี่คำ ก็สั่งให้โม่เซียงเก็บสำรับแล้ว นางเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วครุ่นคิด ด้วยฝีมือของพวกหวั่นซิน ลักลอบเปลี่ยนศพเจวี้ยนเอ๋อร์ออกมาจากสุสานหมื่นศพคงไม่ใช่เรื่องยาก เหตุใดยามนี้แล้วจึงยังไม่กลับมา เวลากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ถ้าหากไม่สามารถหาเบาะแส และเกลี้ยกล่อมเถียนหย่งให้สำเร็จภายในคืนนี้ เช่นนั้นพรุ่งนี้หากฮ่องเต้ถ่ายทอดราชโองการตัดสินโทษตงฟางเจ๋อ เรื่องก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเบาๆ มาจากในสวน คล้ายมีบางสิ่งตกกระทบพื้น จากนั้นก็มีคนผลักประตูออก หวั่นซินใช้แขนหนีบร่างคนผู้หนึ่งไว้อย่างแนบแน่น เดินลากเข้ามาในห้อง คนผู้นั้นถูกผ้าคลุมผืนใหญ่ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างมิดชิด ซูหลีสะท้านใจ รีบปิดประตูห้อง
หวั่นซินพยักหน้าให้ซูหลีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ซูหลีกระจ่างทันที กำชับโม่เซียงเสียงเข้ม “เฝ้าประตูเรือนไว้ให้ดี หากมีใครมาให้แจ้งว่าข้าไม่สบาย เข้านอนไปแล้ว ไม่รับแขก”
โม่เซียงรีบรับคำ “เจ้าค่ะ คุณหนู”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง แล้วเปิดทางลับ ซูหลีกับหวั่นซินเข้าไปในทางลับอย่างเร่งร้อน จากนั้นเรียกเซิ่งฉินให้มาพบ โดยใช้รหัสลับที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว
ในอุโมงค์อันมืดมิด ศพของนางกำนัลนอนนิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและโกรธแค้น ใบหน้าหมดจดน่ามอง ยามนี้กลายเป็นสีม่วงซีดไปแล้ว มีเพียงไฝสีแดงกลางคิ้วข้างซ้ายเม็ดนั้นที่ยังคงสะดุดตา อาภรณ์เต็มไปด้วยรอยเลือดกระดำกระด่าง เลอะไปด้วยคราบดินโคลน สภาพดูไม่ได้ ในมือนางยังคงกำตุ๊กตาของเล่นที่ทำจากไม้ไว้แน่น
ซูหลีสะท้านใจ คุกเข่าลงไปตรวจดูอย่างละเอียด
‘สิ่งของที่ดูธรรมดาไม่โดดเด่น มักมีเงื่อนงำซ่อนอยู่เสมอ’ ไม่รู้เพราะเหตุใด คำพูดประโยคนี้ที่ตงฟางเจ๋อเคยกล่าวกับนางที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ย พลันผุดขึ้นในสมอง ยิ่งทำให้นางมั่นใจในสัญชาตญาณของตนเอง
สิบนิ้วประสานแน่น เมื่อศพเย็นก็ยิ่งทำให้ข้อต่อนิ้วมือแข็งขึ้น ซูหลีกับหวั่นซินต้องใช้เรี่ยวแรงไม่น้อยกว่าจะแยกนิ้วมือเจวี้ยนเอ๋อร์ออก แล้วหยิบตุ๊กตาออกมา
นั่นเป็นตุ๊กตาของเล่นธรรมดาตัวหนึ่ง ดูไม่ต่างจากของที่วางขายตามท้องตลาดมากนัก ลำตัวกลมๆ กลีบปากคลี่ยิ้มกว้าง ท่าทางไร้เดียงสา ดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทว่ากลับถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดง ส่งผลให้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
หวั่นซินทอดถอนใจ “ข้าตรวจดูอย่างละเอียด พบว่านางตั้งครรภ์ได้สี่เดือนกว่าแล้ว ตุ๊กตาตัวนี้คงเป็นของที่นางตั้งใจจะมอบให้เด็กในท้องเจ้าค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ซูหลีเองก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางสงสัยอยู่แล้ว หากเถียนหย่งทำไปเพียงเพื่อต้องการให้เจวี้ยนเอ๋อร์ได้ออกจากวังแล้วแต่งนางเป็นภรรยา เหตุผลนี้ก็ดูจะยังไม่มากพอที่จะทำให้เขาเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพียงนี้ เขากระทำความผิดใหญ่หลวงมีโทษถึงตาย ถึงแม้ถูกลงโทษสถานเบาก็ไม่พ้นถูกขังคุกอยู่ดี
แต่ถ้าหากเจวี้ยนเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ทุกอย่างก็เข้าเค้าแล้ว นางกำนัลตั้งท้องก่อนแต่ง หากถูกจับได้ก็จะถูกโบยจนตายทันที หนึ่งศพสองชีวิต มิน่าเล่าเขาถึงได้รับปากฮองเฮาทำเรื่องอันตรายโดยไม่เสียดายชีวิต เพียงแต่เถียนหย่งคงไม่มีวันรู้ ว่าในขณะที่เขาเพิ่งจะเป็นพยานชี้ตัวตงฟางเจ๋อ เจวี้ยนเอ๋อร์ก็ถูกฮองเฮาสั่งโบยจนตายแล้ว ภรรยาและลูกในท้องอันเป็นที่รักที่เขาห่วงหาอยู่ตลอดเวลาล่วงหน้าไปยังปรโลกก่อนเขาก้าวหนึ่งแล้ว!
……………………………………………………………..

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset