กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 338.2 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (2)

ฮ่องเต้จ้องซูหลีไม่วางตา จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับอาหลีเพียงลำพัง”
หยางเจิ้นกับหยางเซียวต่างก็อึ้งงัน บังเกิดความสงสัย ทว่ากลับทำได้เพียงนำทุกคนถอยออกจากกระโจมไปอย่างเงียบๆ
ยามนี้ในกระโจมเหลือเพียงฮ่องเต้กับซูหลีแค่สองคนเท่านั้น
ฮ่องเต้ถอนหายใจ แล้วกล่าวกับซูหลีตรงๆ “อาหลี ลมปราณคัมภีร์เมฆาลอยกับขี่วายุในร่างกายเจ้า มิอาจหลอมรวมเป็นหนึ่งใช่หรือไม่?”
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งว่าต้องการพูดคุยกับนางตามลำพัง ซูหลีเดาได้รางๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ลมปราณของนางยังไม่สมดุล นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับคำเสียงเบาว่า “เพคะ”
ฮ่องเต้ลุกขึ้น ทอดถอนใจยาวๆ แล้วเอ่ยว่า “คัมภีร์เมฆาลอยและขี่วายุสองวิชานี้ หากเจ้ามิอาจทำให้มันหลอมรวมเป็นหนึ่งได้ทันเวลา แล้ววู่วามใช้กำลังภายในส่งเดชจะทำให้ชีพจรหัวใจเสียหาย เมื่อครู่ที่เจ้ารู้สึกไม่สบายก็เพราะเหตุนี้”
ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันนึกว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากกำลังภายในยังไม่หลอมรวมอย่างสมบูรณ์แบบ กลับไม่รู้ว่ามันมีการแว้งกัดด้วย ซูหลีขอบังอาจถามฝ่าบาทว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น อ้าปากหมายจะพูดแต่แล้วก็หยุด
ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบเฉย “หากฝ่าบาทมีวาจาใด ตรัสกับหม่อมฉันได้ทุกอย่างเพคะ”
“เฮ้อ สมุนไพรเยี่ยหลันคือยาดีที่ใช้หลอมรวมกำลังภายในสองอย่างนี้ เป็นของล้ำค่าที่หายากมาก ยี่สิบปีจึงจะเติบโตเป็นรูปเป็นร่างได้ เดิมทีในตำหนักก็มี เพียงแต่ยามนี้…”
“ยามนี้ทำไมหรือเพคะ? หรือไม่มีแล้ว?”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ “สมุนไพรเยี่ยหลันถูกผู้อาวุโสเสวียนจิ้งแห่งลัทธิธิดาเทพปรุงเป็นยาไร้รักไปแล้ว”
ยาไร้รัก? ชื่อประหลาดยิ่งนัก ซูหลีขมวดคิ้วถาม “ยาไร้รักคือสิ่งใดหรือเพคะ?”
“คือยาที่ลัทธิปรุงขึ้นมาใหม่ ใช้ควบคุมความรักและความปรารถนาของคน เมื่อใดที่กินยานี้ ห้ามมีความรักไปตลอดชีวิต มิเช่นนั้นจะทำให้ชีพจรย้อนกลับ เจ็บปวดเหมือนมีธนูนับหมื่นแทงทะลุหัวใจ สุดท้ายก็จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนสิ้น!” ฮ่องเต้กล่าวอย่างแช่มช้า
ซูหลีอึ้งงัน อาการดังกล่าวคล้ายอาการของตงฟางเจ๋อยามโดนพิษจากดอกฉิงฮวา ที่ทำจนเขาไม่อาจใกล้ชิดกับนาง ครั้นนึกถึงคนผู้นั้น หัวใจของนางก็พลันสะดุด ภาพเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นเพราะดอกไม้ประหลาดชนิดนี้ พลันกลายเป็นเหมือนเข็มแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทิ่มแทงหัวใจของนาง ความเจ็บปวดนั้นมันช่างละเอียดอ่อนซับซ้อนและยาวนาน
นางกัดฟันแน่น ผ่านมานานขนาดนี้แล้วเหตุใดยังลืมเขาไม่ได้อีก?! คนผู้นั้นไม่มีค่าพอที่จะทำให้นางรู้สึกปวดใจอีกแม้แต่น้อย! ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับความรักอีกแล้ว มีเพียงอยู่อย่างไร้หัวใจเท่านั้น นางจึงจะมีชีวิตที่ราบเรียบและมีอิสระได้!
ตัดกิเลสและความรู้สึกออกไป…ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่านสมองนาง ซูหลีเงยหน้ามองฮ่องเต้ ยาไร้รัก…
ฮ่องเต้เองก็กำลังมองนางเช่นกัน สายตาที่มองซูหลีแลดูสับสน และลังเลไม่แน่ใจ
สายตาของซูหลีเย็นเยียบ ที่แท้เขาก็มีจุดประสงค์เช่นนี้อยู่แล้ว! นางกล่าวเสียดสีเล็กน้อย “ลัทธิธิดาเทพสมดังคำร่ำลือ คิดหาสารพัดวิธีเจ้าเล่ห์ออกมาได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ยี่สิบปีกว่าจะได้สมุนไพรเยี่ยหลันมาสักต้น”
สายตาของฮ่องเต้ไหวระริก เขาถอนใจเอ่ยว่า “เรื่องนี้โทษพวกเขาไม่ได้ นับตั้งแต่สิบแปดปีก่อนที่น้องหญิงซีหนีไป พวกเขาก็คิดหาทางป้องกันเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้อยู่นาน จนหาวิธีปรุงยาชนิดนี้ขึ้นมาได้ในที่สุด”
“ทุ่มเทมากจริงๆ เพคะ!” ใบหน้าของซูหลีไม่แสดงอารมณ์ขณะกล่าวเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากซูหลีต้องการรักษาลมปราณ ก็จำต้องเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิธิดาเทพก่อนงั้นหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้มองหน้านาง แล้วกล่าวเสียงขรึม “ถูกต้อง ยาไร้รักอยู่ในมือผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง มีเพียงธิดาเทพเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่กินได้ ข้าเอง…ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งของลัทธิได้ตามอำเภอใจ”
สายตาของซูหลีเคร่งขรึม นางไม่ตอบอะไร
“อาหลี” ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ก้าวเดินมาหานางอย่างแช่มช้า ถอนหายใจอย่างจนใจ คล้ายเป็นห่วงนาง “เจ้าคงไม่ขุ่นเคืองข้าเพราะเรื่องนี้กระมัง?”
“ซูหลีมิกล้า ฝ่าบาททรงกังวลเกินไปแล้วเพคะ” ซูหลีตอบเสียงเรียบเฉย ในใจลอบหัวเราะเย็นชา มิน่าเล่าวันที่พบฮ่องเต้ครั้งแรก เขาถึงได้ไม่เร่งร้อนตามหาแหวนหยกขาว ดูท่าคงเดาได้แต่แรกแล้วว่านางต้องรักษาลมปราณ ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องหวนกลับมา กอปรกับเรื่องที่นางตัดสัมพันธ์กับตงฟางเจ๋อด้วยการกระโดดแม่น้ำหลานชาง ใต้หล้าล้วนรับรู้ ฉะนั้นนางจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับการเป็นธิดาเทพที่สุดแล้ว ช่างเป็นการดีดลูกคิดที่ไม่เลวจริงๆ
ทว่า…เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าตงฟางเจ๋อเริ่มเคลือบแคลงในตัวตนของนางแล้ว หากสามารถอาศัยโอกาสนี้หลีกหนีจากเขาได้ ก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว รอให้สถานการณ์ในยามนี้สงบลง ค่อยคิดหาทางแก้พันธนาการจากยาไร้รัก แล้วไปจากที่นี่เสีย
นางตัดสินใจทันที จ้องหน้าฮ่องเต้อย่างแน่วแน่ แล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่ทราบว่าซูหลีพอจะมีคุณสมบัติเป็นธิดาเทพหรือไม่เพคะ?”
“ว่าอย่างไรนะ?” ฮ่องเต้อึ้งไปทันที คล้ายนึกไม่ถึงว่านางจะรับปากเร็วถึงเพียงนี้ “เจ้าอยากเป็นธิดาเทพหรือ?”
ซูหลีย้อนถาม “เช่นนั้นฝ่าบาทมีวิธีที่ดีกว่าในการรักษาลมปราณหรือไม่เล่าเพคะ?”
ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าสับสน “ข้าไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ และก็หวังว่าเจ้าจะทำให้ชื่อเสียงของลัทธิธิดาเทพกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งด้วย เฮ้อ เพียงแต่เรื่องนี้…ข้าหวังว่าเจ้าจะใคร่ครวญให้จงดีก่อน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วง ซูหลีเข้าใจดีเพคะ”
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เช่นนั้นแหวนหยกขาวอยู่กับเจ้าหรือไม่?”
ซูหลีส่ายหน้า
“แหวนหยกขาวเป็นของสำคัญของลัทธิธิดาเทพ หากเจ้าตัดสินใจจะเป็นธิดาเทพจริงๆ จำต้องมีแหวนหยกขาวอยู่กับตน จึงจะสามารถยืนยันฐานะตนเองและเป็นผู้นำของทุกคนในลัทธิได้ ทุกคนในลัทธิยกเว้นผู้อาวุโส ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างลัทธิธิดาเทพกับราชวงศ์” ฮ่องเต้ครุ่นคิด เดินวนไปวนมาหลายก้าว “เอาอย่างนี้ เจ้าคิดหาทางเอาแหวนหยกขาวคืนมาก่อน ในระหว่างนี้ก็ไตร่ตรองเรื่องนี้ดีๆ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด ข้าจะไม่มีวันฝืนใจเจ้าเด็ดขาด”
“เพคะ” ซูหลีถามต่อว่า “เช่นนั้นเรื่องการเจรจาสงบศึก?”
ฮ่องเต้กล่าวอย่างครุ่นคิด “เมื่อครู่ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล มิสู้ลองไปดูว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใดก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
ครั้นเห็นฮ่องเต้ออกปากตกลงเจรจาสงบศึก ซูหลีก็คลายใจเหมือนยกหินออกจากอก หลังพูดคุยสัพเพเหระไม่กี่ประโยค นางก็เอ่ยปากขอตัวกับฮ่องเต้
เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากกระโจม หยางเจิ้นกับหยางเซียวก็พากันเดินเข้ามาหา “อาหลี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ใบหน้าของหยางเจิ้นเป็นปกติ น้ำเสียงกลับสะท้อนความใส่ใจระคนสอบถาม และยังมีความห่วงใยปะปนอยู่ด้วย
ใบหน้าหล่อเหลาที่มักแย้มยิ้มอยู่เสมอของหยางเซียวเองก็เคร่งเครียดเล็กน้อยเช่นกัน “เสด็จพ่อ…ตรัสสิ่งใดกับเจ้าหรือ?” เขาเดาคำตอบได้รางๆ จึงร้อนใจอยากยืนยันโดยเร็ว
“ขอบพระทัยเสด็จน้าที่ทรงเป็นห่วง ซูหลีไม่เป็นไรเพคะ” ความอบอุ่นห่อหุ้มใจนาง ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเพคะ ฝ่าบาทเพียงบอกวิธีหลอมรวมลมปราณให้หม่อมฉันเท่านั้น”
ใบหน้าหยางเซียวตึงเครียด รั้งมือนางแล้วถามว่า “ลัทธิธิดาเทพ?”
“อืม” ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย “หม่อมฉันตัดสินใจจะเป็นธิดาเทพแล้วเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ? ไม่ได้เด็ดขาด!” หยางเจิ้นตกตะลึงมาก เขาคัดค้านอย่างเด็ดขาดทันที
หยางเซียวเองก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง เหล่มองกระโจมเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเบาด้วยความร้อนใจ “ลัทธิธิดาเทพคือสถานที่แบบใด เจ้าเอง…ก็ไม่ใช่ไม่รู้ เป็นธิดาเทพมิใช่เป็นกันได้ง่ายๆ”
“องค์ชายสี่พูดมีเหตุผล อาหลี! เจ้ายังเด็กนัก หรือตลอดชีวิตเจ้าจะ…ไม่ ข้าไม่อนุญาตเด็ดขาด!” หยางเจิ้นกล่าวด้วยความตกใจระคนปวดใจ ใบหน้าของเขาหม่นหมองอย่างยิ่ง เขากัดฟันกล่าว “เขาบีบบังคับเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่มีผู้ใดบังคับหม่อมฉันเพคะ” ซูหลียังคงมีใบหน้าเรียบนิ่ง
………………………………………..

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset