กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 412 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (3)

“ฝ่าบาทบรรทมแล้วหรือ?”
หยางเซียวส่ายหน้า
“เช่นนั้นข้าจะไปเยี่ยมพระองค์”
“อาหลี!”
นางเดินผ่านเขา แต่กลับถูกเขารั้งมือไว้แน่น นางหันไปมองเขาเล็กน้อย ใบหน้าของหยางเซียวตึงเครียด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง นางมองเห็นแววตาบางอย่างบนใบหน้าเขา แววตาที่เหมือนหวาดกลัว
“ถ้าหาก…เป็นคำสั่งของเสด็จพ่อจริงๆ เจ้าจะทำเช่นไร?” น้ำเสียงของเขาจริงจังเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายวันมานี้ แม้เขากับนางไม่ได้พบหน้ากัน แต่เขากลับรับรู้ผ่านจดหมายรายงานว่านางสนิทสนมกับหยางเหยียนมาก หยางเหยียนตายอย่างไร้ความผิด นางจะต้องชิงชังและเคียดแค้นผู้บงการมากแน่นอน!
นัยน์ตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางจ้องตรงไปข้างหน้า ไม่ตอบคำถามเขา มือสังหารมีอยู่สองกลุ่ม องครักษ์อวี่หลินเว่ยมาทีหลัง เช่นนั้นกลุ่มแรกเป็นฝีมือผู้ใดเล่า? นางมีคำตอบในใจรางๆ ทว่ากลับจำต้องถามฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนให้ชัดเจนก่อนจึงจะสามารถตัดสินได้ ฉะนั้น นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หากท่านอยากรู้ความจริง ก็ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับข้าสิ”
องครักษ์หน้าห้องบรรทมทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักเงียบสงบไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
หยางเซียวเพิ่งออกไปแต่ก็กลับเข้ามาอีก ขันทีสองคนที่อยู่ในตำหนักรีบค้อมกายคารวะทันที
หยางเซียวเอ่ยถาม “สวีกงกงต้มยาเสร็จแล้วหรือ?”
ขันทีคนหนึ่งตอบอย่างนอบน้อม “ทูลองค์ชาย ยาต้มเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ หรูอวิ๋นเพิ่งนำเข้าไปถวายพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเซียวพยักหน้า ก่อนจะถามอีกว่า “สวีกงกงเล่า?”
“สวีกงกงไปตำหนักทางทิศใต้แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
“ฝ่าบาท!”
ขันทีคนนั้นยังกล่าวไม่ทันจบประโยค เสียงกรีดร้องด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวของสตรีนางหนึ่ง และเสียงถ้วยกระเบื้องตกแตกก็ดังออกมาจากห้องบรรทม
ใบหน้าของหยางเซียวกับซูหลีพลันเปลี่ยนสี พวกเขารีบพุ่งตัวเข้าไปในตำหนักด้วยความเร็วดั่งลูกธนู
ภายในตำหนักแสงไฟเหลืองนวล ไอควันลอยออกจากกระถางธูป บนกระดานรองเท้าที่ถูกวางไว้ด้านหน้าเตียงมังกร มีเศษถ้วยกระเบื้องตกอยู่ ยาสีน้ำตาลเข้มค่อยๆ หกออกมา
นางกำนัลนามว่าหรูอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างเตียง ใบหน้าซีดเผือด ยกมือปิดปาก ยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น คล้ายตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนที่นอนอยู่บนเตียงมังกรเขียวจนม่วง เขาหลับตาสนิท ไร้การตอบสนอง
ซูหลีกับหยางเซียวตกใจ หยางเซียวพุ่งตัวเข้าไปข้างเตียง ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสด็จพ่อ!”
ซูหลียื่นมือไปตรวจชีพจรฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน พบว่าชีพจรของเขาหยุดเต้นไปแล้ว!
เหล่าขันทีและองครักษ์ด้านนอกตำหนักได้ยินเสียงก็รีบวิ่งกรูเข้ามา ครั้นเห็นสถานการณ์ด้านในก็ตกตะลึง ก่อนจะพากันคุกเข่าทันที
หรูอวิ๋นกลับเหมือนเพิ่งได้สติกลับมา จู่ๆ นางก็ตะโกนด้วยความตกใจและตื่นกลัว ก่อนจะวิ่งออกไป
ซูหลีตึงเครียด หมายจะขวางนางไว้แต่ก็ไม่ทัน ได้ยินเสียงตะโกนปนสะอื้นไห้ของนางดังมาจากด้านนอก “แย่แล้ว แย่แล้ว! ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว!”
ผ่านไปไม่นาน ข่าวการสวรรคตของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนก็กระจายไปทั่ววังหลวง ลานกว้างในพระราชวังที่ในยามปกติทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามนี้กลับเหมือนหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำมันเดือดจัด ซึ่งถูกราดด้วยน้ำหนึ่งขันจนปะทุอย่างรุนแรง ทุกคนล้วนแตกตื่นและลนลาน
ท้องฟ้าอันมืดมิดนอกหน้าต่าง ดวงดาวมืดสลัว แสงจันทร์เลือนราง ไม่สว่างเจิดจ้าเช่นเคย
ซูหลีพยายามตั้งสติอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ กวาดสายตามองเหล่าผู้คนที่แตกตื่นอยู่ในตำหนัก ก่อนจะหยุดอยู่ที่หัวหน้าองครักษ์ปาต๋า แล้วกล่าวเสียงเข้ม “หัวหน้าองครักษ์ปา!”
“ขอรับ!” ปาต๋าที่ยังไม่ทันตั้งสติรับคำโดยสัญชาตญาณ
“รีบรวบรวมหน่วยองครักษ์อวี่หลินเว่ย ปิดประตูวังทุกบาน หากไม่มีคำสั่งขององค์ชายสี่ ห้ามผู้ใดเข้าออกโดยพลการ!” น้ำเสียงที่ใจเย็นผิดปกติของนาง เต็มไปด้วยอำนาจน่าเกรงขามที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ขอรับ!” ปาต๋ารับคำสั่งแล้วจากไป เขาแทบไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองว่าเหตุใดต้องฟังคำสั่งจากนาง
ซูหลีหันไปมองด้านหนึ่ง เห็นสวีฉางหัวหน้าขันทีที่รีบมุ่งหน้ามาที่นี่หลังจากได้ยินข่าวการสวรรคตคุกเข่าอยู่ด้านหนึ่ง ใบหน้าชราเต็มไปด้วยน้ำตา สีหน้าโศกเศร้าสุดแสน “สวีกงกง รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไปยังทุกตำหนัก จงปิดประตูตำหนักทุกบาน ห้ามผู้ใดก้าวออกจากตำหนักแม้แต่ครึ่งก้าว ผู้ใดขัดขืนมีโทษถึงตาย!”
สวีฉางอยู่ในวังมาหลายปี รู้ดีว่าสถานการณ์ในยามนี้ร้ายแรงเพียงใด ยามนี้มิอาจปล่อยให้เกิดปัญหาใดได้อีก มิเช่นนั้นต้องเกิดหายนะขึ้นแน่ เขาจึงพยักหน้ารับคำสั่งโดยเร็ว รีบเช็ดน้ำตา แล้วออกจากตำหนักไปทันที
หยางเซียวคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไว้แน่น เขาไม่ร้องไห้และไม่พูดอะไร คล้ายสูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว ทว่าแสงเทียนเหลืองนวลที่ส่องคิ้วคมเข้มของเขา กลับสะท้อนให้เห็นความโศกเศร้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
บนโลกใบนี้ คนที่รักเขามากที่สุด กลับจากไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!
ถึงแม้ซูหลีไม่ได้รู้สึกดีต่อฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมากนัก แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวของหยางเซียว นางกลับมิอาจเมินเฉยได้ นางกุมไหล่เขาแล้วค่อยๆ ย่อกายนั่งลงข้างเขา กล่าวเตือนเสียงเบา “หยางเซียว ยามนี้ไม่ใช่เวลาเสียใจ การตายของฝ่าบาทผิดปกติมาก ท่านจำต้องตั้งสติ แล้วพิจารณาว่าจะจัดการเรื่องราวต่อจากนี้อย่างไร!”
นางเข้าใจเป็นอย่างดี การตายของหยางเหยียนและฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้อย่างลับๆ ของทั้งสองฝ่าย ไม่นาน คลื่นลมลูกใหญ่จะต้องมาเยือนราชวงศ์เปี้ยนอย่างแน่นอน!
สายตาของหยางเซียวสั่นไหว เขาอ้าปากเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ซูหลีจับไหล่เขาให้หันมาเบาๆ เขาหันมามองนางอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย สีหน้าเศร้าสลด ได้แต่เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “อาหลี…ข้าไม่เหลือครอบครัวอีกแล้ว”
หัวใจของซูหลีราวกับถูกโจมตีอย่างแรง ภาพเหตุการณ์ที่นางต้องมองดูหยางเหยียนตายอย่างน่าอนาถย้อนกลับมาในสมองอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะรั้งเขาเข้ามากอด ลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ คล้ายกำลังปลอบโยนเด็กที่กำลังอกสั่นขวัญหาย แล้วกล่าวด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า? ท่านยังมีข้า ข้าก็เป็นครอบครัวของท่านเหมือนกัน”
สตรีที่ในยามปกติเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ กลับเป็นความอบอุ่นและการปลอบโยนเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ในยามนี้ เขากอดตอบนางด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ราวกับคนที่ใกล้จะตกหน้าผาคว้าเชือกเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เนิ่นนาน ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
เสียงฝีเท้าโกลาหลระลอกหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก
“เขามาแล้ว” หยางเซียวกล่าวเสียงเบา สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกในพริบตา
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เข้าใจว่าเขาหมายถึงผู้ใด นางหวังเหลือเกินว่าคนที่กำลังจะปรากฏตัว จะไม่ใช่เขาผู้นั้น
เหตุการณ์ที่นางไม่อยากเผชิญมากที่สุด ยังคงเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เซียวอ๋องหยางเจิ้นที่เพิ่งโศกเศร้าจากการสูญเสียโอรสไป นำเหล่าขุนนางเดินตรงเข้ามาในห้องบรรทมด้วยท่าทางขึงขัง ด้านนอกตำหนักบรรทม ผู้คนมากมายรวมตัวกัน ทอดมองออกไป พื้นที่ด้านนอกกลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ
หยางเจิ้นสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในตำหนัก ตวาดถามเสียงเกรี้ยวคล้ายตกตะลึงมาก “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? พระวรกายของฝ่าบาทดีขึ้นแล้ว เหตุใดจู่ๆ จึงสวรรคตได้?!” สีหน้าตกตะลึงและเจ็บปวดที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ของเขา หากไม่ใช่เพราะเพิ่งผ่านการเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดเมื่อครู่มา บางทีซูหลีอาจจะยังเชื่อว่า วาจาถามไถ่ของเขาในยามนี้อาจยังมีความจริงใจแฝงอยู่สักส่วน
ขันทีที่รับหน้าที่เฝ้าเวรยามมือเท้าอ่อน ได้แต่ตอบคำถามด้วยเสียงสั่นเครือ “บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ หลังจากเสวยมื้อเย็น ฝ่าบาทยังทรงสบายดีอยู่…”
“เรียกหมอหลวงมาตรวจแล้วหรือยัง?” หยางเจิ้นตวาดถาม
ใบหน้าของขันทีคนนั้นอาบไปด้วยน้ำตา เขาตอบเสียงสั่นๆ “ยังพ่ะย่ะค่ะ…”
หยางเจิ้นตวาดตำหนิเสียงเกรี้ยว “บ่าวโง่เง่า! รีบไปเรียกหมอหลวงมาบัดเดี๋ยวนี้!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมอหลวงสิบกว่าคนในวังหลวงมาถึงที่เกิดเหตุ พวกเขารุมล้อมรอบเตียง เหมือนนกแตกรังฝูงหนึ่ง พยายามตรวจสอบศพของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอย่างละเอียด ไม่กล้าให้สิ่งใดเล็ดลอดสายตาไปแม้แต่น้อย หลังจากหารือกัน หัวหน้าสำนักหมอหลวงก็กล่าวว่า “ทูลท่านอ๋อง ม่านตาของฝ่าบาทเบิกกว้าง ใบหน้าเขียวม่วง เหมือนถูกคนใช้หมอนปิดหน้า ส่งผลให้หายใจไม่ออก จนสิ้นลมในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนตกตะลึง
………………………
Related

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset