กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 446 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (12)

เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพร่างกายสมบูรณ์แบบ ซูหลีกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพียงเสี้ยววินาทีเดียว นางเก็บงำอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ผลักหยางเซียวออก แล้วเตรียมขึ้นม้าจากไป
“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้ามาขวางหน้านาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า”
ซูหลีหันหน้าหนี กล่าวเสียงเย็นชา “ข้าไม่มีเรื่องจะพูดกับท่าน”
“การตายของหยางเจิ้นไม่เกี่ยวกับข้า จะต้องมีสาเหตุบางอย่างซ่อนอยู่อย่างแน่นอน!” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่นางกลับตัดบทเขาอย่างเยือกเย็น “ไม่สำคัญอีกแล้ว”
หัวใจของตงฟางเจ๋อบีบรัด เขากุมมือนาง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ซูซู เจ้าจะไปที่ใด?” ดวงตานางมีรัศมีพาดผ่าน ดูเปล่งประกายเป็นพิเศษท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ราวกับได้ตัดสินใจบางอย่างอย่างแน่วแน่แล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างหนัก
หลายวันมานี้นางสงบใจลง เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในยามนั้นอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าการตายของเสด็จน้าอาจมีเงื่อนงำซ่อนอยู่จริงๆ แต่ยามนี้เขาก็ไม่อยู่แล้ว ความจริงเป็นอย่างไร ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ ยังมีเรื่องสำคัญที่กำลังรอให้นางไปทำอยู่
“ย่อมต้องกลับวังไปพร้อมข้าอยู่แล้ว!” หยางเซียวกระดกคิ้วกระบี่เล็กน้อย รอยยิ้มแฝงแววท้าทายรางๆ มือข้างหนึ่งโอบไหล่นางเบาๆ
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา พลิกข้อมือคว้าไปที่แขนของหยางเซียว
หยางเซียวนึกไม่ถึงว่าเขาไม่สบาย กลับยังตอบสนองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ใบหน้าพลันตึงเครียด ไม่กล้าประมาท รีบโฉบกายหลบหลีกการโจมตีจากเขา ไปยืนด้านหลังซูหลี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถางเสียดสี “ดูท่าทางท่านคงไม่เป็นไรมาก หรือก่อนหน้านี้เป็นการแกล้งป่วยทั้งนั้น?”
ตงฟางเจ๋อไม่มองเขาแม้แต่น้อย เมื่อครู่วู่วามเคลื่อนกำลังภายใน ยามนี้เลือดลมป่วนพล่าน รู้สึกทรมานภายในร่างกาย เขาหลับตาเล็กน้อย พยายามปรับลมปราณให้สงบ
ภาพที่เขาเสียหลักล้มลงไปผุดขึ้นมาในสมองซูหลีอีกครั้ง หัวใจของนางเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก นางเงยหน้ามองสีหน้าเขาที่ยังคงซีดขาวอย่างไม่รู้ตัว
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านวางใจ ข้าเป็นคนชะตาแข็ง ไม่มีทางล้มง่ายๆ แน่นอน”
หยางเซียวกระดกคิ้ว เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็ไม่อยากเสียคู่ต่อสู้เช่นท่านไปเหมือนกัน”
ตงฟางเจ๋อแค่นหัวเราะเย็นชา คล้ายไม่อยากตอบคำถามหยางเซียวด้วยซ้ำ ท่าทางยโสโอหังของเขา ขัดหูขวางตาหยางเซียวยิ่งนัก ราวกับใต้หล้านี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นเจ้าชีวิตของทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริง แต่ถึงแม้อย่างนั้น หยางเซียวก็จำต้องยอมรับว่า คนผู้นี้มีคุณสมบัติให้หยิ่งยโสได้จริงๆ
สายตาของหยางเซียวเคร่งขรึมลงหลายส่วน พยายามข่มกลั้นความไม่พอใจ แล้วฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “มีความมั่นใจนั้นเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ว่าความมั่นใจของท่าน จะทำให้ทุกอย่างราบรื่นเสมอไปหรือไม่?” เขาชำเลืองมองซูหลีเล็กน้อย คล้ายต้องการสื่อความหมายบางอย่าง
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี ความเจ็บปวดพาดผ่านในดวงตา
หยางเซียวยิ่งคลี่ยิ้มอย่างย่ามใจ แสร้งเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วกล่าวว่า “ดึกมากแล้ว ตามข้ากลับวังไปพักผ่อนเถิด ส่วนฮ่องเต้แคว้นเฉิง…รั้งอยู่ที่เรือนรับรอง และพักฟื้นอาการป่วยให้หายโดยเร็วต่อไปเถิด”
“ไม่ได้!” ตงฟางเจ๋อตวาดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ตงฟางเจ๋อ! อย่าได้ลืมว่ายามนี้ท่านอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน!” หยางเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ตงฟางเจ๋อไม่สนใจเขา เอาแต่จ้องมองซูหลีไม่วางตา “ซูซู อย่าไปกับเขา!”
น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกร้าวดังเดิม ทำให้หัวใจของซูหลีเย็นยะเยือกขึ้นมาหลายส่วน นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องของข้า ไม่รบกวนให้ท่านต้องเป็นห่วง” เอ่ยจบ นางก็กระโดดขึ้นม้าด้วยตนเอง และตะบึงม้าออกไปทันที
หยางเซียวตะลึงงัน รีบกระโดดขึ้นม้าไล่ตามไป ไม่นานก็หายลับไปจากสุดสายถนน
ด้านหน้าประตูเรือนรับรอง พริบตาเดียวก็เหลือแค่ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวเพียงลำพัง เขายืนมองทิศทางที่หญิงงามหายลับไปอย่างเหม่อลอย เหมือนรูปปั้นแกะสลัก เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน
พระราชวังเปี้ยนในยามกลางคืนเงียบสงบมาก แต่กลับจุดโคมไฟสว่างเจิดจ้า เพื่อต้อนรับการกลับมาของซูหลี
ด้านหน้าตำหนักเฟิ่งสี่ โคมไฟหลากสีห้อยระย้าอยู่บนต้นอู๋ถงสูงตระหง่านที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ส่องแสงไปยังป้ายเคลือบทองที่อยู่เหนือบานประตู คำว่า ‘ตำหนักเฟิ่งสี่’ เปล่งประกายแสงสีทองสะดุดสายตา ที่นี่คือตำหนักของฮองเฮาแคว้นเปี้ยนในทุกยุคทุกสมัย แล้วก็เป็นตำหนักในฝันของสตรีชาวเปี้ยนทุกคน ยามนี้ ด้านหน้าตำหนัก นางกำนัลสิบกว่าคนที่ถูกฝึกอบรมมาอย่างดี กำลังก้มหน้าและคุกเข่าอย่างเงียบงันอยู่ตรงหน้าซูหลี ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังทว่าเคารพนอบน้อม คล้ายกำลังเตรียมต้อนรับการมาถึงของนายคนใหม่
ซูหลีเห็นเช่นนั้น ฝีเท้าพลันชะงัก กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่พักที่นี่” เอ่ยจบ ก็หมุนกายจะเดินจากไป
หยางเซียวรีบเดินตามนางไป เอ่ยเสียงร้อนใจ “ทำไมเล่า? เจ้าไม่ชอบ หรือรู้สึกว่ามีที่ใดไม่ดีอย่างนั้นหรือ? ข้าจะสั่งให้พวกนางจัดการใหม่เดี๋ยวนี้”
ซูหลีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ที่นี่ไม่เหมาะกับข้า”
หยางเซียวกะพริบตาปริบๆ คล้ายลำบากใจ พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากพักที่ไหน?” รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้นบนกลีบปากหนา เขาชะโงกหน้าไปใกล้นาง แล้วกล่าวอย่างทะลึ่ง “หรือว่า…เจ้าจะพักกับข้า ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เป็นที่ที่สบายที่สุดในวังหลวงแห่งนี้แล้ว”
รู้ทั้งรู้ว่าเขากำลังหยอกล้อ แต่แววตาคาดหวังในดวงตาเขา กลับจริงจังต่างจากคำพูด
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ความจริงที่ข้ากลับมาครั้งนี้ เพราะมีเรื่องจะพูดกับท่าน”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ใบหน้าของหยางเซียวก็แปรเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มยินดีถูกวาจาประโยคเดียวของนางทำให้จางหายไปจนสิ้น สายตาของนางสงบนิ่งดั่งเช่นในยามปกติ แต่นั่นกลับทำให้หัวใจของเขาสับสนวุ่นวาย
หยางเซียวรีบพูดขึ้นทันที “มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถิด เดือนหน้าเป็นพิธีขึ้นครองราชย์ของข้า แต่ละแคว้นล้วนส่งทูตมาร่วมแสดงความยินดีด้วย เจ้าทายซิว่าแคว้นติ้งส่งผู้ใดมา?”
แคว้นติ้ง…ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย เห็นเขายิ้มอย่างนั้น คงไม่ใช่…
“องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง?”
“ถูกต้องแล้ว! อาหลีฉลาดเป็นกรดจริงๆ ทายถูกตั้งแต่ครั้งแรกเลย!”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว นิ้วมือลูบคลำหยกห้อยเอวในอกเสื้อโดยสัญชาตญาณ บุรุษผู้มีบุคลิกอ่อนโยนและสูงสง่าผู้นั้นราวกับยืนอยู่ตรงหน้า ครั้นนึกได้ว่าชาติกำเนิดอันลึกลับของตนเองมีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแยกไม่ออก นางก็อดถามขึ้นไม่ได้ “หลางฉ่างจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนเมื่อใด?”
“น่าจะใกล้แล้ว” ครั้นเห็นนางสนใจต่อการมาเยือนของหลางฉ่างมาก หยางเซียวสะดุดใจเล็กน้อย เขาถามหยั่งเชิงคล้ายไม่ใส่ใจนัก “ทำไมเล่า เจ้าอยากพบเขามากหรืออย่างไร?”
ซูหลีหลบสายตาเล็กน้อย นางกล่าวคล้ายไม่มีอะไรแอบแฝง “เปล่า เพียงถามไปอย่างนั้น ไม่ได้พบเขานานแล้ว” นางลอบคิดในใจ เดิมทีตั้งใจจะมาบอกลาหยางเซียว แล้วเดินทางไปพบหลางฉ่างที่แคว้นติ้ง ยามนี้เขากำลังมุ่งหน้ามาเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนพอดี เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แค่รอเขาอยู่ที่นี่อย่างสบายใจก็พอแล้ว
“อาหลี” จู่ๆ หยางเซียวก็เอ่ยปาก สีหน้าดูกังวลหนึ่งส่วน
“ทำไมหรือ?”
หยางเซียวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พิธีขึ้นครองราชย์เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตข้า วันนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่ข้างกายข้า” สายตาของเขาจริงจังเป็นพิเศษ จ้องมองนางไม่ยอมละสายตา คล้ายใส่ใจในคำตอบของนางมาก
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย นางพยักหน้า “ได้”
หยางเซียวจึงค่อยคลายใจ จูงมือนาง แล้วยิ้มอย่างมีความสุข “ดีเหลือเกิน เจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่ตำหนักเจาหวาของเสวียนเอ๋อร์ เป็นเช่นไร?”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันตอบคำถาม ก็ถูกเขาลากเดินไป ตำหนักเจาหวาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวังเปี้ยน ลานสวนกว้างขวางมาก ซูหลีตะลึงงันทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป ที่นี่ ไม่เหมือนตำหนักขององค์หญิงแม้แต่น้อย สวนด้านหน้ากว้างใหญ่ไพศาล ด้านหนึ่งมีเป้าธนูวางเรียงไว้ แล้วยังมีชั้นวางอาวุธอีกด้วย การจัดแต่งกลับเหมือนสนามฝึกการต่อสู้เสียมากกว่า
……………………
Related

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset