กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 116 ชอบเขาเข้าแล้วจริงๆ (2)

ความกังวลและความเป็นห่วงอย่างชัดเจน ทำให้ซูหลีอบอุ่นใจ แต่ก็ลอบขมวดคิ้ว ปัญหานี้นางเองก็สับสนมากเช่นกัน หากวันนี้ตงฟางเจ๋อไม่บังเอิญผ่านมาพบเข้า คำตอบอาจกระจ่าง แต่ก็ยังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัด จึงพยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงห่วงเพคะ” จู่ๆ นางก็เพิ่งสัมผัสได้ว่ามือของตงฟางเจ๋อที่กุมมือนางไว้ไม่ได้อบอุ่นเช่นแต่ก่อน ปลายนิ้วของเขาเย็นเยียบ
ซูหลีใจสั่นไหว อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดีหรือ? นางอดไม่ได้ที่จะแอบพิจารณาสีหน้าของเขา ตงฟางเจ๋อคล้ายกำลังไตร่ตรองเรื่องเมื่อครู่ ดวงตาลึกล้ำดำขลับดั่งน้ำหมึก ยิ่งขับเน้นให้กลีบปากเขาซีดขาว หว่างคิ้วแสดงถึงความเหนื่อยล้า
ซูหลีลอบถอนหายใจ อดเอ่ยอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “ท่านอ๋องสีหน้าไม่ค่อยดี พักนี้ใช่ทรงงานหนักเกินไปจนเหน็ดเหนื่อยหรือไม่เพคะ?”
ตงฟางเจ๋อสายตาสั่นระริก ฉีกยิ้มกว้างขึ้น “เหนื่อยมากจริงๆ แต่ว่า…เห็นหน้าซูซูก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว”
ซูหลีหลุบตาต่ำอย่างขัดเขิน “ท่านอ๋องล้อหม่อมฉันเล่นอีกแล้ว”
ตงฟางเจ๋อจ้องนางเอ่ยเสียงเบา “สำหรับซูซู ข้าไม่เคยล้อเล่น…วันนี้อากาศดียิ่ง หากซูซูไม่มีธุระ ยินดีไปที่แห่งหนึ่งกับข้าหรือไม่?”
แม้น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา วาจาก็คล้ายกำลังถามความเห็นของนาง แต่มือที่กุมมือนางไว้กลับแน่นขึ้นหลายส่วน
ซูหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า แววคาดหวังในดวงตาของเขา ทำให้นางไม่อาจปฏิเสธได้
ตงฟางเจ๋อสีหน้าผ่อนคลาย เขาเรียกม้าเข้ามา กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วทั้งสองก็ออกจากเมืองมุ่งหน้าสู่ภูเขาซีซาน
สุสานราชวงศ์ซีซานตั้งอยู่ตามแนวภูเขาซีซานทอดยาวไปหลายสิบลี้ พื้นที่กว้างขวางกว่าสุสานบรรพบุรุษสกุลหลีหลายเท่า ซูหลีเริ่มเดาได้รางๆ ตงฟางเจ๋อ…มาเซ่นไหว้เหลียงกุ้ยเฟย มารดาของเขา แต่กลับไม่เข้าใจ เขามาเซ่นไหว้มารดาตนเอง เหตุใดจึงพานางมาด้วย?
ม้าอูจุยพุ่งทะยานด้วยความเร็วจนมาถึงด้านล่างป้ายหยก ทั้งสองพลิกกายลงจากม้า คนเฝ้าสุสานเห็นก็ค้อมกายทำความเคารพ
เซิ่งฉินและเซิ่งจินองครักษ์ของตงฟางเจ๋อมาถึงก่อนแล้ว ครั้นเห็นเขาก็รีบก้าวเข้ามา “ท่านอ๋อง สิ่งที่ท่านอ๋องต้องการเตรียมพร้อมไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อตอบรับว่า “อืม” รับกล่องเงินมาจากมือองครักษ์ แล้วจูงมือซูหลีเดินไปทางหลุมฝังศพของเหลียงกุ้ยเฟย เซิ่งฉินและเซิ่งจินต่างก็ยืนเฝ้าอยู่ที่เดิม
แสงสว่างในห้องโถงเซ่นไหว้มืดสลัว แผ่นป้ายของเหลียงกุ้ยเฟยถูกตั้งไว้ตรงกลาง ตงฟางเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึม วางกล่องเงินในมือไว้อีกด้านหนึ่งเบาๆ สะบัดชายอาภรณ์คุกเข่าทำความเคารพบนฟูกก่อนกล่าว “เสด็จแม่ ลูกมาเยี่ยมท่านแล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซูหลีไม่เคยเห็น ได้ยินเพียงเขาเอ่ยเสียงเบา “เวลาช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวเสด็จแม่ก็จากลูกไป…จะครบหนึ่งปีแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของลูก จึงตั้งใจมาเยี่ยมท่าน”
ซูหลีสะดุด วันนี้เป็นวันเกิดของเขา?! จำได้ว่าในอดีตครั้นถึงวันเกิดของท่านอ๋องทั้งสอง จะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตขึ้นในราชวัง เชื้อเชิญขุนนางคนสำคัญมาร่วมงาน หรือเป็นเพราะเหลียงกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้จึงยกเลิกพิธีการนี้ไปด้วย?
“พักนี้ลูกสบายดี เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วงลูก” ตงฟางเจ๋อคุกเข่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นจุดธูปสามดอกปักในกระถาง เปิดกล่องสีเงินหยิบขนมอบหน้าตาสวยงามหลากสีออกมาวางบนโต๊ะบูชา แล้วรินเหล้าจนเต็มจอก กลีบปากหยักยิ้มบางๆ “ขนมเหล่านี้ ล้วนเป็นขนมที่ลูกชอบกินที่สุด วันเกิดทุกปีท่านแม่มักลงมือทำให้ลูกกินด้วยตนเองเสมอ ยามนี้ถึงแม้ท่านไม่อยู่ ก็จะให้เสียธรรมเนียมไม่ได้ ให้ลูกทำให้ท่านแม่แทนแล้วกัน เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ฝีมือลูกพอใช้ได้หรือไม่?”
ตงฟางเจ๋อจ้องไปยังแผ่นป้ายของเหลียงกุ้ยเฟย สายตาจดจ่อและอ่อนโยน ราวกับคนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดในโลกใบนี้ยังคงอยู่เบื้องหน้า มิเคยจากไปไหน เขาหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาจากจาน วางไว้หน้าแผ่นป้ายอย่างระมัดระวัง ตนเองยกถ้วยสุราขึ้นดื่มจนหมด เขากระดกเร็วเกินไป หยดสุราจึงหกเปียกสาบเสื้อ
ซูหลียืนอยู่ด้านหนึ่ง มองดูเขาอยู่เนิ่นนานไม่กล่าวอะไร ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกสับสนอย่างหนึ่งขึ้นมา ตงฟางเจ๋อมีนิสัยเก็บตัวซ่อนงำความรู้สึก ยากคาดเดาความคิดที่แท้จริงของเขาได้ แม้ตอนที่ติดอยู่ในหุบเขาในคืนนั้นเขาจะเล่าเรื่องราวมิตรภาพแม่ลูกระหว่างตนเองกับเหลียงกุ้ยเฟย ทำให้นางเห็นใจคนหัวอกเดียวกัน ทว่ากลับชวนให้ใจสั่นสู้ภาพที่เห็นในยามนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาตกตะลึงเล็กน้อยของนาง ตงฟางเจ๋อยิ้มบางกล่าวว่า “ทำไมเล่า? วันเกิดข้า ซูซูจะไม่อวยพรสักหน่อยหรือ?”
ซูหลีรีบเก็บงำความคิด แล้วเอ่ยขอโทษ “วันเกิดท่านอ๋องซูหลีกลับไม่รู้เรื่อง ช่างเสียมารยาทยิ่งนัก วันหลังต้องเตรียมของขวัญไปมอบให้ถึงที่เพื่อไถ่โทษแน่นอนเพคะ ใช่แล้ว ตามธรรมเนียม วันเกิดท่านอ๋อง ราชวังไม่มีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองหรือเพคะ?”
“เดิมทีเสด็จพ่อหมายจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ ข้าขอบพระทัยแต่ก็ปฏิเสธไป เสด็จแม่ยังสิ้นพระชนม์ไม่ครบปี เป็นโอรส จะให้เฉลิมฉลองกับเหล่าบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกันในวันสำคัญเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ!” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคลือบด้วยรอยยิ้ม กลีบปากกลับมีแววเย้ยหยันพาดผ่าน
เรื่องนี้นอกเหนือความคาดหมายของซูหลีไปมาก ยามอยู่ต่อหน้านาง ตงฟางเจ๋อไม่เคยปิดบังความปรารถนาที่อยากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เลยแม้แต้น้อย ยามนี้สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงไม่อาจคาดเดา องค์รัชทายาทยังไม่ถูกแต่งตั้ง เขาย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสในการซื้อใจผู้คน ทว่าในวันเกิดตนเอง เขากลับมารำลึกความหลังต่อหน้าหลุมศพมารดาเงียบๆ เพียงผู้เดียว บุรุษผู้นี้…โดดเดี่ยวอ้างว้างถึงเพียงใดกัน
วาจาของเขาสะท้อนความเจ็บปวดอันน่าจนใจ ส่งผลให้ซูหลีสะเทือนใจอีกครั้ง ใช่แล้ว บุตรฉลองวันเกิด คนที่ควรอยู่ด้วยย่อมต้องเป็นมารดาของตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย ในโลกใบนี้ หากจะเอ่ยถึงเรื่องที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานที่สุดสำหรับคนเป็นลูก ก็คือการที่บุตรหวังเลี้ยงดู แต่บุพการีกลับจากไปแล้ว
นึกย้อนถึงภาพในวันนั้นที่มารดาตนเองสิ้นลมหายใจ ซูหลีอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ นางเหมือนเขา คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ล้วนไม่อยู่แล้ว…
ทั้งสองต่างเงียบงันอยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างรำลึกถึงคนที่ตนเองเคารพรักมากที่สุด
คล้ายไม่ชอบบรรยากาศโศกเศร้าเช่นนี้นัก ตงฟางเจ๋อพลันหัวเราะเบาๆ กล่าวอย่างค้นหา “เมื่อครู่ซูซูบอกว่าจะมอบของขวัญให้ข้า เจ้ารู้หรือว่าข้าอยากได้สิ่งใด?”
ซูหลีถามกลับโดยสัญชาตญาณทันที “ท่านอ๋องอยากได้ของขวัญอะไรเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ซูซูฉลาดปราดเปรื่อง หรือยังเดาความชื่นชอบของข้าไม่ออก?”
“ท่านอ๋องทรงพระปรีชาสามารถ ความคิดของท่านอ๋องหาใช่สิ่งที่หม่อมฉันสามารถเดาได้ ทว่าท่านอ๋องฐานะสูงส่ง นึกดูแล้วคงไม่ขาดเหลือสิ่งใด ซูซูประหยัดเงินเก็บได้พอดีเลยเพคะ”
ได้ยินวาจาหยอกเย้าของนาง กลีบปากของตงฟางเจ๋อหยักยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ดึงมือนางไปเบาๆ กล่าวอย่างมีความหมายแฝง “วันนี้ที่ข้าได้พบซูซู เป็นเจตจำนงของสวรรค์ มีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว”
ซูหลีหัวใจเต้นรัว วาจาเขามีความนัยแฝง สีหน้าท่าทางจริงจังกว่ายามปกติ คล้ายกำลังแสดงให้เห็นว่าตนเองให้ความสำคัญกับนางเพียงใด? ชั่วขณะหนึ่งจิตใจสับสน กลับไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี
ตงฟางเจ๋อเห็นนางเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ก็หันไปด้านหนึ่ง หยิบขนมชิ้นนั้นวางกลางฝ่ามือนาง “มา ช่วยชิมขนมฝีมือข้าแทนเสด็จแม่ที”
ซูหลีจงใจมองข้ามความหมายแฝงในวาจาของเขา เพียงกำขนมชิ้นนั้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าววาจาล้อเลียน “นึกไม่ถึงว่าเจิ้นหนิงอ๋อง ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเกินคน ชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทิศ กลับเข้าครัวอบขนมเป็นด้วย? เช่นนั้นวันนี้หม่อมฉันคงต้องขอพึ่งบารมีของพระสนมเหลียงแล้ว” นางกัดเบาๆ หนึ่งคำ ขนมนั้นเมื่อเข้าปากก็ละลาย พลันส่งกลิ่นหอมทั่วปาก
“เป็นเช่นไร?” ตงฟางเจ๋อถาม สายตาจดจ้องไปที่ใบหน้านาง
ซูหลีกัดไปหลายคำ ไม่เอ่ยอะไร กระทั่งกินจนหมด จึงค่อยถามอย่างสงสัย “นี่…ท่านอ๋องทำเองจริงหรือเพคะ?” นางไม่อยากเชื่อนัก รสชาตินี้ เกรงว่าแม้แต่ห้องเครื่องในวังก็ยังสู้ไม่ได้
………………………………………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset