กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 117 ชอบเขาเข้าแล้วจริงๆ (3)

“แน่นอน!” รอยยิ้มของตงฟางเจ๋อกว้างกว่าเดิม นัยน์ตาดั่งหยกเปล่งประกายชวนหลงใหล เขาก้มหน้ากระซิบถามข้างหูนาง “ซูซูไม่เชื่อหรือ?”
“ซูหลีมิกล้าเพคะ!” นางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ผสมกลิ่นหอมจางๆ ที่เป่ารดใบหูนาง ทำให้หัวใจนางหวั่นไหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจสงบใจลงได้ จึงรีบหันหน้าหนี กล่าวเสียงลนลาน “ขนมนี้ รสชาติดีมากเพคะ พระสนมจะต้องทรงโปรดมากแน่ๆ”
ตงฟางเจ๋อสีหน้าพลันหมองลง เอ่ยถามเสียงเศร้า “เช่นนั้นหรือ น่าเสียดายที่เสด็จแม่ไม่มีวันได้ลิ้มรสมัน และไม่อาจสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของข้าอีก” เขาหลุบตาต่ำ ความเจ็บปวดและสิ้นหวังที่พาดผ่านดวงตาเขา ไม่ได้เล็ดลอดสายตาของซูหลีไป
มือบอบบางขาวเนียนข้างหนึ่งค่อยๆ วางทับลงบนหลังมือของทั้งสองที่กำลังกุมกันแน่น ตงฟางเจ๋อเพียงหลุบตาต่ำ ไม่ได้ขยับมือออก ได้ยินนางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านอ๋องคิดผิดแล้วเพคะ!”
เขาอึ้งงัน เงยหน้ามองนาง สายตาแจ่มชัดและจริงใจของซูหลีกำลังจับจ้องใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “แม้พระสนมจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ความกตัญญูของท่านอ๋อง และทุกสิ่งที่ท่านอ๋องทำ ดวงวิญญาณของพระสนมที่อยู่บนสวรรค์ จะต้องรับรู้ได้แน่นอนเพคะ! เพราะมารดาทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงถึงบุตรของตนเอง ความรักทางสายเลือดเป็นสิ่งที่ไม่มีวันถูกตัดขาดได้!”
ก็เหมือนนางกับมารดาของนาง!
ความรู้สึกสะเทือนใจพลันจู่โจมจิตใจ เสียงของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาไหวระริก ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยคำใด
ซูหลีค่อยๆ เลื่อนสายตาออกไป ทอดมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนกล่าวต่ออย่างแช่มช้า “นางจะเฝ้ามองท่านอยู่บนฟ้าเสมอ มองดูท่านบรรลุความปรารถนาของตนเองทีละก้าวๆ เมื่อใดที่ท่านสมปรารถนาแล้ว นางถึงจะวางใจ และตายตาหลับ!”
นัยน์ตากระจ่างใสถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำเลือนราง นางไม่อาจลืมภาพที่เสด็จแม่ตายตาไม่หลับ! เงยหน้าคลี่ยิ้ม ทว่าสายตากลับเศร้าหมอง ราวกับคนที่กำลังแบกรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดาในยามนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นนาง
ตงฟางเจ๋ออดไม่ได้ที่จะสะท้านใจ วาจาเหล่านั้น ถึงแม้นางเอ่ยเพื่อปลอบใจเขา แต่กลับเหมือนพูดให้ตัวนางเองฟังมากกว่า คล้ายกำลังยืนหยัดในความเชื่อบางอย่าง!
นางคงถูกความคิดถึงมารดาของตนเองกระตุ้นให้เศร้าโศก บางทีในโลกใบนี้ อาจมีเพียงนางที่เหมือนกับเขา ข้างกายมีญาติสนิทมากมาย แต่คนที่เป็นห่วงพวกเขาอย่างแท้จริง กลับจากโลกนี้ไปนานแล้ว!
สตรีที่อยู่ตรงหน้ามีเงาร่างบอบบางและอ้างว้าง กลิ่นอายความเศร้าโศกที่แม้นางพยายามข่มกลั้นไว้ก็ยังไม่อาจปกปิดได้แผ่ปกคลุมอยู่รอบกาย ตงฟางเจ๋อมองนางเหมือนมองเห็นตนเองที่เคยเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดได้ ขอบตาพลันร้อนผ่าว หัวใจเจ็บปวดจนหายใจติดขัด
วินาทีนี้เขาพลันรู้สึกได้ทันที นางกับเขาคล้ายกันถึงเพียงนี้! ร่างสูงก้าวเข้าไปรั้งนางเข้ามาในอ้อมอกอย่างห้ามใจไม่อยู่ โอบกอดนางไว้แน่น ราวกับนางคือสิ่งปลอบโยนที่เขาไม่อาจตัดใจยกให้ผู้ใดได้
“ซูซู…” เขาได้แต่ขานเรียกชื่อนางเบาๆ ข้างหู ไม่อาจเอ่ยคำใดอีก ซูหลีหลับตาลง กอดตอบเขาเบาๆ นางซบหน้าลงกับแผงอกกำยำของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่า หัวใจของบุรุษที่ความคิดยากแท้หยั่งถึงผู้นี้อยู่ใกล้นางถึงเพียงนี้ ความเจ็บปวดของเขา นางรับรู้ได้ราวกับเป็นความเจ็บปวดของนางเอง และมารดาของพวกเขาทั้งคู่จะคอยมองพวกเขาอยู่บนสวรรค์ จะต้องมีสักวันที่เขาและนางจะสมปรารถนา ไม่ทำให้พวกนางผิดหวัง!
ทั้งสองกอดกันเงียบๆ เงียบจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของอีกฝ่าย ราวกับยามนี้ไม่ต้องการคำพูดอื่นใดอีก ดวงจันทร์ยามราตรีงดงามส่องแสงนวลกระจ่างใส
ท้องฟ้ายามค่ำตอนต้นฤดูร้อนสวยงามยิ่งนัก เหล่าแมลงท่ามกลางต้นหญ้าเขียวขจีพากันส่งเสียงร้องเล็กแหลม เหล่าวิหคแข่งกันขับขานเสียงใส สายลมเย็นโชยปะทะใบหน้าเบาๆ พาให้รู้สึกเย็นสบายและสดชื่น ตงฟางเจ๋อจูงมือซูหลีเดินออกจากโถงเซ่นไหว้ ม้าอูจุยค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ เห็นชัดว่าตงฟางเจ๋อกำลังลดความเร็วในการเดินทางกลับเมือง เขาละโมบต่อทิวทัศน์อันงดงามจนแทบไร้ที่ติในค่ำคืนนี้ และไม่อยากแยกจากนางไป
ราวกับรับรู้ได้ถึงความคิดเขา ซูหลีมิได้เอ่ยปากเร่งเร้า หลังจากพยายามใจเย็น อารมณ์ของนางก็ค่อนข้างสับสนยากจะเข้าใจ นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตนเองเกิดความรู้สึกพิเศษต่อบุรุษผู้นี้แล้ว ทว่าชั่วขณะหนึ่งกลับตกใจและยากจะยอมรับความรู้สึกเช่นนี้ได้
ทั้งสองเงียบงันตลอดทาง ไม่มีใครเปิดปากพูดคำใด
สูงขึ้นไปเหนือม่านฟ้า ทันใดนั้น แสงสีเงินเส้นหนึ่งพลันพาดผ่านรางๆ ม้าอูจุยพลันชะงักฝีเท้า
ยามนี้บนผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม กลับมีลำแสงสว่างไสวนับไม่ถ้วนพาดผ่าน เปล่งประกายสว่างระยิบระยับ
ซูหลีพลันสะท้านใจ หันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “แม้แต่สวรรค์ยังมาอวยพรให้ท่าน! ท่านช่างมีบารมีสูงส่งโดยแท้!” รอยยิ้มของนางจริงใจไม่เสแสร้ง แตกต่างจากยามปกติ เมื่ออยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันงดงามทว่าพร่ามัว พาให้ผู้พบเห็นตกตะลึงในความงามจนต้องกลั้นหายใจ
“เช่นนั้นหรือ?” เขาไม่ได้เงยหน้ามองท้องฟ้า แต่กลับจดจ้องใบหน้านาง มองเห็นเพียงประกายสว่างไสวมากมายพาดผ่านดวงตานางอย่างรวดเร็ว และหายไปในพริบตา ราวกับดอกไม้ไฟที่งดงามที่สุด
ซูหลีมองท้องฟ้าแล้วกล่าวชม “งามยิ่งนัก” เขากลับมองดวงตานางแล้วกล่าวว่า “ใช่ งามยิ่งนัก!”
โดยเฉพาะในยามนี้ ไม่มีสิ่งใดงดงามไปกว่าดวงตาคู่นี้ของนางอีกแล้ว!
เขาพลันหัวใจสั่นไหว ก้มตัวกระซิบข้างหูนางเบาๆ “เจ้าจะให้ของขวัญข้าจริงหรือ?”
ซูหลีหันไปมองเขา พยักหน้าเบาๆ หมายจะถามเขาว่าต้องการของขวัญใด แต่เพิ่งจะอ้าปาก ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันประชิดเข้ามา กลีบปากแดงที่อ้าออกเล็กน้อยถูกริมฝีปากของเขาประกบปิดอย่างรวดเร็ว
ซูหลีตัวเกร็งทันที รู้สึกเพียงมีเสียง ‘บึ้ม’ ดังในหัว ประกายแสงสีเงินสว่างไสวบนน่านฟ้าเหล่านั้นคล้ายพุ่งลงมาหมุนวนอยู่ในสมองของนางในยามนี้
ไม่มีความรุนแรงและเผด็จการดังเช่นวันก่อน จุมพิตอันนุ่มนวลของเขาไม่ได้เร่งร้อนรุกรานเข้ามา เพียงหยอกเย้าจิตใจอันอ่อนแอของนาง และรอคอยให้นางเป็นฝ่ายสนองกลับเอง
กลีบปากแดงอันนิ่มนวลดั่งดอกไม้ของนาง ถูกจุมพิตร้อนรุ่มประกบไว้ไม่ยอมคลาย ประสาทรับกลิ่นอันยอดเยี่ยมของซูหลีได้กลิ่นสุราจากลมหายใจของเขาอย่างชัดเจน นางหอบหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว กลีบปากบางขยับเล็กน้อย เสี้ยววินาทีต่อมา ก็ถูกเขาลิดรอนสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายรุก!
ผ่านไปไม่นาน นางทิ้งตัวซบหน้าอกเขาอย่างอ่อนแรงและยากจะควบคุมตนเอง นางช้อนแพขนตาขึ้นเงียบๆ ด้วยอยากจะมองบุรุษตรงหน้าให้ชัดเจนกว่าเดิม ทว่ากลับถูกทักษะการจูบอันร้อนแรงของเขาทำให้สมองปั่นปวนไปหมด
ชั่วขณะหนึ่ง ใต้น่านฟ้ายามราตรีสีน้ำเงินเข้ม ฝนดาวตกโปรยปรายราวกับดอกไม้ไฟ สว่างวาบและหายลับไปอย่างรวดเร็ว ทิวทัศน์อันงดงามเช่นนี้ ได้สลักภาพความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนไว้ในหัวใจของทั้งสองไปตลอดกาล
หลังจากนั้นไม่นาน นางได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยกระซิบแผ่วเบาข้างหูนาง “นี่คือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด ที่ข้าได้รับในวันเกิดปีนี้!”
ในช่วงชีวิตอันสงบสุขกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซูหลีขบคิดเรื่องใหญ่ที่จะทำในพิธีคัดเลือกพระสวามีอยู่ในเรือนเงียบๆ ทุกวัน นางปิดประตูไม่รับแขก ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นไปพักหนึ่ง ผ่านไปไม่นานก็ถึงวันพิธีแล้ว
แสงแรกของวันใหม่ส่องทะลุชั้นเมฆบางๆ สาดกระทบลงบนถนนที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจางๆ
ห่างออกไปห้าลี้ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง ณ พระราชวังส่วนพระองค์เซียวซาน
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องใบเฟิง[1]สีแดง ทุกฤดูใบไม้ร่วงใบเฟิงสีแดงเพลิงจะผลิบานปกคลุมทั่วภูเขาทั้งลูก ครั้นสายลมพัดผ่านเบาๆ ก็ดูราวกับก้อนเมฆสีเพลิงที่ลอยไหวอยู่บนน่านฟ้า จึงถูกขนานนามให้กลายเป็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของเมืองหลวง และพระราชวังส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ ก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงจุดสิ้นสุดของป่าต้นเฟิง พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล หรูหราโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด ตำหนักสีทองอร่ามที่ถูกสร้างทับซ้อนเรียงรายกันเหล่านั้น เมื่อต้องแสงแดดสีทองยามรุ่งอรุณ ก็พลันเปล่งประกายระยิบระยับแวววาว
ซูหลีลงจากรถม้าโดยมีโม่เซียงคอยประคอง นางยืนอยู่ด้านล่างของบันไดศิลาที่อยู่นอกประตูซานเหมิน แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดมองไปยังเบื้องหน้า ครั้นนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น นางลอบกำหมัดเบาๆ วันนี้จะเป็นการเดิมพันอีกฉากหนึ่ง นางเตรียมเบี้ยทั้งหมดไว้พร้อมแล้ว ทว่ากลับไม่อาจคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างที่ใจนางปรารถนาหรือไม่
………………………………………………………
[1] ใบเฟิง คือ ใบเมเปิ้ล

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset