กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 26 อาภรณ์ของผู้ใหญ่

“ถ้าหากเกิดเรื่องข้าจะมาด่าพวกเจ้าได้รึ?” ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อนั่งลงตรงเฉลียง
จี้ฮ่วนถอนหายใจ และพบว่าเสื้อด้านในของตัวเองชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว ในเวลานี้ในใจของเขาไม่กล้าหลงเหลือความรู้สึกดูถูกดูแคลนอีกต่อไป เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้วการกระทำของเขาเมื่อครู่นั้นโง่เง่าโดยแท้
แม้ว่าจี้ฮ่วนไม่ได้ตั้งใจดูถูกซ่งชูอี แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็ไม่เคยชื่นชมนางเลย ถ้าหากคนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือจางอี๋ คิดว่าการประมาทเลินเล่อเช่นวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
“หากตัดสินใจจะใช้ข้า ก็จงแสดงความภักดีอันเต็มเปี่ยมออกมา! ไม่ใช่ภักดีต่อข้าซ่งชูอี! แต่ต่อทหารรัฐเว่ย์สามหมื่นนาย ต่อรัฐเว่ย์ของพวกเจ้า!” ซ่งชูอีเงยหน้า สายตาที่จ้องมองจี้ฮ่วนนั้นสงบนิ่งแต่เยือกเย็น “หากตอนนี้จะบอกว่าไม่เชื่อข้าก็ยังทัน”
จี้ฮ่วนละอายใจยิ่ง ก้มหน้ายกมือคารวะพร้อมเอ่ย “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว! เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำสองอีก!”
ในกรณีนี้ ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดเกิดจากจี้ฮ่วน อวิ่นรั่วเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมากต่อหน้าผู้บังคับกองพัน ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงไม่ได้เรียกร้องความรับผิดชอบจากเขา
เมื่อเห็นซ่งชูอีหมุนตัวเดินเข้าไปยังห้องนอน จี้ฮ่วนอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านหวยจิน ในเมื่อใต้เท้าเถาไปเข้าเฝ้าซ่งจวินแล้ว เรื่องนี้เรามีโอกาสชนะใช่หรือไม่?”
ซ่งชูอีหยุดเดิน ดึงสติกลับมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย “โอกาสชนะนั้นมี แต่มันอยู่ที่ข้า มิได้อยู่ที่เถาติ้ง”
ไม่ใช่ว่าซ่งชูอีอวดดี แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้
เถาติ้งมีจิตใจห่วงชาติบ้านเมือง ด้วยตำแหน่งของเขาก็สามารถปราศรัยต่อหน้าพระพักตร์อีเฉิงจวินแห่งซ่งได้บ้าง แต่เถาติ้งเป็นสนับสนุนลัทธิขงจื้ออย่างเหนียวแน่น อีกทั้งยังยกย่องเมิ่งจื่อเป็นอย่างยิ่ง เมิ่งจื่อเคยหยิบยกคำกล่าวที่ว่า “ไพร่ฟ้าล้ำค่า ราชาต่ำต้อย” ในยุคสมัยที่จักรพรรดิถืออำนาจสูงสุดเช่นนี้ ไม่มีจักรพรรดิองค์ใดที่จะชื่นชอบด้วยใจจริง
เท่าที่ซ่งชูอีรู้ คนที่ซ่งทีเฉิงจวินไว้ใจมากที่สุดก็คือมหาเสนาบดีซ่งเหยี่ยน แต่ว่าซ่งเหยี่ยนเป็นถึงเศรษฐีและ “เคร่งปฏิบัติ” มาก แม้จะแบ่งขนมชิ้นใหญ่หรือสมบัติล้ำค่ามากมายเท่าไรให้เขาก็ไร้ประโยชน์ นอกเสียจากว่าจะพกของติดไม้ติดมือแล้วไปเคาะประตูจวนเขา แต่สองมือของซ่งชูอีว่างเปล่า เกรงว่าหากเคาะประตูแล้วก็จะถูกโยนออกมากลางถนนเสียมากกว่า
เกลี้ยกล่อมเถาติ้งได้สำเร็จก็เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือนั้นต้องดูวันพรุ่งนี้แล้ว
เมื่อตัวอยู่ที่รัฐซ่ง จึงมีบางอย่างไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ซ่งชูอีก็ไม่มีเจตนาที่จะอธิบายให้จี้ฮ่วนฟัง จึงเข้าห้องนอนไปแล้ว ก่อนจะปิดประตู ซ่งชูอีแสยะยิ้มเอ่ย “จี้จวิน หวังว่าคืนนี้จะไม่มีแม่นางปีนขึ้นมาบนที่นอนข้า ถึงตอนนั้น ข้าก็ไม่สามารถรับประกันว่าจะยังปลอดภัยอยู่”
แม้ว่าท่อนบนของนางจะไม่มี ท่อนล่างก็ไม่มีเช่นกัน
“ขอรับ!” จี้ฮ่วนสีหน้าขึงขัง
ซ่งชูอียิ้มแห้ง หมุนตัวปิดประตู ปีนขึ้นไปบนที่นอนพร้อมบ่นพึมพำ “หรือว่าเรื่องตลกนี้ไม่น่าขัน? หรือข้าพูดด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเกินไป เจ้าโง่นั่นถึงไม่เข้าใจ?”
ซ่งชูอีเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง
แสงจันทร์ยามวิกาลเยือกเย็น จี้ฮ่วนและอวิ่นรั่วสองคนด้านนอกผลัดกันเฝ้ายาม ซ่งชูอีที่อยู่ในห้องนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ นางนอนจากแนวตั้งไปแนวขวาง นอนจากตรงกลางไปปลายเตียง แล้วนอนที่หัวเตียงอีกครั้ง จากนั้นก็นอนจากแนวขวางไปแนวตั้งอีกรอบ
ขณะที่ลืมตาขึ้นในวันรุ่งขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ต่างจากการนอนเมื่อคืนมากนัก มีเพียงผมเผ้าและเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง แต่ไรมาซ่งชูอีคิดว่าตนนอนด้วยความเรียบร้อยมาโดยตลอด แม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังคิดเช่นนั้น
หลังจากล้างตาล้างตาและทานอาหารเช้าแล้ว ก็มีคนเข้ามาปรนนิบัติซ่งชูอีอาบน้ำผลัดผ้า แม้นเรียกว่าอาบน้ำ แต่มิใช่การแช่น้ำจริงๆ หากแต่เป็นการใส่เครื่องเทศลงในอ่างอาบน้ำเพื่อกำจัดกลิ่นบนร่างกาย และเป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าจักรพรรดิด้วย
ซ่งชูอีไล่สาวใช้ออกไป ชำระล้างด้วยตนเอง สวมเสื้อผ้าสะอาดที่เตรียมไว้ก่อนเดินออกจากห้องอาบน้ำ
เนื่องจากเมื่อคืนเข้านอนทั้งที่ผมยังไม่แห้ง อีกทั้งยังนอนบนที่นอนทั้งคืน เช้านี้ผมก็เปียกอีกครั้ง สาวใช้สองคนหวีให้นางอยู่ครึ่งชั่วยามจนเหงื่อท่วมแผ่นหลังผมจึงคลายตัว
“ไม่ต้องสวมกวน (เครื่องศีรษะ) ให้ข้า” ซ่งชูอีคิดว่าเพราะตนอายุน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งกายให้เหมือนผู้ใหญ่ เพราะมันทำให้คนมองแล้วกลับเหมือนสวมเครื่องแต่งกายกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่
“นี่เป็นคำสั่งของนายท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยด้วยความลำบากใจ
ซ่งชูอีไม่ตอบ แต่กลับฮัมเพลงแทน เสียงแผ่วเบานั้นดังก้องอยู่ในห้องนอนอันว่างเปล่า แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ “ปลายกิ่งหวันหลัน เด็กน้อยสวมหมวกซี[1] แม้สวมหมวกซี แต่มิหยั่งรู้ใจข้า เยื้องย่างเชื่องช้า กวัดแกว่งไปมา ใบไม้หวันหลัน เด็กน้อยสวมเครื่องเซ่อ[2] แม้สวมเครื่องเซ่อ ก็ไม่ชิดเชื้อ เยื้องย่างเชื่องช้า กวัดแกว่งไปมา”
นี่คือกวีบทหนึ่งในเว่ย์เฟิงของคัมภีร์ซือจิง มีชื่อว่า “หวันหลัน” ใจความหลักคือการเย้ยหยันเด็กคนหนึ่งที่แม้จะสวมชุดผู้ใหญ่ แสดงออกถึงท่าทีคร่งขรึมและสง่างาม แต่พฤติกรรมของเขายังดูเป็นเด็กและไร้ความรู้
ซ่งชูอีหันไปเห็นใบหน้าซีดเผือกของสาวใช้ ยิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ย “เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อท่านจวินผู้สูงส่ง อย่าแต่งตัวเล่นๆ จะดีกว่า เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้หมอบลงไปกับพื้น
“ข้ายังคงเป็นราชทูตของรัฐเว่ย์ ระวังตัวมากหน่อยเป็นเรื่องสมควร เจ้าอย่าได้ตื่นตกใจไป” ซ่งชูอีลุกขึ้นส่องกระจก นางพอใจกับเสื้อคลุมธรรมดาตัวนี้มาก แม้นชุดเสวียนเมื่อวานดูสุขุม แต่กลับเผยทรวงทรงเพรียวบางของนางอย่างเด่นชัด หากมีคนให้ความสนใจกับมัน เกรงว่ามองเห็นถึงความผิดปกติได้ ส่วนเสื้อคลุมตัวนี้ บางทีอาจมีคนต้องการให้นางดูอัปลักษณ์ จึงเตรียมชุดที่ใหญ่กว่าตัวมาก ถ้าหากไม่สวมกวนแล้ว อาจจะแสดงออกถึงความโอหังของวัยเยาว์อยู่บ้าง แต่มันจะสามารถอำพรางเรือนร่างของนางได้อย่างพอดิบพอดี
“เกวียนในจวนเตรียมพร้อมแล้ว ท่านราชทูตจะเดินทางทันทีหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเอ่ยถาม
ซ่งชูอีเดินไปทั้งเช่นนั้น สาวใช้นำเกวียนวัว และขับรถไปที่พระราชวังซ่งช้าๆ
ในเวลานี้พาหนะมีสองประเภท ประเภทหนึ่งคือเกวียนวัว ประเภทหนึ่งคือเกวียนม้า ในความเป็นจริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกวียนวัวหรือเกวียนม้าล้วนเป็นสิ่งที่หรูหรามาก อย่างไรก็ตามม้าส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการสู้รบ ขุนนางธรรมดาจะใช้เกวียนวัวเสียมากกว่า
ใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งเค่อ[3] เกวียนก็หยุดลง
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมอง ขั้นบันไดทอดยาว ทหารยืนเข้าแถวทั้งสองด้าน เมื่อมองขึ้นไปด้านบนจะเห็นเพียงหลังคาของพระราชวัง สามารถมองเห็นลวดลายสัตว์ในเทพนิยายได้เลือนลาง มีอิฐหินอยู่โดยรอบ สีเทาเรียบง่ายนั้นแสดงออกถึงความโอ่อ่าสง่างาม
“ราชทูตแห่งรัฐเว่ย์มาถึงแล้ว!”
เท้าของซ่งชูอีเพิ่งจะแตะพื้น ก็มีเสียงตะโกนแหลมสูงดังอยู่ที่บันไดขั้นบนสุด จี้ฮ่วนและอวิ่นรั่วไม่สามารถเข้าไปในท้องพระโรงได้ ทำได้เพียงรออยู่ด้านล่าง
ขณะที่ซ่งชูอีกำลังเดินขึ้นไป ก็ได้ยินคนที่ยืนอยู่หน้าประตูพระราชวังตะโกนเสียงสูงตามมา “ราชทูตแห่งรัฐเว่ย์มาถึงแล้ว!”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเจอสถานการณ์เช่นนี้ ครั้นได้ผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง อารมณ์ก็ยิ่งสงบกว่าเมื่อก่อนมาก
ซ่งชูอีถอดรองเท้าที่หน้าประตู เดินเข้าท้องพระโรง พื้นห้องโถงถูกปกคลุมไปด้วยขนแกะหนาๆ และล้อมรอบด้วยเตาไฟ ไม่รู้สึกเย็นแม้นเดินเท้าเปล่า
“ด้วยราชโองการแห่งเว่ย์อ๋อง ราชทูตรัฐเว่ย์ถวายบังคมซ่งจวินพะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีโค้งคำนับยาวนาน
ทันใดนั้นบุคคลที่อยู่บนพระที่นั่งยิ้มเย็นชา “ว่าเยี่ยงไร เว่ย์โหวรู้สึกไม่สบายใจจนต้องส่งราชทูตเข้ามาติดกันสองคนเชียวรึ?”
…………………………..

[1] ซี เครื่องมือทำจากกระดูกสัตว์นั้นมีรูปร่างเหมือนกรวย ใช้เป็นเครื่องประดับได้ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ใหญ่
[2] เซ่อ เครื่องมือร้อยสายเบ็ดที่ทำจากหยกหรือกระดูกช้างติดอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือของมือขวา ใช้สำหรับผูกคันธนูเมื่อยิงธนู
[3] เค่อ หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

นิยายแปลรักย้อนยุคสุดเข้มข้นแนวกลยุทธ์สงคราม! อีกหนึ่งผลงานจากผู้เขียน ‘นิติเวชหญิงแห่งต้าถัง’ ‘ซ่งชูอี’ อาจมิใช่สาวงาม หากเป็นกุนซือหญิงผู้กุมชะตาชีวิตคนทั้งเมือง นางเสาะหาสันติสุขท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีของเจ็ดมหานครรัฐ ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด นางสามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ทว่าก็ยังพลั้งพลาดมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้คนที่มิคู่ควร และสิ้นลมอย่างน่าอนาถในวันที่นครถูกโจมตี! แต่เหมือนสวรรค์มีตาให้โอกาสนางได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตอีกครั้งในวัยสิบห้า ลิขิตให้นางได้พบกับเจ้าอี่โหลว องค์ชายหนุ่มตกอับกลางป่า ก่อนจะพลัดพรากให้จากกัน ท่ามกลางไฟสงครามที่แสนสับสนวุ่นวายและการต่อสู้พลิกชะตาที่เคยล้มเหลว ทั้งนางและเขา…ก็กลับได้มาพบกันอีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset