ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 495 บาดเจ็บฉุกเฉินกลางดึก / ตอนที่ 496 ความรักมาไม่ทันตั้งตัว

ตอนที่ 495 บาดเจ็บฉุกเฉินกลางดึก

 

 

ค่ำคืนยามเหมันต์ฤดูเงียบสงัด แสงไฟถนนสลัวสาดส่องปกคลุมเป็นรัศมีบางเบาในยามดึกดื่น

 

 

ด้วยแสงสลัวของกลางคืนจากด้านนอกส่องเข้ามาจึงทำให้เห็นหลินจยาอวี่นอนขมวดคิ้วขดตัวอยู่ในห้องนอน

 

 

ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นพรวดพราดจากเตียงกุมหน้าอกแล้วเข้าห้องน้ำ

 

 

เธอกอดชักโครกอาเจียนอย่างทรมาน อาหารที่กินไปเมื่อก่อนนอนก็สำรอกออกมาหมด

 

 

โดยทั่วไปหากอาเจียนออกมาแล้วจะรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้างแต่นี่ไม่ใช่ ดูเหมือนจะช่วงท้องขึ้นมาหน่วงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าปวดท้องหรือปวดกระเพาะกันแน่

 

 

เป็นความรู้สึกที่ทรมานมากแม้จะลุกยืนยังไม่ไหว

 

 

เธอใช้กำแพงพยุงเดินไปช้าๆ แล้วกลับไปนอนที่เตียง ตอนแรกคิดว่านอนพักสักหน่อยร่างกายคงคลายความทรมานลงมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็ไม่ทุเลาลงอาการปวดท้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

หลินจยาอวี่กุมหน้าท้องอย่างทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงร้องเรียกเสียงแผ่วเบา “ลู่เสวี่ยเฉิน…”

 

 

เสียงของเธอแผ่วเบาและอ่อนแรงอย่างช่วยไม่ได้

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินที่นอนหลับอยู่อีกห้องไม่สามารถได้ยินเสียง

 

 

หลินจยาอวี่ออกแรงเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางบนหัวเตียงจากนั้นรีบโทรหาลู่เสวี่ยเฉินทันที

 

 

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าจะปลุกลู่เสวี่ยเฉินที่หลับลึกให้ตื่นได้

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินถูกรบกวนให้ตื่นกลางดึกคลำหาโทรศัพท์ของตนเองเจอแล้วหลับตารับสาย เสียงแหบงัวเงียรับสายด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด “ฮัลโหล”

 

 

“ลู่เสวี่ยเฉิน…”

 

 

หลินจยาอวี่เอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วอ่อนแรง

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินได้ยินเสียงเล้ดลอดผ่านสปีกเกอร์โฟน เธอหายใจหอบหนักด้วยความเจ็บปวดทรมาน

 

 

ชายหนุ่มกึ่งหลับกึ่งตื่นดีดตัวลุกนั่งขึ้นจากเตียงตื่นเต็มตาเขารีบถลาลงเตียงแล้วผลักประตูห้องหลิน

 

 

จยาอวี่ด้วยความเร็วที่สุด

 

 

ไฟตรงประตูห้องสว่างขึ้นจึงพบเห็นหลินจยาอวี่มีเหงื่อผุดเต็มใบหน้านอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินตกใจคุกเข่าถามอยู่ข้างเตียง “คุณไม่สบายตรงไหน ปวดท้องเหรอ”

 

 

“ทรมานจัง ลูก…” เธอกังวลว่าลูกจะเป็นอะไรไป

 

 

“ผมจะรีบส่งคุณไปโรงพยาบาล”

 

 

นัยน์ตาลู่เสวี่ยเฉินแสดงความร้อนรนรีบอุ้มหลินจยาอวี่ขึ้นมาแล้วส่งโรงพยาบาลทันที

 

 

เมื่อถึงโรงพยาบาลหลินจยาอวี่ก็เจ็บปวดจนหน้าผากชื้นชุ่มเหงื่อแล้ว เห็นเธอเป็นเช่นนี้ลู่เสวี่ยเฉินตกใจจนแขนทั้งสองข้างที่อุ้มเธอสั่นเทิ้มจากนั้นตะโกนเสียงลั่น “หมอ คุณหมอ”

 

 

ภายใต้แสงไปอันพร่ามัวในโรงพยาบาล

 

 

ในหน้าหล่อเหลารูปงามราวกับถูกฉาบด้วยชั้นน้ำค้างแข็ง ไม่เหลือเค้าโครงความขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ในยามปกติของเขา แววตาเย็นเยือกดั่งน้ำแข็ง พยายามข่มสีหน้ากังวลเอาไว้

 

 

หมอห้องฉุกเฉินรีบออกมาให้ลู่เสวี่ยเฉินอุ้มหลินจยาอวี่วางลงบนเตียงเปลแล้วรีบเข็นเตียงเข้าห้องฉุกเฉินด้วยความรวดเร็วพร้อมทั้งถามอาการกับลู่เสวี่ยเฉินไปด้วย

 

 

เมื่อเข้นเข้าห้องฉุกเฉินและถามอาการจนชัดเจนแล้วพยาบาลจึงให้ลู่เสวี่ยเฉินออกมารอด้านนอก

 

 

ประตูห้องฉุกเฉินปิดไปต่อหน้าต่อตา ลู่เสวี่ยเฉินเผลออยากผลักเข้าไป

 

 

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจ

 

 

เขาหลับตาถอนหายใจเสียงยาวกุมมือตัวเองแน่น

 

 

เขาถึงรู้ในตอนนี้เองว่าอุ้งมือและหลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

 

โรงพยาบาลในช่วงกลางดึกโล่งไร้ผู้คน ลู่เสวี่ยเฉินเดินไปเดินมาทำอย่างไรก็ไม่สงบลงสักที

 

 

เขากระสับกระส่าย หวาดกลัว ไม่สบายใจ เป็นกังวลและประหม่า ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ถูกเก็บกดเอาไว้ข้างในในจนเขาตึงเครียดไปหมด

 

 

ไม่สามารถผ่อนคลายลงได้สักนิดเดียว

 

 

เวลาเดินไปนาทีต่อวินาทีราวกับเป็นปี ผ่านไปเพียงสิบนาทีก็ราวกับว่าผ่านไปแล้วสักสิบปีได้!

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 496 ความรักมาไม่ทันตั้งตัว

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินยกมือขึ้นนวดระหว่างหัวคิ้ว แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงอวี๋กานกานขึ้นมาได้

 

 

ทำไมก่อนหน้านี้คิดไม่ถึงอวี๋กานกานนะ เทคนิคทางการแพทย์ของเธอดีขนาดนั้น ต้องมีปัญหาและแก้ไขได้แน่ๆ

 

 

ใช่ๆๆ!

 

 

ต้องตามเรียกอวี๋กานกาน

 

 

ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนลู่เสวี่ยเฉินก็ต้องรีบหยิบมือถือโทรหาอวี๋กานกานทันที

 

 

อวี๋กานกานงัวเงียตื่นขึ้นมารับสายเหมือนกับลู่เสวี่ยเฉินก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินเรื่องที่หลินจยาอวี่มีอาการปวดท้องต้องหามส่งโรงพยาบาลเธอก็รีบลุกขึ้นจากเตียงทันที

 

 

ฟังจือหันก็ตื่นขึ้นมาเช่นกันแล้วจึงออกไปพร้อมกับอวี๋กานกานด้วย

 

 

เมื่อพวกเขาทั้งสองเดินทางมาถึงโรงพยาบาลหลินจยาอวี่ก็ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินมาที่ห้องพักฟื้นแล้ว

 

 

ถึงแม้อาการไม่เจ็บปวดขนาดนั้นแล้วแต่หลินจยาอวี่ยังคงมีสีหน้าซีดเซียวและนอนพักอย่างระโหยโรยแรง

 

 

อวี๋กานกานขยับเข้าหาข้างเตียงยกมือขึ้นมากุมมือหลินจยาอวี่เอาไว้แล้วเอ่ยถามอาการจากลู่เสวี่ยเฉิน “เป็นยังไงบ้าง หมอว่ายังไง”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินเอ่ยตอบ “ลูกปลอดภัยดี เธอปวดกระเพาะน่ะ”

 

 

“ปวดกระเพาะ?”

 

 

“กินมากไปหน่อย อาหารไม่ย่อยเลยทำให้ท้องอืดปวดท้อง”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินนำคำที่หมอบอกมาพูดซ้ำให้อวี๋กานกานฟังอีกที อวี๋กานกานจึงต่อด้วยความสงสัย “เมื่อเย็นตอนที่เรากินข้าวกันฉันก็ไม่เห็นว่าจยาอวี่กินมากสักเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงปวดท้องอาหารไม่ย่อยได้ล่ะ”

 

 

มือของเธอที่กอบกุมมือหลินจยาอวี่เอาไว้กำลังจับชีพจรจากนั้นหลับตาลงตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนในขณะเดียวกันก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “อาหารสำหรับคนท้องต้องระวังให้มากจะกินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ กินน้อยไปก็ไม่ดี กินมากไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน”

 

 

หลินจยาอวี่หลุดขำ “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วไง”

 

 

หลังจากที่อวี๋กานกานจับชีพจรให้แล้วพบว่าไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงจริงๆ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

เธอกล่าวต่อ “ช่วงนี้เธอต้องหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดที่ระคายเคืองกระเพาะและจำพวกอาหารย่อยยาก ต่อไปนี้ห้ามกินเยอะเกินเด็ดขาด ถ้าหิวจริงๆ ก็กินแต่น้อยแบ่งหลายมื้อหน่อยแล้วลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง ห้ามกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมากเด็ดขาด ต้องดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ สุดท้ายระวังเรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอควรนอนแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้า”

 

 

หลินจยาอวี่มองเธอแล้วตอบ “อ้อ” คำเดียวอย่างเชื่อฟัง

 

 

ในขณะที่หลินจยาอวี่และอวี๋กานกานพูดคุยกันอย่างละเอียดลู่เสวี่ยเฉินกับฟังจือหันเดินออกจากห้องผู้ป่วยแล้วนั่งกันที่เก้าอี้หน้าห้อง

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินที่รู้สึกตึงเครียดนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลงหลังจากที่ได้ยินอวี๋กานกานพูดว่าหลินจยาอวี่ไม่เป็นอะไรร้ายแรงมากแต่เขายังคงความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง

 

 

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวมากๆ

 

 

ความเหนื่อยล้าในครั้งนี้ไม่ใช่ที่กายแต่เป็นที่ใจ อีกทั้งยังสับสนไปด้วยความรู้สึกผิด

 

 

เขาประมาทไปจริงๆ คิดว่าเธออยากกินก็เลยทำกับข้าวเยอะหน่อยรู้ทั้งรู้ว่าอาหารอาจไม่ย่อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ

 

 

อยากให้คนที่เจ็บปวดเมื่อกี้นี้เป็นเขาและคนที่แบกรับทุกสิ่งก็เป็นเขา

 

 

นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย

 

 

หรือว่าเขาจะตกหลุมรักหลินจยาอวี่แล้วจริงๆ

 

 

ตอนนี้เขาไม่เข้าใจตัวเองรู้ทั้งรู้ว่าทำเพียงเพื่อลูกรู้ทั้งรู้แค่รู้สึกแต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเหมือนแต่งงานกันจริงๆ ทั้งยังมีลูกด้วยกันอีกแล้วทำไมไม่ทำให้กลายเป็นจริงไปเลยล่ะ อย่างไรเสียสำหรับเขาแล้วแต่งงานกับใครก็เหมือนกัน

 

 

ความรัก เรื่องแบบนี้สำหรับเขามันไม่มีอยู่จริง

 

 

คนในตระกูลลู่ค่อนข้างไร้หัวใจ เขายิ่งไม่หยุดเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวนั่นก็นับว่าเย็นชาแล้วเพราะ ผลประโยชน์ของตระกูลเป็นสิ่งสำคัญกว่า

 

 

ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของเขาเขารู้ชัดเจนดีว่าหลินจยาอวี่สามารถแต่งเข้าตระกูลลู่ได้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเธอจะเป็นแฟนเขาหรือไม่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยกับลูกในท้องของเธอ

 

 

แต่เป็นเพียงเพราะเธอคือหลินจยาอวี่ พ่อของเธอคือประธานลู่กรุ๊ปและแม่ของเธอคือรองนายกเทศมนตรีเมืองไป๋หยาง

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset