ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 111-112

ตอนที่ 111 เลื่อนขั้นความสัมพันธ์ คู่รักที่คบกันมานาน

 

 

อวี๋กานกานเกือบสำลักน้ำที่อยู่ในปาก ลู่เสวี่ยเฉินเป็นคนที่ผูกมิตรเก่งมาก เข้าหาผู้อื่นก่อนทั้งยังขี้โม้ขี้อวด ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนขี้อาย

 

 

ฟังจือหันตักโจ๊กให้อวี๋กานกาน เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องไปสนใจคนวิตถาร”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินโมโห พูดทวงความยุติธรรมให้ตนเอง “ใครวิตถาร นายนะสิวิตถาร ฉันเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ตั้งแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบันจูบแรกและซิงของฉันก็ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินมองไปที่อวี๋กานกาน สายตาเร่าร้อนแฝงไว้ด้วยความหวัง “น้องกานกาน ขอแค่คุณยินดี…” พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อ ฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งสายตาเย็นเยือกทิ่มแทง ราวกับเคียวของยมทูต ชวนให้นึกถึงประสบการณ์ก่อนหน้าที่เขาถูกฟังจือหันกลั่นแกล้ง ลู่เสวี่ยเฉินกลับคำพูดทันที “…ยินดีที่จะแนะนำผมให้กับเพื่อนสนิทของคุณ แบบนี้ครั้งแรกทั้งหมดของผมก็จะเป็นของเพื่อนสนิทคุณ”

 

 

อวี๋กานกานยิ้ม นี่ลู่เสวี่ยเฉินกำลังแซวเธอเหรอ แต่เมื่อครู่มือยังไม่ทันสัมผัสโดนกันเลย ทำเหมือนกับหนูเจอแมว

 

 

ฟังจือหันปรายตามองเธอ เอ่ยเสียงเย็น “ยิ้มอะไรของคุณ”

 

 

รอยยิ้มของอวี๋กานกานชะงักค้าง จ้องไปที่ฟังจือหัน แค่ยิ้มจะอะไรนักหนา ลู่เสวี่ยเฉินเป็นเพื่อนของเขาไม่ใช่เหรอ

 

 

ลู่เสวี่ยเฉิน “…” ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ดีถึงขนาดที่เขาคิดไว้ นึกว่าฟังจือหันจะผ่านด่านทุกด่าน มัดใจอวี๋กานกานได้แล้วซะอีก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สักด่านก็ยังไม่ผ่าน โคตรกาก!

 

 

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ อวี๋กานกานเตรียมจะไปสถานีตำรวจ ในตอนที่เธอกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ห้อง ลู่เสวี่ยเฉินเดินมาใกล้ฟังจือหัน กล่าวอย่างชั่วร้าย “น้องกานกานเนี่ยตามใจนายไม่หือไม่อือเลยเนอะ”

 

 

ความหมายของประโยคนี้คือ ‘ดูเหมือนอวี๋กานกานจะไม่ได้ชอบนายนะ’

 

 

ฟังจือหันปรายตามองลู่เสวี่ยเฉินอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะพูดช้าๆ “แปลกมากเหรอ”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินผงกศีรษะ “…” ต้องแปลกอยู่แล้ว ถึงแม้นายจะเป็นคุณชายฟังผู้เย็นชาปากแข็ง ลึกลับถ่อมตน แล้วมันยังไง ในเมื่อน้องกานกานคนเขาไม่ได้ชอบนาย

 

 

หน้าตาและศักดิ์ศรีล่ะ? ไม่เหลือแล้ว ถูกคนอื่นเขาเหยียบจมพื้นไปแล้ว

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินกำลังจะพูดเยาะเย้ย แต่ฟังจือหันกล่าวออกมาหนึ่งประโยคตัดหน้า “คู่รักที่คบกันมานานก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น”

 

 

มุมปากของลู่เสวี่ยเฉินกระตุก “…”

 

 

หน้าตาศักดิ์ศรีอะไรกัน หากใครบางคนจะรุกเต็มกำลังขึ้นมา ยางอายที่หน้าไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว

 

 

หน้าเนื้อใจเสือ เจ้าเล่ห์เพทุบายทั้งยังไร้ยางอาย

 

 

…..

 

 

หลังจากที่อวี๋กานกานออกมาจากห้องแล้ว ทั้งสามคนไปสถานีตำรวจด้วยกัน ณ ห้องโถงใหญ่ของสถานีตำรวจ ลู่เสวี่ยเฉินยืนเท้าแขนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ กำลังแซวดาวตำรวจสาวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

 

 

มีตำรวจหญิงคนหนึ่งดูเหมือนจะชอบเขา เธอเดินมาตรงหน้าลู่เสวี่ยเฉิน แต่ลู่เสวี่ยเฉินกลับก้าวถอยหลังทันที ออกห่างจากตำรวจหญิงคนนั้นประมาณสองสามเมตร

 

 

อวี๋กานกานรู้สึกว่าผู้ชายแบบนี้เลวมาก เป็นตัวอย่างของผู้ชายจำพวกดีแต่ปาก เก่งแต่หยอด ไร้ความรับผิดชอบ แต่พอสังเกตอย่างละเอียดแล้ว พบว่าลู่เสวี่ยเฉินยืนห่างจากผู้หญิงทุกคน ไม่รู้ว่าเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมในการทำงานหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าอาการเช่นนี้ของลู่เสวี่ยเฉินผิดปกติเป็นอย่างมาก

 

 

พวกเขาทิ้งลู่เสวี่ยเฉินไว้ที่ห้องโถง อวี๋กานกานและฟังจือหันเข้าไปฟังเทปบันทึกเสียง เสียงในเทปเป็นเสียงของผู้หญิง ซึ่งชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นเสียงของเหอหว่านซิน พวกเธอคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีฟังแค่แวบแรกก็รู้ได้เลย

 

 

เหอหว่านซินคงนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะบันทึกเทปไว้ เธอจึงไม่ได้ใช้เครื่องดัดแปลงเสียง ไม่ใช่ว่าอวี๋กานกานไม่เคยคิดว่าชายฉกรรจ์สี่คนนั้น อาจจะเป็นเหอหว่านซินจ้างมา แต่ในใจก็หวังว่าจะเป็นเพียงแค่เธอคิดมากไปเอง

 

 

เธอกับเหอหว่านซินเติบโตมาด้วยกัน แม้ว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ แต่เพราะการที่มีคุณปู่อยู่ ทำให้เธอมักคิดว่าอย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน อวี๋กานกานหัวเราะเยาะให้กับตัวเอง มีพี่น้องมากมายที่ฆ่ากันตายเพราะการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติ เธอกับเหอหว่านซินยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดด้วยซ้ำ ความรักความผูกพันที่สั่งสมมาตั้งแต่เล็กจนโตก็แสนจะธรรมดา

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 112 โรคจิตน้อย ฉายาที่ฟังจือหันเรียกได้เพียงคนเดียว

 

 

ในระหว่างทางกลับคอนโดมิเนียม สายตาของอวี๋กานกานมองนอกหน้าต่างตลอดทั้งทาง ไม่ปกปิดสีหน้าที่อ้างว้างและว้าเหว่

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินแอบเหลือบมองอวี๋กานกาน เขารู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง นึกว่าฟังจือหันน่าจะพูดปลอบเธอสักสองประโยค ปรากฏว่าแซ่ฟังยังคงนิ่งเหมือนอย่างเคย สีหน้าเย็นชาไร้คลื่นอารมณ์ ทีท่าว่าจะพูดอะไรสักนิดสักหน่อยก็ไม่มีให้เห็น

 

 

หลังจากที่ถึงคอนโดมิเนียมแล้ว ลู่เสวี่ยเฉินมองอวี๋กานกาน ยิ้มแป้นแล้นแล้วกล่าว “เทปบันทึกเสียงไม่สามารถเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ แต่ถ้าคุณอยากจะเคลียร์ข้อยุ่งยากข้อนี้ ผมสามารถช่วยคุณได้” แซ่ฟังไร้เมตตา แต่เขาทนทำแบบนั้นไม่ได้ ช่างเถอะ ช่วยปลอบใจสาวน้อยคนนี้แทนแซ่ฟังสักหน่อย

 

 

“ขอบคุณนะคะ แต่ว่าไม่เป็นไรค่ะ” อวี๋กานกานยิ้มบางๆ ให้เขา ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอะไรมากก็ปล่อยให้มันจบไปแบบนี้แล้วกัน แต่ว่าต่อจากนี้จะจัดการอย่างไรเธอต้องคิดให้รอบคอบก่อน หวังว่าจะเป็นบทเรียนบทหนึ่งให้กับคนบ้านลุงได้และในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถสืบหาเบาะแสได้ว่าการหายตัวไปของอาจารย์ สรุปแล้วพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินดูๆ แล้วเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง อวี๋กานกานมองลู่เสวี่ยเฉิน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกล่าว “คุณลู่ ช่วงนี้คุณนอนไม่ค่อยหลับใช่ไหมคะ อีกทั้งในปากและลิ้นเป็นแผลร้อนใน เมื่อเห็นผู้หญิงจะรู้สึกว้าวุ่นใจ แต่พอเห็นผู้ชายจะมี…”

 

 

อวี๋กานกานปรายตาไปมองฟังจือหันแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นพูดกับลู่เสวี่ยเฉิน “…อารมณ์ตื่นเต้น”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก ยังไม่ทันได้กลืนลงคอก็ต้องตกใจกับคำพูดอันน่าสยดสยองของอวี๋กานกานจนสำลักออกมา เขาหยิบกระดาษทิชชูเช็ดปาก ทำท่าทางเหมือนกับกำลังฟังเรื่องเหลวไหล พูดเสียงหลง “คุณพูดเรื่องเหลวไหลอะไรของคุณเนี่ย!”

 

 

ฟังจือหันเข้าใจแล้วว่าสายตาเมื่อครู่ของอวี๋กานกานหมายถึงอะไร เขาเอื้อมมือมาขยี้หัวของอวี๋กานกานจนผมเธอยุ่งพันกัน จากนั้นกล่าวออกมาสามพยางค์ “โรคจิตน้อย”

 

 

“โรคจิตน้อย?” ลู่เสวี่ยเฉินพูดสามคำนี้ซ้ำ

 

 

อวี๋กานกานตะโกนเสียงดังทันที “ห้ามเรียก”

 

 

ฟังจือหันเห็นเองก็ปรายตามองลู่เสวี่ยเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ “ห้ามเรียก”

 

 

มุมปากของลู่เสวี่ยเฉินกระตุก แหมไม่ต้องพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ก็ได้ โรคจิตน้อยพูดนิดพูดน้อยจะเป็นอะไรไป

 

 

อีกนิดเดียวอวี๋กานกานจะหยิบแว่นออกมาสวมเพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของเธอแล้ว เธอกล่าวอย่างจริงจัง “แม้ว่าฉันจะไม่ได้ตรวจชีพจรให้คุณ แต่ฉันก็ดูออกว่าคุณมีภาวะที่ความร้อนสุมอยู่ในหัวใจ คุณไม่ชอบแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง จากนั้นจะเกิดอาการต่อต้าน…”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินแค่นเสียงขึ้นจมูกดัง “เหอะ” กัดฟันดังกรอดพูดแทรกอวี๋กานกาน “เรื่องนี้ต้องถามผู้ชายของคุณแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะเรื่องแสนวิเศษที่เขาทำไว้กับผม”

 

 

“ผู้ชายของฉัน?” อวี๋กานกานไม่เข้าใจ

 

 

“ก็ถ้าไม่ใช่ผู้ชายของคุณ ถ้าไม่เป็นเพราะเขาผมก็คงไม่ตกต่ำอย่างทุกวันนี้” ลู่เสวี่ยเฉินถลึงตาใส่ฟังจือหันด้วยสายตาเคียดแค้น

 

 

ฟังจือหันตอบกลับเสียงเรียบ “ผู้ชายของเธอรู้สึกว่านายสมควรโดนแล้ว”

 

 

ผู้ชายของเธออะไรกัน ระหว่างเธอกับฟังจือหันขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะเสียอีก อวี๋กานกานกระแอมออกมาเบาๆ หนึ่งที กล่าว “สรุปเรื่องเป็นมาเป็นยังไงกันแน่ ช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินเม้นปากแน่น เรื่องน่าอับอายแบบนั้นเขาไม่อยากจะเล่า

 

 

อวี๋กานกานกล่าว “ฟังจากที่คุณพูดแล้ว อาการไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงเพิ่งจะเริ่มเป็นช่วงนี้ ระยะแรกคุณอาจจะยังไม่สังเกตเห็น แต่หากปล่อยเลยตามเลย อาการป่วยจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อ รู้สึกเหมือนอวี๋กานกานแค่แกล้งขู่เขา “ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

 

อวี๋กานกานพยักหน้า “ฉันเป็นหมอนะ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยฉันไม่เอามาล้อเล่นแน่นอน ถ้าคุณเล่าให้ฉันฟังได้ว่าคุณเริ่มมีอาการแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน บางทีฉันอาจจะช่วยคุณได้”

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset