ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 113 ฟังจือหัน ผู้ชายร้ายกาจ / ตอนที่ 114 โรคภัยไข้เจ็บ คุณคือยาของผม

ตอนที่ 113 ฟังจือหัน ผู้ชายร้ายกาจ

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินไม่ได้คิดไว้จริงๆ ว่ามันจะเป็นปัญหา แม้ว่าช่วงนี้จะมีอาการนอนไม่หลับเข้าขั้นร้ายแรง เกือบทุกคืนต้องกินยานอนหลับถึงจะสามารถหลับได้อย่างสนิท แต่เขาคิดว่านานไปเดี๋ยวก็คงหายเอง

 

 

ทว่าตอนนี้ดูจากสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง ไม่มีเจตนาว่าพูดล้อเล่นของอวี๋กานกานแล้ว เขากัดริมฝีปากของตนเองอย่างลำบากใจ ทว่าเขาก็ยังไม่อยากจะเล่าอยู่ดี

 

 

ฟังจือหันมีสีหน้าเย็นชาเหมือนอย่างทุกที แต่นัยน์ตากลับฉายประกายความสนุกสนาน เขาเดินเข้าไปใกล้หูของอวี๋กานกาน จากนั้นกระซิบเบาๆ สองสามประโยค

 

 

อวี๋กานกานเมื่อได้ฟังก็เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจทันที จากนั้นมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ

 

 

 สีหน้าของลู่เสวี่ยเฉินเต็มไปด้วยความอาฆาต กัดฟันกรอด “แซ่ฟังนายยังมีหน้ามากระซิบกระซาบได้อยู่อีกนะ ถ้าวันนั้นไม่ได้เป็นเพราะนายสั่งให้ผู้ช่วยนายจงใจมอมเหล้าฉัน ฉันก็คงไม่ดื่มจนเมาหัวราน้ำ ไม่ถูกผู้หญิงสวมหน้ากากขืนใจ ตอนนั้นเห็นว่ารูปร่างของเจ้าหล่อนก็ดูดี ดวงตาก็งดงาม นึกว่าถอดหน้ากากแล้วจะยิ่งสวยขึ้นไปอีก ผลปรากฏว่าอัปลักษณ์ซะจนคาดไม่ถึง…”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร เขาไม่อยากจะเล่าต่อแล้ว ทำเพียงแค่มองฟังจือหันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ราวกับว่าฟังจือหันติดหนี้เขาอยู่เป็นแสนล้าน

 

 

อวี๋กานกานเม้มปาก อยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า แท้จริงแล้วเมื่อครู่ฟังจือหันพูดเพียงสั้นๆ ว่า “เบิกตาโตๆ แล้วมองหมอนั้นแบบประหลาดใจ” เธอทำตาม ผลปรากฏว่าลู่เสวี่ยเฉินหลุดพูดความในใจออกมาจนได้ ไม่พูดไม่ได้ว่าฟังจือหันเป็นคนร้ายกาจจริงๆ

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินยอมพูดออกมาได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อวี๋กานกานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมง “อาการของคุณตอนนี้เป็นอาการป่วยทางจิตเวช แต่อย่าคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ทางที่ดีที่สุดคือให้รีบแก้ไข หากเป็นไปได้ก็ให้ไปพบจิตแพทย์สักท่าน หรือคุณจะปรึกษากับฉันก็ได้ ฉันพอจะช่วยคุณได้ในระดับเบื้องต้น”

 

 

“คุณไม่ใช่แพทย์แผนจีนหรอกเหรอ” เขาไม่อยากจะไปพบจิตแพทย์เพราะเรื่องน่าอายแบบนี้ เรื่องน่าอายแบบนี้เขาไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น

 

 

“ตอนเรียนมหาลัยทางคณะเคยแนะนำให้ฉันค้นคว้าวิจัยทางด้านจิตวิทยา อาการทางจิตเวชของคุณยังอยู่ในระยะแรก ฉันน่าจะพอช่วยได้” อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินมองท่าทางที่ค่อนข้างมั่นใจของเธอ “งั้นคุณก็ลองพูดมาว่าจะช่วยผมได้ยังไง”

 

 

อวี๋กานกานเริ่มทำการวิเคราะห์ “คืนนั้นผู้หญิงคนนั้นมอบความรู้สึกอันน่าหวาดกลัวอย่างรุนแรงให้กับคุณ ถึงขนาดที่ว่าตอนนี้ไม่ว่าคุณจะเห็นผู้หญิงคนไหนก็จะพลันนึกถึงเธอคนนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ หวาดกลัวและสยดสยองราวกับเห็นมหันตภัยร้ายแรง”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินไม่อยากยอมรับ แต่อวี๋กานกานพูดถูกหมดทุกอย่างจริงๆ

 

 

อวี๋กานกานกล่าวต่อ “หากคุณยังไม่ให้ความสนใจ ปล่อยปละละเลยต่อไป นานวันเข้าอาการนี้ก็จะค่อยๆ พัฒนามาเป็นโรคกลัวผู้หญิง”

 

 

“โรคกลัวผู้หญิง?” ลู่เสวี่ยเฉินอยากจะพูดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่นึกขึ้นได้ว่าตนเองช่วงนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยากลองหาสาวๆ มาขจัดความทุกข์ทรมานนี้ แต่เขาทำไม่ได้จริงๆ แค่ต้องสัมผัสโดนตัวพวกเธอ เขาก็จะพลันนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทันที หากปล่อยไปนานๆ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างที่อวี๋กานกานพูด

 

 

“จากอาการของคุณฉันวิเคราะห์ได้ว่า มีเป็นไปได้สูงที่ผู้หญิงคนนั้นให้ความรู้สึกทั้งน่าดึงดูดและน่าผลักออกในคราเดียวกันก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งในจิตใจ จนทำให้คุณมีอาการทางจิตเวชอย่างที่เห็น”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงง “คุณหมายความว่าอะไร”

 

 

อวี๋กานกานพูดอธิบายอีกรอบ “ความหมายของฉันคือภายใต้สถานการณ์แบบนี้โดยปกติแล้วจิตของคุณจะเกิดการต่อต้าน ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าเธอหน้าตาอัปลักษณ์ให้ความรู้สึกที่ไม่น่ามองกับคุณ มีความเป็นไปได้สูงที่เธอคนนั้นยังทำให้คุณเกิดอารมณ์ทางเพศได้อีกด้วย”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 114 โรคภัยไข้เจ็บ คุณคือยาของผม

 

 

ลู่เสวี่ยเฉิน “…”

 

 

อวี๋กานกานเห็นว่าลู่เสวี่ยเฉินยังไม่เข้าใจ จึงตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ “พูดแบบตรงไปตรงมาก็คือคุณชอบความรู้สึกในตอนที่คุณมีอะไรกับเธอ แต่คุณก็ยอมรับหน้าตาของเธอไม่ได้เช่นกัน จึงก่อให้เกิดอาการทางจิต ที่จริงแล้วอาการแบบนี้ไม่ถือว่าร้ายแรง เมื่อรู้สาเหตุแล้วก็ให้จ่ายยาตามอาการป่วย ไม่นานก็หายดีแล้วละค่ะ”

 

 

อะไรนะ เขาถูกผู้หญิงอัปลักษณ์นั้นดึงดูด? ลู่เสวี่ยเฉินขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มองอวี๋กานกานเหมือนกับเห็นสัตว์ประหลาด

 

 

ฟังจือหันเองก็มีสีหน้าซับซ้อน จ้องเขม็งไปที่อวี๋กานกาน

 

 

อวี๋กานกานยังคงจมดิ่งอยู่ในการคิดวิเคราะห์ของตนเอง เมื่ออธิบายจบแล้วเธอยังกล่าวต่ออีก “อาการของคุณตอนนี้ ถ้าเป็นจิตแพทย์พวกเขาจะแนะนำให้คุณเข้าสังคมให้มากๆ แต่ฉันขอแนะนำว่าคุณควรดับไฟ[1]ที่สุมอยู่ในตัวก่อน ทำจิตใจให้มีความสุขผ่อนคลาย พยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้น…”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินพูดแทรกขึ้นมา “ดับไฟ?”

 

 

ผู้หญิงพูดกับผู้ชายว่าดับไฟ โดยทั่วไปแล้วหมายถึงเธอจะช่วยคุณระบายไฟแห่งความใคร่ ลู่เสวี่ยเฉินเกือบหลุดขำก๊ากออกมา

 

 

ฟังจือหันหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยหางตา นัยน์ตาเย็นเยียบแฝงไว้ด้วยคำเตือนที่อย่าได้ริอ่านมองข้ามเป็นอันขาด

 

 

บรรยากาศภายในห้องราวกับเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในพริบตา อุณหภูมิรอบๆ ลดต่ำลงสิบกว่าองศา

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินลุกขึ้นยืน จัดเสื้อเชิ้ตของตนเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย “เอ เหมือนว่าจะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วนะ น้องกานกานวันนี้ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ข้าวเที่ยงผมเลี้ยงเอง ขอตัวลงไปสตาร์ทรถรอนะครับ…”

 

 

อวี๋กานกานมองแผ่นหลังของลู่เสวี่ยเฉินที่กำลังเดินออกไปด้วยสีหน้าสับสนงุนงง เธอหันหน้ามามองฟังจือหัน “ฉันตรวจอาการให้เข้าอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงพูดเรื่องกินข้าวเที่ยงขึ้นมา”

 

 

ฟังจือหันสีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไร “…”

 

 

อวี๋กานกานกลอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ขมวดคิ้วแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกปิ้งขึ้นมาได้ “ลู่เสวี่ยเฉิน เมื่อครู่นี้ฉันพูดตรงเกินไป หรือว่าเขาจะอาย?”

 

 

“คุณเห็นว่าเขาเหมือนคนขี้อายไหมล่ะ?” ฟังจือหันกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้นยืน

 

 

อวี๋กานกานยิ้มตาหยี ส่ายศีรษะ “ไม่เหมือน”

 

 

ในเมื่อไม่เหมือนคนขี้อายแล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงได้ลนลานพูดเรื่องกินข้าวขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพิ่งกลับถึงห้องได้ไม่นานจะออกไปข้างนอกกันอีกแล้วงั้นเหรอ แต่ว่าก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ฝีมือการเข้าครัวของเธอไม่สามารถทำอาหารให้กับสองคนนี้ได้ พลันชวนให้นึกถึงอาจารย์ขึ้นมา นานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารฝีมืออาจารย์

 

 

“ให้ฉันเลี้ยงพวกนายเถอะ แทนคำขอบคุณที่พวกนายช่วยฉันแถมวันนี้ยังพาฉันไปสถานีตำรวจอีก”

 

 

อวี๋กานกานเดินตามไป ยังพูดไม่ทันจบดี จู่ๆ ฟังจือหันก็หมุนตัวกลับมาขวางเธอไว้ที่หน้าประตู “ปกติคุณก็ตรวจให้คนไข้คนอื่นแบบนี้เหรอ”

 

 

อะไรคือตรวจแบบนี้ อวี๋กานกานไม่เข้าใจ “ฉันสังเกตเขามาตลอดทั้งช่วงกลางวัน พบว่าเขามีอาการผิดปกติจริงๆ เขาเป็นเพื่อนของนายไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเขาก็หน้าตาดี ฉันก็เลยลองช่วยๆ เขาดู”

 

 

ฟังจือหันเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมคุณไม่ตรวจให้ผมบ้าง”

 

 

“นายไม่สบายเหรอ” ครั้งก่อนเธอเคยตรวจชีพจรฟังจือหันแล้ว แข็งแรงเสียยิ่งกว่าอะไร

 

 

“ผมมีอาการไฟตับพลุกพล่าน[2] ความปรารถนาไม่ได้รับการเติมเต็ม คุณว่าคุณควรช่วยผมดับไฟสักหน่อยดีไหม” ฟังจือหันโน้มตัวลงมา ลมหายใจร้อนผ่าวรดลงบนแก้มของเธออย่างอุกอาจ

 

 

อวี๋กานกานงุนงง ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีจนแดงเหมือนเลือด เกือบจะยืนไม่อยู่ ทั้งเขินอายและโมโห ฟังจือหัน…เขากำลังหยอกเย้าเธอ!

 

 

ปัญหาก็คือสีหน้าของหมอนั้นดันจริงจังสุดๆ ก่อนหน้านี้หลายครั้งเป็นเพราะเธอคิดลึกไปเอง ถูกฟังจือหันตอกกลับจนหน้าแตกทุกครั้ง

 

 

แล้วครั้งนี้ล่ะ? เป็นเพราะเธอคิดลึกไปเองเหมือนครั้งก่อนๆ หรือเปล่า  

 

 

 

 

——

 

 

[1] ดับไฟ มีสองความหมาย ความหมายแรกคือ ให้ใจเย็น ทำจิตใจให้สงบ ปลอดโปร่งโล่งสบาย ความหมายที่สองคือ ระบายความใคร่

 

 

[2] ไฟตับพลุกพล่าน มีความร้อนอยู่ในตับมาก มีอาการหน้าแดง ตาแดงและแห้ง กระสับกระส่าย โกรธง่าย

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset