ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 141 ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ต / ตอนที่ 142 เลือกซ้ายหรือขวา

ตอนที่ 141 ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ต

 

 

ครอบครัวผู้ตายกลับไปแล้ว นักข่าวเองก็เช่นกัน แต่ทว่าเรื่องกลับยังไม่จบ อวี๋กานกานและอวี้หมิงถางถูกกระแสคลื่นสาดซัดเข้าไปอยู่ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม

 

 

ชาวเน็ตส่วนใหญ่ล้วนด่าทอโจมตีอวี๋กานกานด้วยถ้อยคำหยาบโลน มีแค่ไม่กี่คนที่สงสัยว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ ตั้งข้อสงสัยว่าอวี๋กานกานถูกคนวางแผนใส่ร้าย แต่ความคิดเห็นเหล่านั้นกลับถูกคลื่นน้ำลายกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เรื่องราวใหญ่โตสั่นสะเทือนไปทั้งคนในวงการและคนนอกวงการ อวี๋กานกานได้รับสายจากเพื่อนพ้อง อาจารย์ รุ่นพี่และรุ่นน้องมากมาย พวกเขาถามเธอว่าต้องการความช่วยเหลือไหม บอกขั้นตอนการยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งยังแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้กับเธอ อวี๋กานกานรู้สึกขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ก่อความวุ่นวายธรรมดาทั่วไป แค่ยื่นเรื่องต่อศาลไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งหมดได้แน่ ฝ่ายตรงข้ามจงใจทำเรื่องให้ใหญ่โต กระพือข่าวไปทั่วทุกหัวระแหง เพราะฉะนั้นในชั้นศาล พวกเขาต้องแอบเล่นสกปรกแน่ ถึงตอนนั้นพวกเขาคงยัดเยียดทุกอย่างมาไว้เธอและอวี้หมิงถาง ต่อให้เธอมีปากอีกร้อยปากก็คงอธิบายได้ไม่หมด

 

 

เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นคลินิกไม่มีทางสามารถเปิดบริการต่อไปได้ ลุงหวังกลับไปแล้ว อวี๋กานกานยังอยู่ในคลินิก ลุงใหญ่และเหอหว่านซินก็พากันมาที่คลินิก บ้านของลุงใหญ่อยู่ห่างจากคลินิกไม่ไกล เขาได้ยินเพื่อนบ้านพูดกัน อีกทั้งเห็นข่าวในอินเทอร์เน็ต จึงรีบรุดหน้ามาด้วยความร้อนรน เขาถามอวี๋กานกานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นความจริงไหมที่เธอรักษาคนไข้ผิดพลาดจนถึงแก่ชีวิต

 

 

อวี๋กานกานไม่ได้ตอบลุงใหญ่ ข่าวในโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ตต่างก็มีรูปของผู้ตาย เธอไม่เชื่อว่าเหอหว่านซินจะไม่เห็น ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นต้นต่อที่ทำให้เกิดหายนะนี่ขึ้น

 

 

เหอหว่านซินไม่ได้สนใจดูรูปของผู้ตายจริงๆ เธอแค่นเสียงเย็นดังเหอะใส่อวี๋กานกาน “แกคิดจริงๆ สินะว่าตัวเองเป็นหมอเทวดา หมอเทวดาก็มีโรคที่ไม่สามารถรักษาได้เหมือนกัน ฉันบอกไปตั้งนานแล้วว่าให้ขายคลินิกไปซะ ถ้าขายไปตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ไม่ต้องมาเปิดเว่ยปั๋ว[1]แล้วเจอว่าอวี้หมิงถางติดคำค้นหายอดฮิต แกชอบพูดว่าฉันทำลายชื่อเสียงของอวี้หมิงถาง ดูสิตอนนี้ใครกันแน่ที่…”

 

 

ร่างกายของเหอหว่านซินแข็งค้างไปทั้งตัว พูดประโยคต่อไปไม่ออก อวี๋กานกานยื่นโทรศัพท์มือถือไปตรงหน้าของเหอหว่านซินให้เธอมองให้เต็มสองตาถึงรูปร่างหน้าตาของคนในครอบครัวนั้น เหอหว่านซินตกใจจนดวงตาถลนออกจากเบ้า ทั้งยังสั่นเพราะรู้สึกกลัวในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

 

 

ลุงใหญ่เห็นท่าทางของเหอหว่านซิน ปะติดปะต่อกับก่อนหน้านี้ที่เหอหว่านซินเคยมาเป็นแพทย์ประจำที่คลินิกอยู่หลายวัน ลุงใหญ่ถามอย่างร้อนรน “ยาพวกนี้ลูกเป็นคนจ่ายเหรอ”

 

 

เหอหว่านซินมองหน้าลุงใหญ่ อธิบายอย่างลนลาน “ยาของคนไข้คนนี้หนูเป็นคนจ่าย เรื่องมอร์ฟินครั้งก่อนไงพ่อ แต่หนูผสมมอร์ฟินลงไปแค่นิดเดียวเองนะคะ ไม่น่าจะถึงขั้นฆ่าคนตายได้”

 

 

ลุงใหญ่ดวงตาเบิกโพลง ถ้อยคำกระจุกอยู่ที่อกพูดออกมาไม่ได้ เขาโกรธจนหน้าเขียว ควันแทบจะทะลุออกมาจากศีรษะ ที่เขารีบมาเดิมทีเป็นเพราะนึกว่าตัวเองจะสามารถใช้โอกาสนี้แย่งชิงสิทธิครอบครองคลินิกมาจากอวี๋กานกานได้ ผลปรากฏว่าใบสั่งยากลับเป็นลูกสาวไร้ประโยชน์ของเขาเองที่เป็นคนเขียน

 

 

ดวงตาของอวี๋กานกานฉายประกายแสงเย็นยะเยือก “ยาที่ห้ามกินคู่กันหากมีฤทธิ์ที่ตีกันอย่างรุนแรงสามารถทำให้ผู้กินถึงแก่ชีวิตได้ เธอไม่รู้เรื่องนี้หรอกเหรอ”

 

 

เหอหว่านซินสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว นึกว่าตัวเองจ่ายยาจนทำให้คนตาย เธอเกาะแขนของลุงใหญ่ พูดอย่างลนลาน “พ่อ หนูไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะร้ายแรงถึงขนาดนั้น หนูไม่ได้ต้องการจะฆ่าเขา พ่อ พ่อต้องช่วยหนูนะคะ พ่อต้องช่วยหนูนะคะ”

 

 

ในขณะนั้นเองประตูคลินิกก็ถูกเปิดออก เป็นผู้ช่วยโหย่วที่เมื่อวานมาพร้อมกับหลินจยาอวี่ เขาหนีบกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมทั้งมองสำรวจคลินิกหนึ่งรอบ ก่อนจะเดินมาหาอวี๋กานกานด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม กล่าว “คุณอวี๋ พวกเราเจอกันเมื่อวานแล้วนะ คุณยังจำผมได้ใช่ไหมครับ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เว่ยปั๋ว แอปพลิเคชันของจีนเทียบได้กับ Facebook หรือ Twitter 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 142 เลือกซ้ายหรือขวา

 

 

อวี๋กานกานยกยิ้ม แต่เป็นยิ้มกลวงๆ ที่ไร้เจตนายิ้ม เอ่ยเสียงเย็น “เหมือนว่าเมื่อวานฉันจะพูดกับผู้ช่วยโหย่วชัดเจนแล้วนะคะว่าคลินิกนี้ฉันไม่ขาย”

 

 

ผู้ช่วยโหย่วฉีกยิ้มกว้าง กล่าว “คุณอวี๋ คุณอย่าเพิ่งปิดตายทางหนีรอดของตัวเองปุบปับแบบนี้สิครับ เรื่องบางเรื่องควรจะคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนเสียก่อน…”

 

 

ผู้ช่วยโหย่วยังพูดไม่ทันจบ อวี๋กานกานก็พูดแทรกขึ้นมาทันควัน “ไม่ละค่ะ ไม่เห็นจำเป็นตรงไหน”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ช่วยโหย่วหายวับไปในทันตา ไม่สามารถทนฝืนฉีกยิ้มต่อไปได้อีก “คุณอวี๋ ตอนนี้คลินิกของคุณประสบปัญหาอะไรอยู่คุณรู้ดี ผมขอเตือนคุณหน่อยก็แล้วกันนะครับ คนเราต้องรู้จักหัดดูสถานการณ์ อย่าริอ่านต่อต้านเงินทอง อย่างไรเสียชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์เราก็อยู่เพื่อดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากมีชีวิตที่ดีสิ่งจำเป็นคือเงินทอง ตอนนี้คลินิกของคุณเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น หากคุณขายคลินิกให้คุณหนูเฉียวซะ คุณหนูเฉียวจะช่วยคุณจัดการปัญหานี้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณและคลินิก ต่อให้หลังจากนี้คุณจะไม่มีคลินิกนี้แล้ว แต่ก็ยังสามารถเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงในสังคมได้อยู่”

 

 

อวี๋กานกานหัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ ความหมายของเขาคือเธอที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งหากต้องรับมือกับครอบครัวนายทุนอย่างตระกูลเฉียว เธอไม่มีทางที่จะต่อต้านหรือโจมตีกลับได้ ตอนนี้มีเพียงแค่สองทางเลือกที่วางอยู่ตรงหน้า หนึ่งคือยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ยินยอมขายคลินิกให้ตระกูลเฉียว จากนั้นตระกูลเฉียวจะช่วยเหลือเธอแก้ไขปัญหานี้โดยที่จะไม่ทำให้ชื่อเสียงของเธอและคลินิกต้องเสื่อมเสีย ต่อให้ไม่เหลือคลินิกแล้ว เธอก็ยังสามารถหางานที่อื่นทำได้อยู่ สองคือต่อต้าน ผลลัพธ์สุดท้ายที่จะได้รับคือชื่อเสียงของเธอและคลินิกจะพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี

 

 

ใบหน้าของอวี๋กานกานประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่สว่างสดใสงดงาม แต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง “นั้นเป็นเรื่องของฉันค่ะ ไม่ขอรบกวนให้คุณหนูเฉียวต้องมาลำบากใจแทน ขอแค่คุณและคุณหนูเฉียวรู้ไว้ว่าคลินิกนี้ฉันไม่ขายก็พอแล้วค่ะ”

 

 

ผู้ช่วยโหย่วมองแววตาของอวี๋กานกาน เหมือนกับเห็นมนุษย์ประหลาดที่ไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ คำถามให้เลือกแบบนี้คนฉลาดย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรจะเลือกข้อไหน เขาแค่นหัวเราะ “คุณอวี๋ ตอนที่โอกาสวางไว้อยู่ตรงหน้าก็ควรจะเห็นค่าของมันนะครับ ไม่เช่นนั้นหากรอจนถึงตอนที่คุณนึกเสียดายภายหลัง เมื่อผ่านมาในชุมชนนี้คุณอาจจะไม่เห็นคลินิกนี้อีกแล้วก็เป็นได้”

 

 

อวี๋กานกานไม่สนใจแม้แต่น้อย ผายมือ “กลับดีๆ นะคะ ขออนุญาตไม่ส่ง!”

 

 

เหอหว่านซินฟังมาถึงตอนนี้ก็พอจะเข้าใจความหมายอยู่บ้าง เธอส่งเสียงหวังจะเรียกผู้ช่วยโหย่ว “เดี๋ยว…” แต่กลับถูกสายตาเย็นชาและเสียงตวาดดังลั่นของอวี๋กานกานหยุดไว้ “เธอน่ะหุบปากซะ!”

 

 

เหอหว่านซินจ้องอวี๋กานกานเขม็งด้วยความโกรธเคือง ผู้ช่วยโหย่วที่ถูกเชิญให้กลับสบถออกมาหนึ่งประโยค “ยัยคนไม่รู้จักรับโอกาสที่ผู้อื่นยื่นให้!” จากนั้นเขาก็หนีบกระเป๋าเอกสารเดินปึงปังออกไป

 

 

เมื่อผู้ช่วยโหย่วออกไปแล้ว เหอหว่านซินถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ เธอลุกขึ้นยืนถามอวี๋กานกานอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาเป็นใคร คุณหนูเฉียวนั้นก็ด้วย พวกเขาต้องการซื้อคลินิกทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ทำไมแกไม่ตอบตกลง”

 

 

อวี๋กานกานขึงตาใส่เหอหว่านซิน “เธอมองไม่ออกเหรอ พวกเขาใช้ประโยชน์จากยาที่เธอจ่าย จงใจสร้างเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น”

 

 

เหอหว่านซินกลัวหนักขึ้นไปอีก ใบสั่งยาเธอเป็นคนเขียน พูดอย่างลนลาน “งั้นก็ขายให้พวกเขาซะสิเรื่องจะได้จบๆ”

 

 

อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเย็นอย่างเอือมระอา “ที่ฉันเพิ่งพูดไปเธอไม่ได้ยินหรือยังไง คลินิกนี้ไม่ขาย!”

 

 

เหอหว่านซินพูดอย่างโมโหเดือดดาล “นี่มันใช่เวลาที่แกจะใช้อารมณ์มาตัดสินใจไหม ถ้าแกยังไม่ยอมขายชื่อเสียงของแกฉาวโฉ่แน่ ทั้งยังจะเหม็นโฉ่ไปถึงคุณปู่และอวี้หมิงถางด้วย แกลองเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ตสิ พวกเขาด่าทั้งแกทั้งคลินิกไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้”

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset