ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 147 เดิมพันใครแพ้ใครชนะ / ตอนที่ 148 อวี๋กานกานผู้เอาใจใส่

ตอนที่ 147 เดิมพันใครแพ้ใครชนะ

 

 

หยาดฝนเม็ดละเอียดโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า อวี๋กานกานให้ลู่เสวี่ยเฉินและฟังจือหันรอเธออยู่บนรถ จากนั้นลงรถไปเองคนเดียว

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินขำจนท้องแทบแตก ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ความหมายของการมาตรวจสอบของอวี๋กานกานที่แท้ก็คือมาถามเพื่อนบ้าน ฟังจือหันตอบตกลงช่วยเธอแล้ว เธอยังจำเป็นต้องมาเป็นกังวลสืบสวนอะไรทำไมอีก กลับบ้านไปนอนอย่างสบายใจได้แล้ว

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินมองฟังจือหันแล้วถาม “นายปล่อยให้เธอลงไปแบบนี้น่ะนะ?”

 

 

ฟังจือหันยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเฉื่อยชาเหมือนอย่างเคย พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินเบ้ปาก แค่นหัวเราะ “เธอกับนายเนี่ยตลกดีจริงๆ นายก็ยอมเล่นไปกับเธอด้วยเนอะ”

 

 

“ถ้าอิจฉา นายก็ไปหาสาวที่เจอที่ผับ…”

 

 

ไม่ต้องรอให้ฟังจือหันพูดจนจบประโยค ลู่เสวี่ยเฉินพูดขัดขึ้นมาทันที น้ำเสียงระทมทุกข์และเคียดแค้น “นี่น่ะเหรอเรื่องที่เราจะพูด! ทุกวิทุกนาทีของนายเป็นเงินเป็นทองแต่กลับปล่อยให้เธอลงไปแบบนี้ นายก็รู้ดีว่าเธอสืบหาอะไรไม่เจอหรอก”

 

 

ฟังจือหันไม่เห็นด้วย “ก็ไม่แน่ซะทีเดียว”

 

 

“พนันกันไหมล่ะ” นัยน์ตาของลู่เสวี่ยเฉินฉายแววความรู้สึกสนุกสนานซึ่งแฝงไว้ด้วยแผนการเอาคืน

 

 

“จะพนันอะไรล่ะ” ฟังจือหันรับคำท้าด้วยความยินดี

 

 

“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องรับปากทำตามคำขอฉันเรื่องหนึ่ง” คำขอนี้เขาจะขออะไรธรรมดาๆ ไม่ได้ ต้องคิดให้ดี

 

 

ฟังจือหันกล่าว “คำขอของฉันง่ายมาก ถ้านายแพ้ หลังจากนี้งานด้านประชาสัมพันธ์ของอวี้หมิงถางทั้งหมดเป็นหน้าที่ของนาย”

 

 

“ได้!” ลู่เสวี่ยเฉินตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด เพราะเขามั่นใจมากว่าตนเองไม่มีทางแพ้

 

 

 

 

อวี๋กานกานเดินวนรอบๆ สวนย่อมไปแล้วหนึ่งรอบ ผลปรากฏว่าไม่เจอใครแม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะฝนตก ไม่เช่นนั้นบรรดาลุงป้าน้าอาต้องมารวมตัวกันเต้นแอโรบิก รำไทเก๊ก ไม่ก็เล่นไผ่ คุยเล่นกันที่สวมย่อม

 

 

ช่างเถอะ รอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับมา…

 

 

ในตอนที่เธอกำลังจะเดินกลับไปหาฟังจือหันและลู่เสวี่ยเฉิน ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกด้วยความประหลาดใจดังเข้าโสตประสาทของเธอ “ปลาน้อย[1]ไม่ใช่เหรอ”

 

 

อวี๋กานกานหันไปตามเสียง ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกล มีคุณป้ารูปร่างอวบคนหนึ่ง อายุประมาณห้าสิบกว่าปีแต่แต่งตัวทันสมัย ในมือถือร่มลายดอกไม้สีน้ำเงิน เมื่อเห็นว่าเป็นอวี๋กานกานเธอก็ยิ้มจนตาหยี กล้ามเนื้อบนใบหน้ารวมกันเป็นก้อนเดียว “หนูมาแถวนี้ได้ไงเนี่ย”

 

 

“แม่เฉิน ทำไมป้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละคะ” อวี๋กานกานยิ้มและเดินเข้าไปทักทาย แม่เฉินไม่ใช่เป็นคนถนนหนานเจิ้น แต่ว่าลูกชายของแม่เฉินเปิดร้านขายเสื้ออยู่ที่ถนนนานเจิ้นอยู่หลายปี นานๆ ทีแม่เฉินจะมาช่วยขาย มีอยู่ปีหนึ่งเธอล้มได้รับบาดเจ็บที่ขา รักษาตัวอยู่ที่คลินิกของอวี๋กานกาน ไปๆ มาๆ จึงสนิทสนมกัน

 

 

“บ้านป้าอยู่ที่นี่ล่ะจ้ะ หนูมาทำอะไรที่นี่เหรอ ดูสีหน้าไม่ค่อยดี ไม่สบายหรือเปล่า” แม่เฉินถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

“หนูไม่ได้ป่วยค่ะ มาจัดการธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ” อวี๋กานกานเกาศีรษะกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเอ่ยปากพูดออกไป “ในอินเทอร์เน็ตคุณป้าไม่เห็นเหรอคะ”

 

 

แม่เฉินถอนหายใจแล้วหัวเราะ “ไอหยา แม่บ้านแก่ๆ อย่างป้าเล่นอินเทอร์เน็ตที่ไหนล่ะ มาๆ ไปนั่งที่บ้านป้าก่อน”

 

 

“ไม่รบกวนไปถึงที่บ้านดีกว่าค่ะ แต่ว่าหนูมีเรื่องจะถามคุณป้าหน่อย”

 

 

“เรื่องอะไรเหรอ พูดมาได้เลย”

 

 

อวี๋กานกานต้องการสอบถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก่อนถามเธอจึงเล่าเรื่องราววุ่นวายที่คลินิกทั้งหมดให้แม่เฉินฟัง เพื่อแสดงถึงเจตนาที่ต้องการจะตรวจสอบถึงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้

 

 

แม่เฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ใบสั่งยานั้นหนูไม่ได้เป็นคนเขียนนี่ พวกเขาทำแบบนี้เกินไปแล้วจริงๆ ครอบครัวนี้ป้าไม่รู้จักหรอก แต่ป้าว่าต้องมีคนรู้จักบ้างแหละ มาๆ ตามป้ามา…”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ‘อวี๋’ นามสกุลของอวี๋กานกานพ้องเสียงกับคำว่า ‘ปลา’ ในภาษาจีน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 148 อวี๋กานกานผู้เอาใจใส่

 

 

แม่เฉินจูงอวี๋กานกานเดินเข้าไปในบ่อนไพ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ภายในบ่อนมีกลุ่มคุณป้ากำลังรวมกลุ่มกันเล่นไพ่การ์ดและไพ่นกกระจอก คุณน้าสวมเสื้อโค้ตสีเทาคนหนึ่งเมื่อเห็นแม่เฉินเดินเข้ามา เธอก็โบกมือทักทายทันที “เหล่าเฉินมาแล้วเหรอ งั้นเธอมาเล่นฉันนี่ ฉันจะกลับละ”

 

 

“เหล่าหลิว ปกติเธอเล่นจนถึงมื้อเย็นไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้รีบกลับจังล่ะ” แม่เฉินถามด้วยความสงสัย

 

 

“ก็ฝนตกน่ะสิ โรคปวดข้อขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว” ป้าหลิวพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินออกมาเพื่อให้แม่เฉินเล่นแทน

 

 

แม่เฉินเดินจูงมืออวี๋กานกาน “อย่าเพิ่งรีบไปสิ ฉันเจอหลานสาวที่ด้านนอกพอดี ให้เขาลองตรวจเธอดูหน่อย วิชาแพทย์ของเขาเก่งมากนะ ปีนั้นที่ฉันล้มได้รับบาดเจ็บที่ขา ก็ได้เขาเนี่ยแหละรักษาจนหาย เรียกได้ว่าหายดีเป็นปลิดทิ้ง ไม่หลงเหลือภาวะแทรกซ้อนใดๆ”

 

 

ป้าหลิวปรายตามามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง พูดอย่างเย็นชา “ช่างเถอะ ฉันกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า” เด็กสาวที่อายุน้อยขนาดนี้ จะมีปัญญารักษาโรคเรื้อรังให้หายได้อย่างไร พอก้าวเท้าเดินปุ๊บเธอก็ถูกแม่เฉินคว้าไว้อีกครั้ง “วิชาแพทย์ของปลาน้อยเก่งกาจมากจริงๆ เธอให้เขาลองตรวจชีพจรดูสักหน่อยเถอะ”

 

 

ความปรารถนาดีมักยากจะปฏิเสธได้ลง ตรวจก็ตรวจ ป้าหลิวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ “รบกวนเธอแล้วนะ สาวน้อย”

 

 

แม่เฉินแนะนำพวกเขาทั้งสองให้รู้จักกัน “เธอแซ่อวี๋ แต่ทุกคนติดปากเรียกว่าปลาน้อย ปลาน้อยนี่ป้าหลิว ป้าสวี ป้าหวง ป้าจงแล้วก็ป้าจางจ้ะ…” หลังจากที่ทักทายตามมารยาทแล้ว ป้าๆ คนอื่นก็หันกลับไปเล่นไพ่ต่อ

 

 

อวี๋กานกานนั่งอยู่ตรงหน้าโดยที่หันข้างให้กับป้าหลิว ยื่นนิ้วทั้งสามออกไปจรดลงบนข้อมือของป้าหลิวเพื่อตรวจชีพจร หลังจากผ่านไปแล้วสองนาที อวี๋กานกานดึงมือกลับ จากนั้นโน้มตัวไปที่ใบหูของป้า หลิวกระซิบเสียงเบา “ป้าหลิวคะ ขาของป้าไม่ได้เป็นอะไรแต่เป็นก้นที่เจ็บมากต่างหากใช่ไหมคะ!”

 

 

ป้าหลิวมองอวี๋กานกานด้วยสีหน้าประหลาดใจ สาวน้อยคนนี้อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถทางด้านนี้จริงๆ เป็นความจริงที่อาการเจ็บปวดของเธอไม่ได้อยู่ที่ขา เธอแค่อายที่จะบอกกับผู้อื่นว่าเธอเจ็บก้น อีกอย่างถ้าพูดออกมาก็ดูไม่น่าฟังด้วย เธอจึงเลือกที่จะบอกว่าปวดขาแทน ตลอดมานอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่คนเดียว นึกไม่ถึงว่าเด็กสาวคนนี้จะรู้ได้จากการตรวจชีพจร

 

 

วิชาแพทย์ไม่เลว อุปนิสัยดีเยี่ยม รู้ว่าเธอไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจึงโน้มตัวมากระซิบข้างหู ทั้งเอาใจใส่และคำนึงถึงภาพลักษณ์ของเธอ

 

 

อวี๋กานกานหันกลับมานั่งตัวตรง ใช้น้ำเสียงปกติกล่าว “ป้าหลิวคะ นี่เป็นอาการบาดเจ็บจากที่ป้าเคยล้มเมื่อหลายปีก่อนซึ่งไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผนวกกับได้รับไอเย็นทำให้เกิดเป็นอาการปวดเรื้อรัง อาการนี้อย่างต่ำเป็นมากว่าสิบปีแล้ว”

 

 

น้าหลิวพยักหน้า “ใช่ สิบกว่าปีแล้ว เมื่อใดที่ฝนตกก็จะมีอาการเจ็บปวดขึ้นมาทันที” มีหลายครั้งที่ปวดถึงกับขนาดทนไม่ไหว จะยืนก็ไม่ได้จะนั่งก็ไม่ได้ทำได้เพียงฟุบหมอบลงบนเตียงนอน

 

 

“ตอนนี้ฝนตกถึงจะมีอาการเจ็บปวด แต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นไปอีกสองสามปีคาดว่าฝนไม่ตกก็อาจจะมีอาการเจ็บได้ค่ะ คุณป้าต้องรับการรักษาอย่างจริงจัง” อวี๋กานกานพูดพร้อมกับกดลงไปที่จุดฉื่อเจ๋อ[1]บนแขนของป้าหลิว

 

 

ป้าหลิวเจ็บจนทนไม่ไหว ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “โอ๊ย” ทันใดนั้นสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ป้าหลิวและอวี๋กานกาน สีหน้าตกใจและเป็นกังวล

 

 

อวี๋กานกานกดค้างไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ คลายออกมือออก จากนั้นนวดเบาๆ ป้าหลิวที่เมื่อครู่ร้องเจ็บปวดค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “เหมือนจะไม่ค่อยเจ็บเท่าไรแล้ว” หลังพูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นนั่งลง รู้สึกได้จริงๆ ว่าไม่เจ็บเหมือนตอนแรกแล้ว

 

 

อวี๋กานกานกล่าว “ป้าหลิว หลังจากนี้ถ้าหากฝนตกนั่งแล้วมีอาการเจ็บปวด สามารถนวดไปที่จุดฉื่อเจ๋อซึ่งเป็นจุดของเส้นลมปราณปอด ไม่เพียงแต่จะสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดในขณะนั้นได้ หากนวดเป็นประจำยังสามารถลดโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยได้อีกด้วยค่ะ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] จุดฉื่อเจ๋อ อยู่บริเวณข้อพับแขน

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset