ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 211 นี่ยังไม่เรียกว่าเป็นห่วงอีกเหรอ / ตอนที่ 212 คำขอโทษที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

ตอนที่ 211 นี่ยังไม่เรียกว่าเป็นห่วงอีกเหรอ

 

 

อวี๋กานกานแต่งหน้าแต่งตาเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงตุ่น ผมรวบไปด้านหลังมัดเป็นทรงหางม้าต่ำ สวมชุดกาวน์สีขาว มองดูแล้วเป็นมืออาชีพ ท่วงท่าสง่างาม น่าเชื่อถือ

 

 

ฟังจือหันนั่งอยู่บนโซฟาตรงโซนพักผ่อนในท่วงท่าสบายๆ สีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง ลึกลับยากที่จะคาดเดา รอบกายแผ่รังสีคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้เหมือนดั่งทุกที ถึงแม้จะมีคนสงสัยว่าเขาเป็นใคร ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปถาม

 

 

อวี๋กานกานถอดเสื้อหนาวและผ้าพันคอของตัวเองออกวางบนร่างกายของฟังจือหัน ก่อนจะจัดแจงเล็กน้อย “แบบนี้น่าจะอุ่นขึ้นมาหน่อย”

 

 

บนเสื้อผ้าของหญิงสาวหลงเหลือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายนี้ เหมือนกับได้กอดอวี๋กานกานไว้ในอ้อมกอดไม่มีผิด

 

 

เดิมทีฟังจือหันจะหยิบเสื้อผ้าของอวี๋กานกานวางไว้ด้านข้าง ทว่าการกระทำนั้นกลับหยุดลง ทำเพียงแค่นิ่งเงียบแล้วพยักหน้า

 

 

อวี๋กานกานครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอีกหนึ่งประโยค “นายกลับไปที่รถดีกว่าไหม ยาจุดกันยุงอยู่ในรถลำพัง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

 

 

อีกอย่างในรถก็อุ่นกว่าด้วย

 

 

มุมปากของฟังจือหันยกขึ้น เหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม ราวกับกำลังจะสื่อว่าเป็นห่วงผมขนาดนี้เลย

 

 

อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย พูดขึ้นทันควัน “ฉันไม่ได้เป็นห่วงนายนะ ฉันกลัวว่านายจะหนาวจนจับไข้แล้วจะเดือดร้อนฉันอีก ยังไงซะที่นายต้องทิ้งเสื้อโค้ทก็เป็นเพราะฉัน”

 

 

ทว่าอวี๋กานกานกลับหน้าแดงแจ๋ หลังพูดจบเธอหมุนตัวเดินเข้าฉากทันที ไม่กล้ามองฟังจือหันว่ามีปฏิกิริยาแบบไหน

 

 

ก็แค่อยากรีบๆ ถ่ายให้จบ เพราะไม่ได้สวมเสื้อขนเป็ดมันหนาวก็เท่านั้นเอง

 

 

การรักษาโรคช่วยชีวิตคนสำหรับอวี๋กานกานเป็นเรื่องง่ายดายเรื่องหนึ่ง กลับตาลปัตรกับการโพสต์ท่าถ่ายรูป เมื่อยืนอยู่ในฉาก ร่างกายของเธอแข็งเกร็งไปหมด สีหน้าก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ

 

 

ช่างภาพถือกล้องอยู่ในมือ ถ่ายไปกำกับไป “คุณหมออวี๋ คุณไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นครับ สายตาโฟกัสหน่อยครับ เพิ่มความเป็นธรรมชาติอีกสักนิด ถ้าเป็นแบบตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะถ่ายยังไงต่อ”

 

 

อวี๋กานกานฉีกยิ้มขอโทษช่างภาพ เธอถอนหายใจหนึ่งครั้ง ผ่อนคลายร่างกาย พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด

 

 

ช่างภาพโบกมือออกคำสั่ง “หมุนตัวครึ่งวงกลมครับ”

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

หมุนตัวครึ่งวงกลมมันหมุนอย่างไร หมุนซ้ายหรือหมุนขวา หมุนยากหมุนเย็นจริงๆ

 

 

ช่างภาพจนปัญญา วางกล้องลง โพสต์เป็นตัวอย่างให้ดู

 

 

เสียงซัตเตอร์ดังแชะ แชะ อยู่หลายครั้ง อวี๋กานกานถ่ายต่อเนื่องไปหลายรูป แต่ว่าช่างภาพก็ยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไรนัก เขาหันไปมองซย่าเฉิงโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นพูดกับอวี๋กานกาน “คุณหมออวี๋ คุณไปพักก่อนเถอะครับ ไปหาความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ผมจะให้คุณหมอซย่ามาถ่ายก่อน”

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

เธอเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว เธอจนปัญญาไม่รู้ว่าจะหาความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติได้อย่างไร ถ้ารู้ว่ายากขนาดนี้ เธอปฏิเสธไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

ในตอนที่ซย่าเฉิงโจวเข้าฉาก อวี๋กานกานยืนดูอยู่ข้างๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นหมอเหมือนกัน ซย่าเฉิงโจวเองก็น่าจะไม่ถนัดทางด้านนี้ ผลปรากฏว่าซย่าเฉิงโจวกลับถ่ายทำได้อย่างราบรื่น ช่างภาพตะโกนตลอดเวลาในตอนที่ถ่ายเขา “ดีมาก เยี่ยม ใช่เลย แบบนี้แหละ…”

 

 

ใช้เวลาไม่นานซย่าเฉิงโจวก็ถ่ายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย วนกลับมาถึงตาอวี๋กานกานอีกครั้ง ในใจของเธอรู้สึกเป็นกระวนกระวายอย่างยิ่ง ในตอนที่ซย่าเฉิงโจวและอวี๋กานกานเดินสวนกัน จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ถือซะว่าช่างภาพเป็นคนไข้ของคุณ เดี๋ยวก็จะเป็นธรรมชาติเอง”

 

 

อวี๋กานกานค่อนข้างประหลาดใจ ตั้งแต่รู้จักซย่าเฉิงโจวมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงนุ่มนวลแบบนี้พูดกับเธอ อีกอย่างไอเดียนี้ก็แปลกไม่เหมือนใครดี

 

 

คนเป็นหมอมักจะสบายๆ เป็นกันเองต่อคนไข้ของตนเองอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องออกมาธรรมาชาติมากขึ้นได้แน่ อวี๋กานกานฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวสะอาดให้กับช่างภาพ แม้ว่าการถ่ายโฆษณาจะยังคงมีจุดติดขัดอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็สำเร็จลุล่วงไปได้สักที

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 212 คำขอโทษที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

อวี๋กานกานรู้สึกว่าตัวเองหมดแรงแทบจะนอนกองลงไปกับพื้นแล้ว แต่ว่าการถ่ายทำเสร็จไปเพียงแค่ส่วนถ่ายเดี่ยวเท่านั้น ยังเหลือส่วนที่เธอต้องถ่ายคู่ซย่าเฉิงโจวอีก

 

 

ในตอนที่ช่างภาพกำลังเปลี่ยนเลนส์กล้อง จู่ๆ ซย่าเฉิงโจวก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า “ขอโทษ”

 

 

อวี๋กานกานอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจว่าซย่าเฉิงโจวกำลังขอโทษเธอ แม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าขอโทษสำหรับเรื่องอะไร แต่พวกเขาทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจดี อีกอย่างสถานการณ์ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าซย่าเฉิงโจวเองก็ทำไปเพื่อรีบช่วยชีวิตคน แต่ที่เธอค่อนข้างประหลาดใจก็คือทำไมจู่ๆ ซย่าเฉิงโจวถึงมาขอโทษเธอ ปกติเขาไม่ใช่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ใช้รูจมูกดูทางเดิน[1]หรอกเหรอ

 

 

ซย่าเฉิงโจวเห็นว่าอวี๋กานกานไม่พูดอะไร นึกว่าเธอยังโกรธอยู่ จึงอธิบายเพิ่ม “คุณไม่ยกโทษให้ผมก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจว่าคุณเข้าร่วมงานสัมมนานี้ก็เพื่อต้องการชุบตัว ผมจึงค่อนข้างมีอคติ จนมาถึงวันนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นผมเองที่คิดไปเอง เป็นผมเองที่ใจคับแคบ เพราะคุณยังอายุน้อยผมจึงตั้งข้อกังขา ไม่ว่าคุณจะให้อภัยผมหรือไม่ ผมแค่อยากจะขอโทษคุณอย่างจริงจังสักครั้ง”

 

 

อวี๋กานกานยิ้มออกมา “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะค่ะ”

 

 

ลบหายในฝ่ามือเดียว ไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมาอีกต่อไป

 

 

ซย่าเฉิงโจวคลี่ยิ้มบางๆ กล่าว “ครับ” ก่อนจะเว้นระยะแล้วพูดต่อ “เดี๋ยวตอนถ่าย คุณแค่ทำตามผมก็พอ”

 

 

อวี๋กานกานตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ค่ะ”

 

 

ไม่รู้เป็นเพราะถ่ายโฆษณามาได้พักหนึ่งแล้ว หรือเป็นเพราะซย่าเฉิงโจวเป็นฝ่ายนำ เห็นได้ชัดว่าการถ่ายทำราบรื่นดีกว่าก่อนหน้านี้มาก

 

 

ช่างภาพมองกล้องแล้วกล่าว “ดีเลย เยี่ยม สายตาเป็นธรรมชาติได้กว่านี้อีก ขอรูปมองตากันอีกรูป เยี่ยมเลย แล้วก็ขอรูปหลังชนกันอีกรูป…”

 

 

ฟังจือหันถือเสื้อหนาวและผ้าพันคอของอวี๋กานกานเดินเข้ามา เห็นตอนที่ซย่าเฉิงโจวและอวี๋กานกานต้องถ่ายรูปมองตากันพอดี แสงสปอร์ตไลท์อ่อนๆ สาดส่องลงมาที่พวกเขาทั้งคู่ แม้ว่าจะเป็นเพียงการมองตากันปกติทั่วไป ทว่ากลับมีกลิ่นอายความหวานแววก่อตัวขึ้นอย่างน่าประหลาด

 

 

แววตาของฟังจือหันเย็นเยียบทันที ราวกับน้ำวนมืดลึกไร้ที่สิ้นสุด

 

 

ผู้ช่วยช่างภาพกล่าว “นี่มันเขตถ่ายทำ คนนอกห้าม…”  เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า

 

 

ประโยคหลังเขายังไม่ทันได้พูดออกมา ก็ต้องแข็งค้างเมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นยะเยือก

 

 

ใบหน้ารูปงามของชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นอกจากความเย็นชา สายตานั้นชวนให้รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ผู้ช่วยช่างภาพไม่ได้พูดอะไรต่อ ทางฝั่งช่างภาพตะโกนขึ้นมาพอดี “โอเค เรียบร้อยแล้ว”

 

 

ผู้ช่วยช่างภาพถอนหายใจ ไม่ต้องไล่คนแล้ว

 

 

อวี๋กานกานเองก็ถอนหายใจยาวเหยียด เธอมองไปยังฟังจือหันที่เดินเข้ามา จากนั้นคลี่ยิ้มออกมาราวกับได้เกิดใหม่ ฟังจือหันหยิบผ้าพันคอในมือขึ้นมาพันให้อวี๋กานกาน

 

 

อวี๋กานกานถอดเสื้อกาวน์ออก สวมเสื้อหนาวขนเป็ดแทนที่ ถาม “ลู่เสวียเฉินล่ะ”

 

 

ก่อนหน้านี้ฟังจือหันพูดไว้ว่าจะให้ลู่เสวียเฉินเอาเสื้อโค้ทมาให้ เวลาก็ผ่านไปได้สักพักแล้ว ต่อให้อยู่ในชานเมืองปักกิ่งก็ควรจะมาถึงได้แล้ว

 

 

ฟังจือหันตอบ “รออยู่ที่ห้องโถงโรมแรม”

 

 

“งั้นไปกัน จะได้ไปเอาเสื้อโค้ท”

 

 

ทั้งสองพูดคุยกัน ก่อนจะเดินออกจากห้องถ่ายทำไปพร้อมกัน

 

 

ซย่าเฉิงโจวมองดูพวกเขา ท่าทางของทั้งคู่ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ในใจของเขาบังเกิดความสงสัยขึ้น ทั้งสองดูเหมือนจะรู้จักกันมานานแล้ว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา สิทธิการเข้าร่วมงานสัมมนาผู้อำนวยการเฉินเป็นคนให้อวี๋กานกานจริงหรือ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่างานสัมมนาครั้งนี้ ราวกับมีไว้เพื่ออวี๋กานกานโดยเฉพาะ?

 

 

 

 

——

 

 

[1] แหงนหน้ามองท้องฟ้า ใช้รูจมูกดูทางเดิน  อุปมาถึงบุคคลที่เย่อหยิ่งทะนงตน ชอบดูถูกคนอื่น

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset