ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี – ตอนที่ 159 ถอนฟืนใต้กระทะ

เผยเชียนเจ็บปวดกับสิ่งที่เห็นมาก

ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูจะทำกำไรได้นิดหน่อยก็ไม่เป็นไร

แต่ประเด็นคือไอ้กำไรนิดหน่อยนี้อาจจะทำให้ความพยายามรอบนี้ของเผยเชียนสูญเปล่าได้!

รอบนี้ระบบให้เวลาสองเดือน ตอนนี้ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

เผยเชียนคำนวณกำไรขาดทุนดูคร่าวๆ นับรวมค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันต่างๆ น่าจะขาดทุนได้สักสองสามแสนตอนปิดบัญชี

และการที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูทุกสาขาต้องขาดทุนให้ได้หลักล้าน ก็เป็นส่วนสำคัญมากๆ ในแผนของเขา

ถ้าร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเริ่มทำกำไรหรือหาเงินคืนทุนตั้งต้นได้ เผยเชียนอาจจะมีรายได้ที่ไม่สามารถผลาญได้ทันวันปิดบัญชีเพิ่มมาอีกกว่าหนึ่งล้านหยวน!

ถึงหนึ่งล้านกว่าหยวนจะดูเหมือนไม่เยอะ แต่ก็อาจเปลี่ยนแผนขาดทุนที่วางไว้ให้กลายเป็นทำกำไรได้ในพริบตา

แบบนั้นโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่ทำมาก็ไร้ค่าทันทีสิ

ความตั้งใจแรกของเผยเชียนคือยำรวมทุกอย่างใส่ ‘ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยู’ ที่มีทั้งโซนบาร์ โซนหนังสือ โรงหนังขนาดย่อม ร้านอาหาร และอื่นๆ ทั้งหมดนี้อัดรวมอยู่แน่นในร้านอินเทอร์เน็ต

เขาหวังให้ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเป็นร้านที่ขาดทุนสุดๆ

แต่ก็ไม่คิดว่าโซนบาร์จะทำเงินให้ร้านได้เยอะกว่าโซนอินเทอร์เน็ตเพราะนักร้องประจำคนใหม่!

ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเลยกลายมาเป็นบาร์โมหยู เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

ผิดจากที่เผยเชียนตั้งใจไว้หมดเลย!

จะทำยังไงดี

เอาโต๊ะเก้าอี้ด้านนอกออกให้หมดเหรอ

ยกเลิกการให้ส่วนแบ่งนักร้องจากยอดขายเหรอ

หรือเลิกจ้างนักร้องประจำคนนี้ไปเลยดี

ทำไม่ได้เลยเพราะไม่เหมาะสมสักวิธี ไม่มีเหตุผลใช้อ้างได้

เผยเชียนบอกหม่าหยางให้เอาจอออกและลดจำนวนโต๊ะด้านนอกลง ซึ่งก็พอจะมีเหตุผลเพราะจะได้เหมาะสมกับสไตล์และภาพลักษณ์ของร้าน

แต่ถ้ารุกหนักกว่านี้ก็จะดูไม่มีเหตุผล

ถ้าเอาโต๊ะออกหมดแล้วลูกค้าจะนั่งไหน

การให้ส่วนแบ่งยอดขายเครื่องดื่มช่วยทำรายได้ให้ร้าน แถมยังทำให้นักร้องมีกำลังใจในการร้องเพลงอีก แล้วจะหาเหตุผลอะไรมายกเลิกล่ะ

การกระทำแบบนี้จะสร้างความสงสัย แล้วอาจโดนระบบเตือนเอาได้

อีกอย่างเรื่องพวกนั้นก็ไม่ใช่ต้นตอของปัญหา

ถ้าเผยเชียนอยากจะกอบกู้สถานการณ์ เขาต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด!

ถึงจะเอาโต๊ะออกกับยกเลิกส่วนแบ่งแล้วยังไง ทุกคนอยากมาฟังเฉินเหล่ยร้องเพลงกันทั้งนั้น!

ถ้าไม่มีที่ให้นั่ง พวกเขาก็ยังยืนฟังได้ ไม่ได้แก้ปัญหาอยู่ดี

ดังนั้นถ้าจะแก้ปัญหา เผยเชียนต้องหาทางจัดการเฉินเหล่ย!

“สงสัยจังว่าเจ้าเด็กนี่มีฝันอะไรที่ฉันจะช่วยเติมเต็มให้ได้รึเปล่า”

สี่ทุ่ม การแสดงจบ

เฉินเหล่ยโค้งให้ผู้ชมแล้วลงจากเวทีไป ผู้ชมยังคงปรบมือกันเกรียวกราวพร้อมโห่เชียร์

หม่าหยาง จางหยวน และพนักงานคนอื่นๆ เดินไปส่งลูกค้า

เผยเชียนรีบดึงเฉินเหล่ยไปนั่งตรงที่เงียบๆ แถวโซนอินเทอร์เน็ต

เฉินเหล่ยไม่เคยเจอเผยเชียนมาก่อน แต่พอได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัวเอง เขาก็รู้ว่าเผยเชียนคือ ‘บอสเผย’ ที่หม่าหยางพูดถึงบ่อยๆ จึงรู้สึกกดดันขึ้นมา

เผยเชียนถามคำถามเฉินเหล่ยเล็กน้อยและรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เรียนต่อหลังจบชั้นมัธยม เอาแต่เก็บตัวอยู่บ้าน จนถึงขั้นเป็นเด็กมีปัญหาหน่อยๆ

เฉินเหล่ยใช้เวลาที่บ้านหมกมุ่นอยู่กับเรื่องดนตรี วันหนึ่งบังเอิญเดินผ่านร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูแล้วได้ยินเสียงคนร้องเพลง เลยรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปขอสมัครเป็นนักร้องประจำ

ครอบครัวของเฉินเหล่ยมีความสุขมากพอรู้ว่าเขาหางานได้ พวกเขาบอกเฉินเหล่ยว่าให้ตั้งใจทำงานและเข้ากับเพื่อนร่วมงานให้ได้

“คุณอยู่จิงโจวมาตลอดชีวิต ไม่อยากออกไปเห็นโลกกว้างบ้างเหรอ

“ถ้าคุณอยากไล่ตามฝันในสายดนตรี ผมว่าคุณควรไปเซี่ยงไฮ้หรือไม่ก็ปักกิ่ง ทั้งสองที่เหมาะกับการทำตามฝันของคุณมากกว่า”

คำพูดของเผยเชียนเป็นดังมนต์สะกด

เฉินเหล่ยอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับ “อยากไปสิครับ! ผมฝันว่าอยากไปเซี่ยงไฮ้กับปักกิ่งดูสักครั้ง!

“ผมเคยบอกคนอื่นๆ ว่าสักวันผมจะเป็นนักร้อง แต่ไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวผม ผมรู้ว่าจิงโจวเป็นเมืองเล็กเกินกว่าจะทำให้ฝันผมเป็นจริงได้

“แต่เซี่ยงไฮ้กับปักกิ่งไกลจากบ้านผมมาก ครอบครัวไม่ยอมให้ไปแน่ แถมผมยังได้ยินมาว่าที่ปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ค่าครองชีพสูงมาก ผมกลัวผมไปอดตายที่นู่น”

เผยเชียนแอบดีใจอยู่ภายใน

ถ้านายมีฝัน เราก็คุยกันได้!

บอสเผยเก่งเรื่องช่วยคนไล่ตามฝันอยู่แล้ว!

เผยเชียนยิ้มพร้อมพยักหน้า “คุณดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว

“คุณไม่รู้เลยว่าตัวเองร้องเพลงดีขนาดไหน! ฝีมือแบบคุณ แค่อ้าปากร้องก็เป็นเหมือนอาวุธสังหารแล้ว รู้มั้ยว่ามีสาวๆอยากฟังคุณร้องเพลงเยอะขนาดไหน!

“เพราะงั้นคุณถึงไม่ควรดูถูกความสามารถตัวเอง ถ้าไปเมืองที่ใหญ่กว่านี้ คุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม พอคุณมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ก็กลับมาจิงโจว แล้วตอกกลับเพื่อนที่เคยดูถูกคุณให้หน้าหงาย เอาให้อิจฉากันหมดทุกคนเลย!”

คำพูดของเผยเชียนได้ผลทันใจ เขาเห็นเฉินเหล่ยตาเป็นประกาย

‘เด็กแปลกแยก’ แบบเฉินเหล่ยที่ทั้งเป็นคนเก็บตัว หน้าตาไม่ได้โดดเด่น แถมยังไม่ได้เรียนต่อหลังจบชั้นมัธยมต้องแบกรับความกดดันมหาศาลจากทุกด้านในชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเขาเอง เพื่อนร่วมชั้น หรือครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้น คนเหล่านี้มักจะยกเฉินเหล่ยว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง

ร้องเพลงดีแล้วยังไง เมืองระดับสองแบบเมืองจิงโจวไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการแสดงความสามารถของเขา

เฉินเหล่ยย่อมเป็นคนที่อยากได้รับการยอมรับ

ดังนั้นพอได้ยินที่บอสเผยพูด เฉินเหล่ยก็รู้สึกคล้อยตามทันที

เขาอยากจะไปเมืองใหญ่ๆ เพื่อสำรวจโลกกว้าง แล้วลองเสี่ยงดวงดูสักตั้งด้วยความหวังว่าจะมีคนเห็นค่าความสามารถของตนเอง

ฟังจากที่บอสเผยพูดแล้ว เหมือนว่าบอสอยากจะให้ความช่วยเหลือ

สิ่งเดียวที่ฉุดเฉินเหล่ยไว้คือเงิน

เขาหาเงินได้มากมายจากส่วนแบ่งค่าเครื่องดื่ม แถมยังมีแฟนคลับอีกเพียบ ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูจึงเป็นคอมฟอร์ตโซนของเฉินเหล่ย ทำให้ไม่อยากจะทิ้งที่แห่งนี้ไป

ถ้าให้ไปปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ นอกจากจะต้องเริ่มต้นใหม่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยแล้ว เฉินเหล่ยน่าจะไม่สามารถสู้ค่าที่พักและค่าครองชีพได้ไหว

เพราะเขาจะไม่มีรายได้อีก

ดังนั้นเผยเชียนต้องช่วยพังกำแพงที่ขวางเฉินเหล่ยไว้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ก้าวเดินต่อไปอย่างไร้กังวล

เผยเชียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าคุณอยากไปตามฝันด้านดนตรีที่เมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ ผมช่วยคุณได้

“ตอนนี้เฟยหวงสตูดิโอ บริษัทลูกของเถิงต๋าประจำอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ผมย้ายคุณไปทำงานที่นั่นกับเฟยหวงสตูดิโอได้ คุณไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวพวกเขาจะจัดการเรื่องที่พักกับอาหารการกินให้ งานก็ไม่ต้องทำ คุณทำตัวตามสบายและไล่ตามความฝันได้ตามสะดวก แบบนี้เป็นไง”

ฝั่งหนึ่งเป็นชีวิตปัจจุบันที่กำลังสนุกสนาน ส่วนอีกฝั่งเป็นสถานที่แปลกใหม่อันห่างไกล

เฉินเหล่ยไม่ได้ลังเลใจอะไรนัก “บอสเผย ผม…ผมอยากไปครับ!”

วันต่อมา

ช่วงกลางคืน

คนยังดูคับคั่งเหมือนเดิม แต่ทุกคนจับสังเกตได้ว่าเฉินเหล่ยดูมีอะไรอยู่ในใจ

“ด้านนอกระเบียง บนถนนเก่า หญ้าเหยียดสูงแตะฟ้า…

“ขอถามเพื่อนเอ๋ย จากไปรอบนี้เมื่อไหร่เจ้าจะกลับ…”

เฉินเหล่ยร้องเพลงไปเรื่อยๆ เหมือนเคย ไม่ได้ปริปากพูดอะไร

แต่แฟนๆ รู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ เมื่อได้ฟังเขาร้องเพลง

“แปลกจัง ทำไมเพลงคืนนี้มีแต่เพลงเกี่ยวกับการบอกลาล่ะ”

“ใช่มั้ย รู้สึกห่อเหี่ยวใจเลยเนี่ย…”

“เดี๋ยวฉันสั่งค็อกเทลแสงเหนืออีกสองแก้วเป็นทิปให้ดีกว่า”

“เออใช่ จอหายไหนวะแก”

“ไม่รู้สิ แต่ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับฉันนะ ฉันตั้งใจมาเป็นกำลังใจให้เฉินเหล่ย ไม่ได้มาแข่งกับใคร”

ทุกคนดื่มและพูดคุยกันตามปกติ แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศวันนี้ถึงดูแปลกไปไม่เหมือนเคย

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี
Status: Ongoing
เผยเชียนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน โดยมีระบบสั่งให้เขาตั้งบริษัทอะไรก็ได้เพื่อหาเงินทำกำไรโดยจะมีการประเมินกำไรขาดทุนเป็นรอบๆ แต่เผยเชียนเป็นคนหัวหมอ เขาดูแล้วว่าถ้าเขาทำธุรกิจได้กำไร เขาจะได้ส่วนแบ่งเข้ากระเป๋าตัวเองแค่ 1:100 แต่ถ้าเขาขาดทุน เขาจะได้ส่วนแบ่ง 1:1 เขาจึงคิดจะตั้งบริษัทเกม และหาทางทำให้บริษัทขาดทุน ด้วยการสร้างเกมที่ไม่น่าจะฮิตบ้างล่ะ ขายเกมราคาถูกบ้างล่ะ เอาเงินไปละลายกับการเช่าตึกและซื้ออุปกรณ์ทำงานต่างๆ บ้างล่ะ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ขาดทุนสักที เกมที่คิดว่าไม่น่าจะขายได้ก็ดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำไมการทำธุรกิจให้ขาดทุนมันถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ล่ะเนี่ย?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset