ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 111รักใคร่กันดี

ฉินหรูเหลียงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก ในเสี้ยวเวลาหนึ่ง เขากลับแอบหวังให้เฉินเสียนที่หยิ่งยโสและโอหังคนนั้นมาหาเรื่องเขาถึงที่

เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน

ในระหว่างที่พักรักษาตัว จู่ๆ องค์จักรพรรดิก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมที่จวนแม่ทัพอย่างคาดไม่ถึง แสดงถึงความรักและความเมตตากรุณา

เฉินเสียนเองต้องออกมารับเสด็จอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องมารอรับเสด็จที่เรือนหลักพร้อมกับฉินหรูเหลียง

ดูแล้วองค์จักรพรรดิยังทรงมีความเมตตา พระองค์ทรงตรัสขึ้นว่า : “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ลำบากแม่ทัพฉินแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามัวแต่ยุ่งกับงานในหน้าที่จนทำให้หายป่วยช้าขนาดนี้ ไม่ต้องพิธีรีตองแล้ว พักให้หายดีเถิด ตอนนี้อาการของแม่ทัพฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินหรูเหลียงยกมือขึ้นคารวะแล้วทูลว่า : “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย อาการของกระหม่อมดีขึ้นมาก อีกไม่นานก็จะหายเป็นปกติพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่รีบร้อน เจ้าค่อยๆ รักษาตัว ข้าอนุโลมให้เจ้างดการเข้าเฝ้ายามเช้าชั่วคราว” องค์จักรพรรดิทรงถอนลมหายใจ แล้วทรงตรัสขึ้นว่า : “อ้ายชิงต้องโทษข้า เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร เรื่องนี้ข้าจะไม่จัดการอย่างเข้มงวดไม่ได้”

“เป็นเพราะกระหม่อมทำผิด ที่กระหม่อมได้รับถือเป็นโทษผ่อนปรนที่ฝ่าบาททรงเมตตากรุณาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนยืนฟังอยู่ข้างๆ

องค์จักรพรรดินี่ตบหัวแล้วลูบหลังจริงๆ ฉินหรูเหลียงเองก็ซื่อสัตย์จงรักภักดีเหลือเกิน

องค์จักรพรรดิตรัสขึ้นว่า : “อ้ายชิงเป็นคนที่ร่วมปฏิวัติประเทศเพื่อสร้างข้อตกลงใหม่ ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้ามา ถือว่าเป็นแขนซ้ายแขนขวาของข้าก็ว่าได้ การจัดวันเกิดของพระพันปีครั้งนี้ไม่เป็นไปตามคาด ยังดีที่อ้ายชิงเค้นความจริงจากสายลับจึงจับฆาตกรได้ ถือว่ามีความดีความชอบชดเชย เรื่องนี้ก็ถือเสียว่าแล้วกันไป อย่าไปพูดถึงมันอีก”

ฉินหรูเหลียงลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก้มหน้าประสานมือคารวะ : “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

เวลานี้องค์จักรพรรดิทรงทอดพระเนตรไปยังเฉินเสียน และทรงแย้มพระสรวลที่ไม่อาจทราบความหมายได้ แล้วทรงตรัสขึ้นว่า : “หลังจากเกิดเรื่องขึ้นข้าเองได้สั่งคนไปดักฟังที่ตลาดใหญ่ จึงพึ่งรู้ว่านักฆ่าต้องการที่จะลงมือกับอ้ายชิงก่อน เพื่อจะกำจัดแขนซ้ายแขนขวาของข้า

เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าทั้งสองด้วย ข้าได้ยินมาว่า แม่ทัพกับองค์หญิงลงไม้ลงมือตีกันอยู่กลางตลาดใหญ่ ไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวเหมือนตอนเข้าวังเมื่อครั้งก่อน”

เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงหันหน้ามาสบตากัน

จากนั้นเฉินเสียนก็รีบตีเนียน เดินไปห่มผ้าให้ฉินหรูเหลียงอย่างเอาใส่ใจและอ่อนโยน พูดขึ้นอย่างเคอะเขิน : “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นหม่อมฉันเองที่ทำไม่ถูก หม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์ ตอนอยู่ที่ตลาดเกิดอยากกินของเผ็ดขึ้นมา แต่ท่านแม่ทัพไม่ยอม เมื่อไม่เห็นด้วยกับหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จึงตบตีกันเพคะ”

ฉินหรูเหลียงเองก็เข้าเสริมเป็นปี่เป็นขลุ่ย เขาพูดขึ้นว่า : “หมอบอกแล้ว ว่าระหว่างที่องค์หญิงตั้งครรภ์ควรกินอาหารรสจืดเป็นหลัก ที่ขายตามท้องตลาดมันไม่สะอาด กระหม่อมเพียงแค่เป็นห่วงพระวรกายขององค์หญิงเท่านั้น”

เฉินเสียนจ้องฉินหรูเหลียงตาเขม็ง เฉินเสียนจึงนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง

เธอกำหมัดทุบเบาๆ ที่แผ่นอกของฉินหรูเหลียง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูแล้ว ท่านคงเป็นห่วงแต่บุตรในท้องกระมัง”

ฉินหรูเหลียงยื่นแขนมารวบมือของเฉินเสียนไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า : “หยุดงอนได้แล้ว ฝ่าบาทก็ยังอยู่”

องค์จักรพรรดิทรงทอดพระเนตรทั้งสองที่พลอดรักนัวเนียกันไปมา จึงอดไม่ได้ที่จะแย้มพระสรวล พระองค์ทรงตรัสขึ้นว่า : “ดูแล้วข้าคงจะคิดมากไป ตีกันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ครั้งหน้าต้องระวังภาพพจน์หน่อย คนหนึ่งเป็นแม่ทัพ คนหนึ่งเป็นองค์หญิง ไปตีกันอยู่กลางตลาดมันใช้ได้ที่ไหน”

เฉินเสียนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงชี้แนะ คราวหน้าหม่อมฉันจะปิดประตูห้องแล้วค่อยตีเพคะ”

องค์จักรพรรดิทรงทอดพระเนตรไปที่ฉินหรูเหลียง พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “อ้ายชิงเจ้าเป็นชายชาตรีสง่าผ่าเผย ก็อย่าไปถือสาจิ้งเสียนเลย ในครรภ์ของนางก็ยังตั้งท้องลูกของเจ้าอยู่”

“กระหม่อมน้อมรับคำชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิทรงลุกขึ้น และทรงตรัสว่า : “นี่ก็ไม่สายแล้ว ข้ากลับก่อน พวกเจ้าอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ต้องออกไปส่งข้า”

เมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จกลับไปแล้ว เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงก็หันหน้ามาสบตากัน

วินาทีถัดมา ต่างคนต่างรีบปล่อยมือออกจากกันทันที

เฉินเสียนเองดีดตัวขึ้นมาทันที นึกถึงตอนที่ฉินหรูเหลียงกุมมือของเธอไว้ก็รู้สึกขยะแขยงขนลุกขนพอง พลางพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า : “แสดงละครกับท่าน มันเป็นอะไรที่ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง! อี๋!!!! ไหนจะทุบหน้าอกท่านเบาๆ ด้วย เปื้อนมือไปหมด!”

เมื่อฉินหรูเหลียงเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเธอแล้ว ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา จึงพูดขึ้นว่า : “ท่านคิดว่าท่านขยะแขยงเป็นคนเดียวรึไงกัน? ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านจะดัดจริตถึงเพียงนี้”

ตอนที่เห็นท่าทีที่ออดอ้อนของเฉินเสียนนั้น เขาเองก็รู้สึกคนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่ก็ต้องฝืนแสดงละครต่อ

นางเองไม่ได้เป็นคนออดอ้อนเสียหน่อย ยังจะเลี่ยนขนาดนี้ได้

เฉินเสียนสะบัดมือผ่านหน้าของเขา ชายแขนเสื้อเต็มไปด้วยกลิ่นยา เธอขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เชอะ ท่านคิดว่าตัวท่านเองดีนักแล้วหรือไง? ก็แค่คนหน้าไหว้หลังหลอกดีๆ นี่เอง ตีสองหน้า หน้าอย่างหลังอย่าง ”

ปกติแล้วเฉินเสียนไม่เคยมาถึงเรือนหลัก เพราะแค่เจอหน้ากับฉินหรูเหลียง ก็เป็นต้องถูกด่าจนไม่เป็นผู้เป็นคน เหลือแค่ยังไม่ได้ลงไม้ลงมือเท่านั้นแหละ

ฉินหรูเหลียงจากที่ตอนแรกที่เคยโมโหจัด ค่อยๆ คุ้นชินกับการทะเลาะกันทุกวี่ทุกวันแบบนี้

เขารู้ดีว่าใส่ใจเกินไปไม่ได้ และยิ่งโมโหไม่ได้เข้าไปใหญ่ เพราะถ้าเขาโมโหแล้ว เฉินเสียนจะดีใจจนแทบจะสำลักเลยเชียว

อาการของฉินหรูเหลียงดีขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงที่ผ่านมาไม่มีใครได้ดูแลใส่ใจสวนดอกพุดตาน

เซียงหลิงเรียกหมอมารักษาหลิ่วเหมยอู่ที่สวนดอกพุดตานทุกวัน จริงๆ แล้วหลิ่วเหมยอู่เองไม่ได้ป่วย แต่อาการของหลิ่วเฉียนเฮ้อกลับดีขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดหลิ่วเหมยอู่ก็ถามคำถามที่นางสงสัยและค้างคาในใจมานาน : “ทำไมพี่ต้องทำตัวเองเป็นถึงขนาดนี้?”

หลิ่วเฉียนเฮ้อตอบกลับไปว่า : “นี่เป็นเรื่องของพี่ เชียนเสวี่ย เจ้าอย่าถามมาก”

“ท่านพี่บุกเข้าวังหรือเจ้าคะ? นักฆ่าในคืนนั้นเป็นท่านพี่ใช่หรือไม่?”

หลิ่วเฉียนเฮ้อนิ่งเงียบไป การเงียบของเขาได้อธิบายทุกอย่างแล้ว

หลิ่วเหมยอู่อ้าปากค้าง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ลูกดอกที่ถูกทิ้งไว้ในวังก็เป็นของท่านพี่หรือ? ข้าได้ยินมาว่าลูกดอกที่ใช้ลอบสังหารท่านแม่ทัพตอนที่ท่านแม่ทัพเดินตลาดก็เป็นแบบเดียวกันไม่มีผิด ท่านพี่ ท่านตั้งใจจะฆ่าท่านแม่ทัพใช่หรือไม่?”

ถึงแม้ว่าหลิ่วเฉียนเฮ้อจะไม่ได้ตอบคำถาม แต่หลิ่วเหมยอู่ก็รู้คำตอบแล้ว

หลิ่วเหมยอู่พูดขึ้นว่า : “ท่านพี่ รับปากข้าได้หรือไม่ อย่าทำร้ายท่านแม่ทัพอีกได้หรือเปล่า? เขาเป็นคนคนเดียวที่ข้าพึ่งพาได้”

“เชียนเสวี่ย เจ้ามันหัวอ่อนเกินไป ตามใครเขาไม่ทัน ฉินหรูเหลียงไม่ใช่คนดีอย่างที่เจ้าคิด เขาเป็นคนร้อยลิ้นกะลาวน เอาแน่เอานอนไม่ได้ พัวพันกับหญิงอื่นไม่ชัดเจน ผู้ชายแบบนี้เจ้าจะเก็บเอาไว้ทำไม?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านแม่ทัพรักข้า นั่นเป็นเพราะเฉินเสียนไปให้ท่าเขาเอง! ค่ำคืนนั้น เพื่อข้าแล้วท่านแม่ทัพยอมคุกเข่าขอร้องวิงวอนต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท เพื่อขอรับโทษแทนข้า……ข้าไม่อยากให้เขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก……เขาไม่ใช่ศัตรูของตระกูลบ้านเรา แต่เป็นผู้มีพระคุณของข้า เป็นชายที่ข้ารัก……”

หลิ่วเหมยอู่ใช่ว่าจะไม่อ่อนไหว หลายวันมานี้นางเองก็อยากจะไปคอยดูแลอาการบาดเจ็บของฉินหรูเหลียงจะแย่ เพียงแต่นางไม่สามารถทำได้

เมื่อเห็นหลิ่วเหมยอู่ร้องไห้น่าสงสารจับใจ หลิ่วเฉียนเฮ้อก็ใจอ่อนลง และรับปากนางในที่สุด เขาพูดขึ้นว่า : “ช่างเถอะ ขอเพียงแค่เขาไม่รังแกเจ้า ข้าก็จะไม่ฆ่าเขา”

ไม่ฆ่าฉินหรูเหลียง ในเมืองหลวงนี้ มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เป็นที่พักพิงของหลิ่วเหมยอู่ นางเป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่ง จะให้ตามเขาร่อนเร่พเนจรไปทั่วอย่างงั้นหรือ?

กลางดึกของค่ำคืนหนึ่ง เฉินเสียนจู่ๆ ก็หิวข้าวขึ้นมา หิวจนนอนไม่หลับ

อวี้เยี่ยนจึงไปเอาอาหารที่ห้องครัวมาให้เฉินเสียน

หลังจากที่กลับมาแล้ว อวี้เยี่ยนก็วางอาหารไว้บนโต๊ะ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ

เฉินเสียนทานอาหารพลางถามขึ้นว่า : “เป็นอะไรไป?”

“เมื่อครู่นี้ตอนที่หม่อมฉันเจอเซียงหลิงที่ห้องครัว นางมาเอาอาหารให้นางหลิ่ว หม่อมฉันรู้สึกแปลกๆ”

“แปลกตรงไหน?”

“อาหารที่เซียงหลิงเอาไปนั้น ปริมาณค่อนข้างเยอะผิดปกติ ดูจากร่างกายที่ผอมบางของนางหลิ่วแล้ว ไม่อิ่มจนท้องแตกหรือเพคะ”

(อ้ายชิง เป็นคำที่องค์จักรพรรดิใช้เรียกเสนาบดีคนสนิท ในที่นี้ใช้เรียก ฉินหรูเหลียง)

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset