ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 131 ก็จะสนใจจะทำไมเล่า

ซูเจ๋อ : “ชื่อนี้น่าฟังกว่าเหลียนข่านตรงไหนกัน?”

“นี่เป็นชื่อเล่น จะทางการขนาดนั้นทำไมกัน?” เฉินเสียนจับแขนและเท้าเล็กๆ ของลูกชายเล่น ยิ้มตาหยี พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “มีลูกชายทั้งคน ไม่เอามาแกล้งเล่นเสียหน่อยน่าเสียดายแย่ แขนและขาอันน้อยๆ วันข้างหน้าข้าจะให้เขาตามหลังข้าคอยเป็นเจ้าภาระน้อยไปซะทุกที่เลย ชื่อเจ้าน่องน้อยไม่เหมาะหรือ?”

สุดท้ายแล้วชื่อเล่นของลูกชายก็ตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็คือ “เจ้าน่องน้อย”

ขาน้อยๆ ก็ถีบไม่หยุด เหมือนจะกำลังประท้วง

เพียงแต่ว่าเขายังพูดไม่ได้ จะร้องก็ไม่ร้อง การประท้วงของเด็กน้อยจึงไม่มีผลเลย

“ซูเจ๋อ ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่?”

“เพียงแค่อย่าเล่นจนเกินไป ท่านดีใจก็พอแล้ว”

เฉินเสียนถอนลมหายใจ แล้วจึงใช้ผ้าห่อขาน้อยๆ นั่นไว้ หยิกแก้มของเขาเบาๆ แต่เขากลับไม่ตอบสนองอะไร

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ยอมร้องเลย ท่านว่าเขาเป็นใบ้หรือเปล่า?”

ซูเจ๋อยื่นมือออกไป สัมผัสผิวตรงขาที่อ่อนนุ่มด้วยปลายนิ้ว ลูบไล้เบาๆ ด้วยความตั้งใจ เมื่อมองลึกเข้าไปผ่านเค้าโครงร่างน้อยๆ นี้ ราวกับว่า

กำลังมองใครบางคนที่ใจของเขาคอยคะนึงถึงเสมอ

ทั้งที่คนผู้นั้นอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ

ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “รอให้เขาครบสักขวบสองขวบก่อน หากยังไม่ยอมส่งเสียงร้อง ค่อยสรุปอีกทีก็ไม่สาย นี่เพิ่งจะกี่วันเอง รีบด่วนสรุปคิดแบบนี้ ไม่กลัวว่าเขาจะเสียใจเอาหรือ?”

“เสียใจหรือ? เขาเป็นเด็กที่แม้แต่เวลาหิวก็ยังร้องไห้ไม่เป็น แล้วจะรู้จักคำว่าเสียใจได้อย่างไร?” เฉินเสียนพูดกับเจ้าน่องน้อย : “เจ้าน่องน้อย เจ้ารู้หรือเปล่าว่าอะไรคือความเสียใจ?”

ซูเจ๋อหัวเราะ

จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างหน้าตาเฉยว่า : “เมื่อครู่เราพูดกันถึงตรงไหนแล้ว ท่านบอกข้าหน่อย ท่านคลอดก่อนกำหนดได้อย่างไร แล้วฉินหรูเหลียงเขาได้ทำอะไร”

เฉินเสียนที่กำลังเล่นกับจมูกและตาของเจ้าน่องน้อย เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ เรื่องนี้รู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่านเสียหน่อย”

“แต่ข้ากลับรู้สึกสนใจ ทำยังไงดีล่ะ”

เฉินเสียนเงยหน้าจ้องไปที่ดวงตาของเขา สำลักลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่ว่าฉินหรูเหลียงจะทำอะไรลงไป เขายอมใช้แขนข้างหนึ่งของเขามาแลกเปลี่ยน แขนของท่านแม่ทัพใหญ่ ก็คงจะสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นข้าไม่ถือว่าเสียเปรียบอะไร”

“งั้นภรรยาที่โปรดปรานของเขาล่ะ?”

เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “หนี้ที่นางติดไว้ วันข้างหน้าข้าจะให้ฉินหรูเหลียงชดใช้ ซูเจ๋อ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า ข้าจะจัดการของข้าเอง”

เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ได้ งั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน”

เขาได้มอบขวดกระเบื้องขนาดเล็กวางลงบนมือของเฉินเสียน

เฉินเสียนถามขึ้นว่า : “นี่คืออะไร?”

“หลายวันก่อนเจ้าไม่ได้ให้ข้าปรุงยาถอนพิษสั่วเชียนโหวหรอกหรือ”

เฉินเสียนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า : “ท่านนี่เก่งจริงๆ” เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่เธอต้องการจะรีบใช้ยาตัวนี้ พอซูเจ๋อปรุงมาให้ แต่กลับไม่ได้ใช้มันแล้ว

ถึงแม้จะรู้ว่าหลิ่วเหมยอู่แกล้ง แต่เฉินเสียนเองก็เคยคิดจะใช้ยาถอนพิษไปช่วยชีวิตของหลิ่วเหมยอู่

เพียงแต่ว่าฉินหรูเหลียงไม่ยอมเชื่อใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว วันนี้เขาก็ยินดีจะชดใช้ด้วยแขนข้างหนึ่งของเขา และเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่นิดเดียว

“ยังมีของอีกสิ่งหนึ่ง” ซูเจ๋อยกมือขึ้นมา ที่ปลายนิ้วมีสิ่งของสิ่งหนึ่งห้อยอยู่

เมื่อเฉินเสียนจ้องมองดูดีๆ มันคือลูกดอกสีดำที่ครั้งก่อนซูเจ๋อใช้มันเพื่อหลอกล่อเวรยาม

แววตาของเธอเต็มไปด้วยความดีใจขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่ลูกดอกนี้หายไป เธอก็หาอะไรที่ถนัดมือกว่านี้ไม่ได้อีกเลย

พอจะยื่นมือไปหยิบ ซูเจ๋อกลับยกมันขึ้นสูง

เฉินเสียนวางเจ้าน่องน้อยลงบนเตียง แล้วจึงลงมือแย่ง แต่ไม่ว่าจะแย่งยังไงก็แย่งกับซูเจ๋อไม่ไหว จึงเลิกแย่งพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความฉุน : “นี่ มีใครเขาคืนของให้กับเจ้าของเดิมแบบนี้กัน?”

ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ของสิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นของท่านตั้งแต่แรกเสียหน่อย ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยท่านหามันกลับมา จะฟังคำขอบคุณจากท่านสักคำ มันมากเกินไปหรือ?”

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “วันนี้ท่านตั้งใจจะมาโมโหใส่ข้าใช่หรือไม่ ในตอนแรกท่านเป็นคนปาลูกดอกนี่ พอเป็นคนไปเก็บกลับมา แต่ดันมาน้อยใจอย่างงั้นหรือ?”

เมื่อครู่นี้ใครใช้ให้นางยั่วโมโหเขา ตัดสินใจตั้งชื่อเล่นของลูกชายเองคนเดียว

ซูเจ๋อรีบทำตัวดีพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ในตอนแรกข้าตั้งใจจะใช้ปิ่นปักผมของท่านปาออกไป เมื่อกลับไปเก็บมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคืนท่าน แล้วข้ายังสามารถเก็บเอาไว้เอง แบบนี้ ไม่เท่ากับว่าข้ากำลังสูญเสียครั้งใหญ่เลยหรือ?”

เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้า : “ปิ่นปักผมของผู้หญิงท่านจะเก็บไว้ทำไม? หรือท่านจะฝึกเกล้าผมเหมือนผู้หญิง?”

“เก็บไว้เป็นที่ระลึก”

เฉินเสียนแทบจะสำลัก : “ท่านจะเก็บไประลึกอะไร?”

ซูเจ๋อหรี่ตาลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คนบางคนเคยพูดไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าจะตั้งใจเก็บเงินเพื่อเลี้ยงข้าเป็นนายบำเรอ ข้ากลัวว่านางพูดแล้วจะลืม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีของแทนใจ”

“น่าขันสิ้นดี ข้าไปทำข้อตกลงผูกใจกับท่านเสียตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ก็แค่การล้อเล่นขำๆ ท่านจริงจังหรือ?” เฉินเสียนจ้องเขาตาไม่กะพริบ

เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก : “ข้าจริงจังสิ ก็ในเมื่อที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีคนมาสารภาพรักกับข้าแบบนี้มาก่อน”

“……”

เฉินเสียนอึ้งไปชั่วครู่ พยายามทวนความจำทั้งก่อนและหลังรู้จักซูเจ๋อ สาบานได้เลยว่าเธอไม่เคยสารภาพรักอะไรกับคนคนนี้มาก่อน

เฉินเสียนไม่อยากจะยืดเยื้อให้เสียเวลา จึงพูดขึ้นว่า : “ข้าขอบคุณท่านมาก! ตอนนี้จะคืนของให้ข้าได้แล้วหรือยัง?”

ซูเจ๋อนำลูกดอกมาวางไว้บนมือของเธอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ของสิ่งนี้คมมาก อย่าทำตัวเองบาดเจ็บล่ะ”

“เชอะ ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย”

เมื่อได้ลูกดอกกลับมาแล้ว บรรยากาศในห้องจู่ๆ ก็เงียบสนิทขึ้นมาฉับพลัน

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ถ้าหากข้าไม่ออกปากไล่ท่านกลับ ท่านจะยังคงนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าใช่หรือไม่?”

“หากว่าท่านไม่ถือสา จะแบ่งเตียงสักครึ่งหนึ่งของท่านให้ข้านอน ข้าเองก็ยินดีจะนอน”

เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “แต่ข้าถือ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ดึกแล้ว ท่านรีบไปเถอะ ข้ากับเจ้าน่องน้อยจะเข้านอนแล้ว”

ซูเจ๋อลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เข้าสู่สารทฤดูแล้ว กลางดึกน้ำค้างหนาแน่น อย่าเปิดหน้าต่างให้กว้างเกินไป”

เฉินเสียนมองแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของเขา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ซูเจ๋อหมุนตัวกลับมา พูดต่อว่า : “ถ้าเกิดรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่แต่ในห้อง ก็ออกไปเดินเล่นที่สวนได้ จำไว้ว่าอยากไปตอนที่ลมกำลังมา”

“ข้ารู้แล้ว” เฉินเสียนเหมือนกำลังฟังหมอที่คอยกำชับแนะนำข้อห้ามต่างๆ

ซูเจ๋อกระตุกยิ้มที่มุมปาก ภายใต้แสงไฟเขาที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ใช่ยิ้ม แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “งั้นข้าไปก่อน”

เฉินเสียนห่มผ้าให้เจ้าน่องน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ต่อไปหากไม่มีเรื่องอะไร กลางคืนแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมา ข้าคิดว่ากลางค่ำกลางคืนท่านไม่นอนแต่กลับมาที่นี่ มันจะลำบากเกินไป”

“ข้าจะถือเสียว่าท่านห่วงใยข้า”

เฉินเสียนเม้มปาก แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ที่ข้ากลัวคือท่านจะมาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า ท่านขาดแคลนความรักความอบอุ่นขนาดนี้เชียวหรือ?”

ซูเจ๋อยิ้มบางเบา แล้วพูดขึ้นว่า: “ปกติแล้วข้าไร้คนข้างกาย จึงขาดความรักความอบอุ่นเป็นธรรมดา”

“งั้นท่านก็รีบไปหาคนข้างกายสิ”

“ไม่ล่ะ ความตั้งใจของข้าคือการเป็นนายบำเรอขององค์หญิง”

เฉินเสียนเหงื่อซึมทันที

ตอนที่ยังไม่รู้ฐานะของซูเจ๋อ เธอยังคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น ที่แค่พูดเอาตลกขบขัน

แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าซูเจ๋อเป็นบัณฑิตของราชวงศ์ปัจจุบัน เป็นราชครูของบรรดาองค์หญิงและองค์ชายในวัง เธอจะกล้าเอาเขามาเป็นนายบำเรอได้ยังไงกันล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยฐานะแบบนี้ ทั้งรูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์ คงจะแพงน่าดู

ไม่รู้ว่าจะต้องหาเงินขนาดไหนถึงจะซื้อเขากลับมาได้

หากว่าเธอรับเขามาเป็นนายบำเรอจริงๆ ละก็ คงไม่โดนผู้คนรุมด่าจนไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนหรอกหรือ

ไม่ว่าจะคิดยังไงก็รู้สึกไม่คุ้ม เพราะฉะนั้นก็ช่างมันเถอะ

ซูเจ๋อเพิ่งออกไปไม่นาน แม่นมซุยก็เข้ามาให้นมเด็กน้อย

เจ้าน่องน้อยตั้งหน้าตั้งตากินนม จู่ๆ ซูเจ๋อก็ย้อนกลับมา เคาะประตูเบาๆ

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset