ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 140 ข้าจะช่วยให้ท่านบรรลุผลเอง

ไม่รู้ทำไม เฉินเสียนถึงรู้สึกว่าในจิตใจของเขาแบกรับน้ำหนักสิ่งต่างๆ ไว้มากเกินไป ถ้าหากเป็นไปตามที่เข้าใจ แรงกดดันจะทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกเอาได้

ซูเจ๋อปกปิดความลับไว้มากมาย เขาเป็นเหมือนความไม่ชัดเจน

เฉินเสียนกล่าว: “ข้าเคยเป็นองค์หญิงมาก่อนถึงกลัวสิ่งเหล่านี้แต่ก็ยังอภัยให้ได้ ท่านกลัวอะไร? องค์จักรพรรดิก็ปกป้องท่านมากอยู่แล้ว? ซูเจ๋อ ตกลงแล้วท่านมีเหตุผลอันใด? ”

ซูเจ๋อถอนสายตากลับคืนมาแล้วเอียงมองเฉินเสียน

เขายกมือยีผมเธอ ชายเสื้อถูกลมพัดพลิ้วไหวและกล่าวว่า: “อาเสียน ฟังคำพูดของอาจารย์นะ หลังจากนี้เขลาสักนิดก็ดี ทั้งท่านและเจ้าน่องน้อยเขลาสักนิด ชีวิตนี้จะได้ยืนยาว”

เมื่อเจ้าน่องน้อยถูกเอ่ยขึ้นมา จิตใจของเฉินเสียนก็ถูกเจ้าน่องน้อยดูดซับเอาไว้

สีหน้าหม่นหมองและซึมลงเล็กน้อย

นางฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “ให้โง่ให้ซื่อสัตย์ไปเพื่ออะไร จะมัวรอให้โจรมาจวนท่านแล้วขโมยเอาทุกอย่างไป และกลัวว่าท่านจะไปแก้แค้นดังนั้นจึงได้เอาท่านมาเป็นเครื่องป้องกัน”

“เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว สุดท้ายจวนแม่ทัพย่อมปลอดภัยกว่าในพระราชวัง” ซูเจ๋อเอ่ยเสียงเบา “ช่วงนี้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ”

เฉินเสียนเอ่ย: “เจ้าน่องน้อยถูกเอาตัวไป ข้าไม่รู้ว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง ข้าเป็นแม่ของเขา ท่านคิดว่าข้าจะสบายดีอยู่หรือไม่? ” เธอเอามือข้างหนึ่งประคองที่คางไว้แล้วหันศีรษะให้มองไปอีกด้านหนึ่ง “น่าแปลก ข้าจะเอ่ยสิ่งเหล่านี้กับท่านอย่างไรดี”

ซูเจ๋อกระแอมไอ “ตอนข้าอยู่ในวังได้ไปแอบดูมาแล้ว”

เฉินเสียนรีบหันกลับมาจ้องมองเขา “เป็นเช่นไรบ้าง? ”

“ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก” เขาเอียงศีรษะเข้ามาใกล้ใบหูของนางเล็กน้อย “หากเทพพระเจ้าไม่อาจช่วยให้ความปรารถนาของท่านบรรลุผลได้ ข้าจะช่วยให้ท่านบรรลุผลเอง”

เฉินเสียนตกใจกับการที่ไม่ได้คำนึงถึงระยะห่างที่ใกล้กันมากของทั้งสองจึงเอ่ยถามว่า: “ท่านมีวิธีทำให้เขากลับมา? ”

ซูเจ๋อลูบผมที่อยู่ข้างใบหูนางให้เรียบแล้วกระซิบด้วยเสียงทุ้ม: “ลูกจะหนีห่างแม่ได้อย่างไร รอข้าอีกสักสองสามวันแล้วกัน”

ขณะนั้นรอบๆ ดวงตาของเฉินเสียนก็ร้อนผ่าวจึงเอ่ยไปว่า: “ซูเจ๋อ หากท่านทำให้เจ้าน่องน้อยกลับมาได้จริง ข้าเฉินเสียนจะจดจำหนี้บุญคุณของท่าน”

เขาถอนหายใจเบาๆ อย่างคลุมเครือ “ข้าต่างหากที่เป็นหนี้ท่าน”

“ท่านพูดอะไร? ”

ซูเจ๋อยกยิ้มที่ริมฝีปาก นิ้วเขี่ยเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ที่เอวของเฉินเสียนแล้วเอ่ยว่า: “ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าขลุ่ยนี้ท่านชอบหรือไม่”

เฉินเสียนก้มลงไปมองแล้วถือขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ในมือและใช้นิ้วลูบเล่นวนรอบไปมา “ท่านบอกว่าจะให้ของขวัญแก่ข้าโดยไม่มีเหตุผล ทำไมกัน? ”

“จะไม่มีเหตุผลได้อย่างไร นี่คือสัญลักษณ์แห่งความรักเชียวนะ”

คราวนี้เฉินเสียนควานหาจับใจความในสายตาของเขา เธอยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “หากข้าเชื่อท่านจะเจอกับสิ่งที่ไม่ดี”

เธอแก้มัดขลุ่ยไผ่จากเอว ยกมือขึ้นกลางอากาศ หรี่ตามองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาและเอ่ยว่า: “นี่ท่านแกะสลักเองเหรอ? ”

“ฝีมือใช้ได้หรือไม่? ”

“ท่านบอกข้าทีว่ายังมีอะไรที่ท่านยังทำไมได้? ” เฉินเสียนเอียงมองสองมือของเขา ปลายนิ้วทั้งสิบถูกตัดแต่งจนเรียวสวย เล็บก็เปล่งประกายราวแสงจันทร์”

มือคู่นี้ของเขาไม่รู้ว่าจะหนักกว่ามือฉินหรูเหลียงมากเท่าไร

ซูเจ๋อเอ่ย “นอกเมืองมีช่างไม้อยู่ท่านหนึ่ง เป็นช่างฝีมือมาหลายชั่วอายุคน เมื่อก่อนว่างๆ ได้ไปฝึกฝีมือกับเขาที่นั่น หากท่านชอบ ครั้งหน้าจะพาท่านไป”

เฉินเสียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “การมีทักษะหรือความสามารถบางอย่าง ในอนาคตก็พอที่จะเลี้ยงชีพได้”

“ยังจำวิธีเป่าขลุ่ยได้หรือไม่? ” ซูเจ๋อค่อยๆ เอนหลังลงบนกระเบื้องหลังคา ใบหน้าขาวผ่องหันไปทางดวงดาวและพระจันทร์

คล้ายกับว่าท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นถูกสายตาเขาจับจ้องไว้หมด

“ท่านดูถูกข้า” ถึงเรื่องอื่นเฉินเสียนจะทำไม่ได้แต่การแสดงศิลปะนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าคำพูด

“งั้นท่านเป่าให้ข้าฟังสักบทเพลงสิ”

ใต้แสงจันทร์สายลมพัดก็ได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เฉินเสียนก็จับเข้าที่กลางเลาขลุ่ยแล้ววางที่ริมฝีปากและเริ่มเป่า

เมื่อซูเจ๋อได้ฟังแล้วก็รู้สึกเคลิ้ม สองตาหรี่ลงเล็กน้อย ผมดำขลับแผ่กระจายอยู่ตามเสื้อผ้ามันสวยงามและดูไม่อันตราย

เฉินเสียนยังไม่ทันได้เป่าจบก็เห็นเขาเผลอยิ้มออกมา

เฉินเสียนคิ้วกระตุกและรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขานั้นมีความหมายที่ไม่ดีแฝงอยู่

“ข้าเป่าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ? ”เฉินเสียนมั่นใจในตัวเองมากในคาบเรียนดนตรีของตัวเองมาโดยตลอด

ซูเจ๋อยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากเสียงใสและเอ่ยอย่างวางมาดว่า: “เปล่า ข้ารู้สึกว่าการเป่าของท่านมีการพัฒนา”

“แล้วท่านยิ้มอะไร? ”

“หืม ข้ายิ้มไม่ได้หรือ? ”

ความรู้สึกของเฉินเสียนถูกเขาทำลายจนหมดเกลี้ยงจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “เห็นๆ ว่าข้ากำลังเป่าเพลงคิดถึงบ้าน ท่านจะบอกว่ามีอะไรน่าขันเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ขออภัย ที่ข้าคิดเรื่องนี้โดยไม่ระวัง”

เฉินเสียนเตะเข้าไปที่เขาและกล่าวว่า: “อ๋อ ท่านต้องการฟังข้าเป่าขลุ่ย แต่สุดท้ายกลับคิดเรื่องขลุ่ยและเรื่องอื่นไปด้วยใช่หรือไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าค่าตัวของนักปราชญ์นั้นแพงมาก!”

โชคดีที่นางรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นราตรีที่แสนหวานชื่นที่สั้นเกินไป….ไม่สิ เฮ้ย! มันเป็นบรรยากาศที่สวยงาม!

ไม่มีใครทำให้เสียบรรยากาศได้เท่าซูเจ๋อแล้ว

ซูเจ๋อจับข้อเท้าของเฉินเสียนไว้อย่างชำนาญและเอ่ยเพียงว่า: “อย่าโวยวายสิ สูงขนาดนี้ถ้าตกลงไปตายได้เลยนะ”

“กลัวอะไร ตกแล้วตายก็ช่างข้าสิ”

“ถ้าท่านไม่โมโหแล้วข้าจะบอกท่านว่าเมื่อกี้ข้ายิ้มทำไม”

เฉินเสียนเหลือบตามองเขาแล้วเอ่ย: “หากข้าบอกว่าข้าไม่อยากรู้ ท่านต้องตะลึงแน่ ท่านไม่บอกข้าเลยต้องเก็บเอาไว้ในใจ เก็บเอาไว้จนท่านตาย”

ซูเจ๋อลุกขึ้นนั่งและจัดชายเสื้อลวกๆ และเอ่ยอย่างเนิบนาบ: “จริงๆ แล้วขลุ่ยนี้…..ช่างเถอะ ข้าจะยังอดกลั้นมันเอาไว้”

เฉินเสียน: “ให้ตายเถอะ ข้าเกลียดการพูดครึ่งๆ กลางๆ ที่สุด ซูเจ๋อนี่ท่านกำลังดึงให้เกลียดอยู่ใช่ไหม? ”

ซูเจ๋อยิ้มแล้วเอ่ย: “จริงๆ แล้วขลุ่ยนี้ข้าเคยเป่าแล้ว ข้ากำลังคิดว่ามันจะนับเป็นจูบทางอ้อมได้หรือไม่”

เขามองใบหน้าที่หม่นลงของเฉินเสียนและเอ่ยว่า: “ท่านรู้สึกไม่ดีหรือไม่ สู้ไม่ให้ข้าพูดเสียดีกว่า”

เฉินเสียนจับที่หน้าผาก; “สู้ท่านไม่พูดยังดีเสียกว่า” หยุดไปพักหนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นอีกว่า: “นี่ทำให้ท่านลำพองใจเกินไปหรือเปล่า คิดๆ อยู่ก็หัวเราะออกมาได้”

“จะมีได้ที่ไหนกันล่ะ” ซูเจ๋อเอ่ยอย่างกลั่นแกล้ง “เอาล่ะ ข้ายอมรับ ความจริงแล้วก็มีนิดหน่อย”

“เพิ่งจะมีเพียงนิดหน่อยหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านดีใจจนลืมตัวแล้ว” เฉินเสียนไม่ได้โมโหกับความผิดปกตินี้สักนิดและยิ้มออกมา และต่อจากนั้นอยู่ๆ ก็เข้าใกล้ซูเจ๋อ มือคว้าที่ปกคอเสื้อเขาไว้และดึงมาทางตัวเอง

ซูเจ๋อตกใจ ชั่วพริบตาพื้นที่ปลายจมูกเธอก็ถูกหักล้างกันพอดี มันใกล้ชิดกันมากสุดๆ

เพียงครั้งนี้ทั้งสองไม่ได้สวมใส่หน้ากาก

เขามองเห็นสีมันวาวในดวงตาของเฉินเสียนได้อย่างชัดเจน

เฉินเสียนเอ๋ยเสียงเบา: “ซูเจ๋อ แกล้งข้าสนุกมากหรือไม่? แต่เห็นท่านได้ใจขนาดนี้ ข้าก็ไม่ผิดหวัง” ขณะพูดก็ก้มคอดอมดมที่ซอกคอของเขา

“ซูเจ๋อ ท่านหอมมาก”

ซูเจ๋อชะงักไปชั่วขณะ: “……”

เธอเงยหน้ามองเขา กลั้นยิ้มและเอ่ยเบาๆ ว่า: “อยากจูบไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมเช่นนั้น มันควรที่จะเป็นเหมือนเช่นนี้”

พูดจบเธอก็เอียงศีรษะก้มลงไปที่ริมฝีปาก และจู่ๆ ก็เข้ามาปัดป่ายอยู่ที่ริมฝีปากของซูเจ๋อ

ซูเจ๋อตัวแข็งอยู่บนชายคา ช่วงเวลานั้นที่เฉินเสียนแตะที่ตัวเขา ลมหายใจของเขาทะลุจมูกของเธออย่างลึกล้ำ หัวใจเธอบีบแรงจนเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดออกมา

เพียงชั่วพริบตาเดียว เฉินเสียนก็ผละออกจากเขา

นางคิดว่านางต้องถูกอารมณ์เขาทำให้สับสนแน่นอน

แต่ไหนแต่ไรซูเจ๋อชอบมาล้อเล่นด้วย ถ้าจะจริงจังจริงๆ เจ้านี่จะต้องได้ใจอย่างแน่นอน

ในขณะนั้นเฉินเสียนเพียงแค่กำลังคิดและก็ไม่อาจทำให้เขาลำพองใจอย่างนี้ได้

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset