ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 144 ขอบใจนะ ซูเจ๋อ

ยังพูดไม่ทันจบเฉินเสียนก็ขัดจังหวะเสียก่อน “พอแล้ว ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว โอ๊ย เจ็บหน้าอก ไปให้พ้นเลย ท่านมันเป็นผีหัวโต!”

ซูเจ๋อจึงต้องวางเข็มเงินลงและกล่าวว่า “ยังมีวิธีที่ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อ ท่านจะลองดูไหม”

“วิธีไหน”

ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ “หากท่านไม่ถือสา ข้าช่วยใช้มือนวดลงบนจุดฝังเข็มเพื่อให้คลายออกมาได้ ด้วยวิธีนี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อแล้ว”

เฉินเสียนกัดฟันกรอดและเอ่ยว่า “ข้าถือสา!”

ซูเจ๋อนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยและแนะนำว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องใช้วิธีดั้งเดิมที่สุด ถ้าท่านไม่ถือสา ข้ายังใช้ปากได้”

เฉินเสียนหมดหวังโดยสิ้นเชิง เธอนอนแผ่ลงบนเตียงและเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าท่านจะมาเพื่อแหย่ข้าเล่น”

ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ และบอกว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าตั้งใจช่วยท่านจากใจจริง แต่ท่านต่างหากที่ไม่ยอมให้ข้าช่วย”

“ถ้าข้าขอท่านช่วยก็พิลึกไปแล้ว”

ซูเจ๋อเลิกล้อเล่นและกล่าวว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ท่านบอกให้เอ้อร์เหนียงนำผ้ามาประคบร้อนให้ วันหนึ่งทำหลายๆ ครั้ง แล้วดูว่าอาการดีขึ้นไหม”

เขาหมุนเข็มเงินช้าๆ และกล่าวต่อว่า “ถ้ายังไม่ดีขึ้น ท่านจำเป็นต้องเลือกหนึ่งในสามวิธีที่ข้าบอกไปเมื่อครู่นี้ ไม่เช่นนั้นถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน”

มุมปากของเฉินเสียนกระตุกขึ้น เธอกล่าวว่า “ท่านกลายมาเป็นหมอตำแยตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่ปัญหาต่างๆ ของสตรีท่านก็รู้วิธีรักษาหมดเลยหรือ”

“ไม่นานมานี้ข้าบังเอิญได้ศึกษาพอดี จึงพอรู้บ้างนิดหน่อย”

ซูเจ๋อหยอกล้อกับเจ้าน่องน้อยอยู่พักหนึ่งเหมือนอย่างเคย แม้ว่าเจ้าน่องน้อยจะหลับไปแล้วและไม่สนใจเขา เขาก็เล่นอยู่คนเดียวอย่างสนุกคึกคัก

อาจจะเป็นเพราะเจ้าน่องน้อยน่ารักมากๆ จนใครเห็นเป็นต้องเอ็นดู กับซูเจ๋อก็ไม่มีข้อยกเว้น

สีหน้าของเขาอ่อนโยนมาก เขาถามขึ้น “หลังจากกลับมาแล้วยังร้องอีกไหม”

เฉินเสียนตอบว่า “ได้ยินว่าเขาร้องไห้บ่อยมากตอนอยู่ในวัง แต่ข้าไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง เพราะพอกลับมาเขาก็ไม่เปล่งเสียงใดๆ อีกเลย”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “ตอนนี้ท่านก็วางใจได้แล้วว่าลูกชายไม่ได้เป็นใบ้”

เฉินเสียนฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เธอจึงเอ่ยว่า “ซูเจ๋อ คราวหน้าท่านช่วยเติมคำว่า ‘ของท่าน’ ไว้หลังคำว่า ‘ลูกชาย’ ได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นคนจะเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ‘ลูกชายของท่านไม่ได้เป็นใบ้’ แบบนี้ฟังแล้วจึงค่อยถูกต้องหน่อย หรือไม่ท่านจะเรียกเขาว่าเจ้าน่องน้อยก็ได้”

“คราวหน้าข้าจะระวัง” เขาลุกขึ้น “นี่ก็ดึกแล้ว ท่านกับเจ้าน่องน้อยรีบพักผ่อนเถิด ข้าไปละ”

เฉินเสียนช่วยห่มผ้าให้เจ้าน่องน้อยและเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา เขาเพิ่งจะเดินไปถึงประตูและกำลังจะเปิดมันออก ทันใดนั้นเฉินเสียนก็เรียกเขาไว้ “ซูเจ๋อ”

ซูเจ๋อหยุดเดินทว่าไม่ได้หันกลับมา เขาเพียงแต่ยกหางเสียงขึ้นเล็กน้อย ฟังแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจถูกจั๊กจี้ด้วยขนนก “อาลัยอาวรณ์ข้ารึ”

เฉินเสียนยิ้มตาหยี “ท่านไม่ได้โกหกข้าจริงๆ และช่วยให้ข้าสมความปรารถนา ขอบใจนะ ซูเจ๋อ”

ซูเจ๋อเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนเปิดประตูและเดินออกไป

วันรุ่งขึ้นแม่นมซุยทำตามคำสั่งด้วยการนำน้ำร้อนเข้ามา นางใช้ผ้าชุบน้ำบิดจนหมาดและประคบไว้ที่หน้าอกของเฉินเสียน

หลังจากทำไปสองสามครั้ง อาการของเฉินเสียนก็เริ่มดีขึ้น

ตอนที่อวี้เยี่ยนนำอาหารกลางวันมาส่ง เฉินเสียนยังคงนั่งอยู่ที่ขอบเตียงและกำลังดึงผ้าที่ประคบอยู่ที่หน้าอกของเธอออก

อวี้เยี่ยนตักซุปไก่ให้หนึ่งถ้วยพลางพูดว่า “องค์หญิงรีบมาเสวยเถิดเพคะ”

เฉินเสียนเดินมานั่งลงที่โต๊ะ เธอจิบซุปไก่และถามว่า “ในระยะนี้สถานการณ์ที่สวนดอกพุดตานเป็นอย่างไรบ้าง”

อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “ตั้งแต่องค์หญิงทำลายมือของท่านแม่ทัพ ที่สวนดอกพุดตานก็เงียบสงบมาระยะหนึ่งแล้วเพคะ คิดว่าแม่นางหลิ่วคงไม่กล้ามาตอแยองค์หญิงอีก บ่าวได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้ท่านแม่ทัพเองก็ไม่ค่อยไปที่สวนดอกพุดตานแล้ว แต่ไปหาเซียงซั่นอยู่สองสามคืนเพคะ”

“สองสามวันมานี้เซียงซั่นคงลำพองใจ แม่นางหลิ่วกับนางแอบแข่งขันกันอยู่เงียบๆ บ่าวเห็นมาหลายทีแล้ว ว่าเซียงหลิงแอบทำอะไรบางอย่างในอาหารของเซียงซั่น”

เฉินเสียนวางถ้วยลง เอ่ยโดยไม่แสดงความเห็นใดๆ ว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเซียงหลิงเป็นคนฉลาด”

หลังพลบค่ำวันนี้เซียงหลิงไปเตรียมหยูกยาอาหารมาให้หลิ่วเหมยอู่และเดินผ่านไปทางศาลาริมทะเลสาบ

นางไม่คิดว่าอยู่ๆ อวี้เยี่ยนจะถลันมาขวางทางไว้ ทำให้นางไปต่อไม่ได้

เซียงหลิงถอยหลังไปสองก้าว อวี้เยี่ยนเอ่ยเสียงเย็นว่า “องค์หญิงขอให้เจ้าไปนั่งที่ศาลาสักครู่”

เซียงหลิงมองไปทางศาลาและเห็นรางๆ ว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ การเรียกหานางในเวลานี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

เซียงหลิงกล่าวว่า “บ่าวกำลังไปนำยามาให้นายหญิงรอง ไม่รบกวนเวลาสุนทรีขององค์หญิงจะดีกว่า”

แต่ยังไม่ทันที่เซียงหลิงจะได้ไปไหน เสียงของเฉินเสียนก็ดังแว่วมาจากทางศาลา “อวี้เยี่ยน ถ้านางกล้าไป ข้าจะผลักนางตกลงไปในทะเลสาบแล้วปล่อยให้จมน้ำตาย”

เซียงหลิงหน้าถอดสี อวี้เยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

เฉินเสียนหันหน้าไปทางทะเลสาบและหันหลังให้นางพลางกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ามีทางเลือกเพียงสองทาง จะมาคุยกับข้า หรือลงไปเป็นผีพรายที่ก้นทะเลสาบ เจ้าเลือกเอง”

ในที่สุดเซียงหลิงจึงเดินก้มหน้าเข้าไปในศาลาอย่างระมัดระวัง เอ่ยอย่างมีพิธีรีตองว่า “บ่าวเข้าเฝ้าองค์หญิง ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ”

เฉินเสียนหันกลับมองนางและกล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าข้าจะพูดอะไรกับเจ้า เจ้าจะสารภาพความจริงเองหรือจะให้ข้าถามทีละประโยคๆ”

“บ่าวโง่เขลา องค์หญิงโปรดชี้นำด้วย”

“นั่นหมายความว่าเจ้าจะไม่สารภาพสินะ”

เฉินเสียนบังคับเซียงหลิงให้ถอยไปที่ริมศาลา เซียงหลิงก้าวถอยหลังจนกระทั่งก้าวต่อไปอีกไม่ได้ ตัวของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย

เซียงหลิงกล่าวว่า “บ่าว… บ่าวไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เพคะ…”

เฉินเสียนเลิกคิ้ว เอ่ยเนิบๆ ว่า “ไม่ต้องร้อนใจไป ข้ายังไม่ทันได้ถามอะไร เจ้าก็บอกเสียแล้วว่าไม่รู้ ไม่ตอบเร็วเกินไปหน่อยหรือ”

ความรู้สึกของการข่มขู่ที่น่ากลัวนี้ทำให้เซียงหลิงไร้ทางหนี นางเคยเห็นวิธีที่เฉินเสียนใช้มากับตาของตัวเองแล้ว

คืนนี้หากนางไม่สารภาพให้เฉินเสียนฟัง ต่อให้นางจะเข้ามาในศาลาหรือไม่ เฉินเสียนก็ไม่มีทางปล่อยนางไปอยู่ดี!

เซียงหลิงเป็นสาวใช้ข้างกายหลิ่วเหมยอู่ นางน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบ

เซียงหลิงกลัวจนหงอเมื่อเฉินเสียนขยับเข้ามาใกล้ นางยื่นมือออกไปผลักเธอโดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณของร่างกายบอกให้นางหาทางหนี

ทว่าเฉินเสียนไม่ใช่ผู้หญิงท้องโตอุ้ยอ้ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ตอนนี้เธอมีรูปร่างประเปรียวยิ่งกว่าตอนนั้นหลายเท่า

ชั่วพริบตาเดียวเธอก็คว้ามือของเซียงหลิงไว้ได้ จากนั้นจึงกระชากเซียงหลิงกลับมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ จนตัวนางกระแทกเข้ากับเสาระเบียงในศาลาอย่างแรง

เซียงหลิงโอดครวญด้วยความเจ็บ วินาทีถัดมานางเปิดปากเตรียมจะร้องตะโกน

ขอเพียงแค่เรียกใครสักคนมาได้ก็พอ ต่อให้หนีไปตลอดชีวิตไม่ได้ ขอแค่ตอนนี้หนีพ้นก็ยังดี!

แต่ทันทีที่เซียงหลิงเปิดปาก เฉินเสียนก็รัดคอของนางไว้ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

ลำคอของเซียงหลิงถูกกดแน่นจนส่งเสียงใดๆ ออกไปไม่ได้ หนำซ้ำยังหายใจลำบาก

เฉินเสียนหรี่ตาและกระซิบว่า “คิดหนีรึ? ข้ายังไม่ทันอนุญาต เจ้าจะหนีไปแล้วหรือ”

เซียงหลิงเริ่มเตะขาทั้งสองข้างเพื่อต่อสู้ดิ้นรน พยายามใช้มือของตนง้างมือของเฉินเสียนออก แต่เฉินเสียนไม่สะทกสะท้าน และนางก็ไม่อาจหลุดพ้น

เฉินเสียนกดร่างของนางไว้ที่เสาระเบียงและพูดว่า “ตอนนี้ข้าจะเริ่มถามเจ้า รอจนเจ้านึกคำตอบออกแล้ว ข้าจึงจะปล่อยให้เจ้าพูด”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset