ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 181 หุ่นกระบอกคู่หนึ่ง

เฉินเสียนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “งั้นนางก็ต้องตาถั่วแล้วล่ะ ท่านไม่ต้องไปสนใจหรอก”

“อืม ท่านบอกไม่ต้องไปสนใจ งั้นข้าก็ไม่สนใจ”

เฉินเสียนวางเค้กบนถาดนึ่ง นี่คือไฟจากถ่าน เธอไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ ล้มเหลวได้ง่าย ไม่ง่ายเพียงแค่ใส่ลงในหม้อนึ่งแล้วนึ่ง

เฉินเสียนนวดแป้งไปพูดไป “ถ้ากล่าวถึงเค้กแนวตะวันตกข้าก็พอทำได้บ้าง แต่ถ้าท่านจะให้ข้าทำเนื้อทำปลาข้าทำไม่ได้ และก็ไม่สามารถกินเพียงแค่เค้กนี่ ข้าวางแผนที่จะทำเส้นหมี่ซั่วให้ท่าน แต่ข้าก็ไม่สามารถนวดแป้งให้ยาวได้ งั้นใช้มีดทำหมี่ซั่วแทนละกัน”

“ได้” ซูเจ๋อกล่าว “สิ่งที่ท่านทำข้ากินได้หมด”

เมื่อก่อนที่เฉินเสียนอยู่คนเดียว ถ่ายหนังเสร็จกลับบ้านเหนื่อยๆ ไม่อยากจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ทำหมี่กินคนเดียวก็สิ้นเรื่อง

นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ

ซูเจ๋อตักฟืนแล้วใส่ลงในเตา

แสงไฟส่องลงบนใบหน้าของเขา อบอุ่นและเป็นประกาย

เฉินเสียนผัดเนื้อสับก่อน ทอดไข่ จากนั้นต้มน้ำให้เดือด

ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำก็เดือด และควันก็ปกคลุมทั่วทั้งห้องครัว ราวกับอยู่ในหมอก

เมื่อซูเจ๋อช้อนตาขึ้น มองเงาเฉินเสียนที่กำลังยุ่งวุ่นได้ไม่ชัดเจนในหมอกสีขาว เขาค่อยๆมองลึกลงไป ไม่มีที่สิ้นสุด

เฉินเสียนไม่รู้สึกตัว มือข้างหนึ่งรองก้อนแป้งเอาไว้ อีกข้างถือมีด หั่นแป้งออกมาเป็นแผ่นบางๆ ใส่ลงไปในหม้อ

เมื่อบะหมี่สุก เฉินเสียนตักเส้นบะหมี่และแบ่งเป็นสองชาม วางเนื้อสับ ไข่ดาว และโรยด้วยต้นหอมซอยเล็กน้อย บะหมี่สองชามก็พร้อมแล้ว

และเค้กในถาดก็ใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน

คืนนี้จะไม่มีของเลิศหรู มีเพียงแต่บะหมี่สำหรับคนธรรมดา

เฉพาะเค้กนึ่งที่เพิ่งออกมาเท่านั้นที่ดูแปลกใหม่ เฉินเสียนวางชิ้นผลไม้บนเค้กและเขียนคำว่า “สุขสันต์วันเกิด”

เฉินเสียนจุดเทียนสองสามเล่มบนโต๊ะอาหารและฮัมเพลงวันเกิดให้เขาเบา ๆ เหมือนว่าจะเป็นเพลงที่จับใจคนฟังมากที่สุด

เฉินเสียนกล่าว “ท่านเป่าเทียนเสร็จก็อธิษฐานได้เลย”

ซูเจ๋อยิ้ม “ยังสามารถอธิษฐานได้อีกหรือ?”

“แน่นอนว่าได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่มันจะกลายเป็นจริงนะ”

ด้วยเหตุนี้ซูเจ๋อกล่าวยิ้มๆ “งั้นข้าอธิษฐานเลยแล้วกัน หวังว่าหลังจากทานเสร็จ อาเสียนจะไม่รีบหนีไป อยู่กับข้านานๆ”

มุมปากของเฉินเสียนยกขึ้น “ท่านพูดออกมาแล้ว มันจะไม่เป็นจริงแล้วล่ะ”

หลังจากนั้นทั้งสองก็กินบะหมี่ของตัวเอง เฉินเสียนนั้นหิวมาตั้งนานแล้ว จึงกินอย่างขะมักเขม้น

เทียบกันแล้ว ซูเจ๋อนั้นกินอย่างค่อนข้างสุขุม

เขากินไปสองสามคำ ก็กล่าวออกมาว่า “อาเสียน ทำบะหมี่อร่อยมาก”

เฉินเสียนไม่ทันตั้งตัว สำลักบะหมี่ในคอ เธอหันศีรษะไปไออย่างรุนแรง กลั้นเอาไว้จนใบหน้าสีแดงก่ำ

ซูเจ๋อมาลูบหลังให้เธออย่างใจดี กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ทาน ถ้าไม่พอในถ้วยข้ายังมีอีก”

เฉินเสียนหายใจทั่วท้อง ถลึงตาใส่เขา กล่าวอย่างเหวี่ยงๆ “พูดภาษาที่มนุษย์เขาพูดกันดีๆได้หรือไม่? ท่านจะต้องไม่ได้เรียนภาษามาให้ดีแน่ๆ ทำบะหมี่เป็นการกระทำ จะอร่อยได้อย่างไร ที่อร่อยน่ะบะหมี่ ไม่ใช่ทำบะหมี่!”

ซูเจ๋อกล่าว “ข้าพูดไม่ถูกต้อง ท่านก็ช่วยแก้ไขให้ข้าถูกต้องอย่างใจเย็นหน่อยสิ ทำไมจะต้องมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?”

“ข้าชิ…..” เฉินเสียนหมดคำพูด ถอนหายใจยาว “ช่างมันเถอะ ท่านเป็นคนสมัยโบราณ พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ”

ซูเจ๋อขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง กระแอมแล้วกลั้นยิ้มกล่าวว่า “ท่านคิดลึกหรือไง?”

เฉินเสียนรีบเปลี่ยนสีหน้า “คนเลว ก็รู้ว่าท่านจงใจพูดจาไร้สาระ!”

เฉินเสียนแปลกใจ ซูเจ๋อเอาบ่าวรับใช้ไปไว้ไหนหมด เธอไม่เห็นเงาแม้แต่คนเดียว

เมื่อทานบะหมี่เสร็จ ซูเจ๋อก็ทานเค้กไปอีกครึ่งหนึ่ง ถึงจะเห็นพ่อบ้านที่เคยเจอกันสองสามครั้งเดินเข้ามาจากข้างนอก กล่าวว่า “ใต้เท้ามีจดหมายขอรับ”

จดหมายมีผู้ส่งสารมาส่ง นั่นแปลว่าค่อนข้างเร่งด่วน มิฉะนั้นก็จะไม่มารีบมาส่งในเวลาเข้าพลบค่ำ

ซูเจ๋อสำรวมดูสบายๆ เอื้อมมือออกไปรับจดหมาย และขอให้พ่อบ้านส่งผู้ส่งสารกลับอย่างปลอดภัย

ถ้าต้องการตอบกลับจดหมาย รอจนกว่าเขาจะอ่านมันแล้วจึงตอบกลับ ก็ยังจะต้องให้ผู้ส่งสารที่ส่งจดหมายกลับ

ซูเจ๋อหยิบจดหมายในมือออกจากห้องอาหาร เขาหยุดที่ประตูและมองย้อนกลับไปที่เฉินเสียน “ท่านจะตามไปด้วยหรือจะกลับตามลำพัง?”

ไม่ใช่ว่าเฉินเสียนไม่เคยกลับตามลำพัง อีกทั้งในตอนกลางคืนก็มีอะไรดีๆ

เฉินเสียนถาม “ถ้าข้าไม่กลับเอง ไม่รบกวนท่านอ่านจดหมายตอบจดหมายหรอกหรือ?”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “เกรงว่าจะไม่”

ดังนั้นเฉินเสียนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปห้องตำรากับซูเจ๋อ

ซูเจ๋อจุดตะเกียงและม้วนม่านไม้ไผ่ ซึ่งยังมีไม้กฤษณาอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในกระถางธูป

โต๊ะและสิ่งของต่างๆ ในห้องตำรานี้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

ซูเจ๋อคลี่กระดาษจดหมายและอ่านจดหมาย โดยไม่ห้ามไม่ให้เฉินเสียนเดินเล่นไปรอบๆ ในห้องตำราของเขา

หนังสือบนชั้นวางจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ดูก็รู้ว่าซูเจ๋อมักจะพลิกดูตำราเหล่านี้ หนังสือสะอาดและปราศจากฝุ่น

เฉินเสียนมองดูอย่างเบื่อหน่ายชั่วครู่หนึ่ง และดูเหมือนจะพบสิ่งที่น่าสนใจในมุมที่ซ่อนอยู่

เธอเอื้อมมือไปล้วงมัน

ล้วงอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบของออกมา มองอย่างตั้งใจ แต่ก็ต้องตกตะลึง

นั่นคือหุ่นกระบอกคู่หนึ่ง

ผู้ชายที่เธอดูออก ครั้งที่แล้วที่เธอออกไปนอกเมือง เธอเรียนแกะสลักตามแบบของซูเจ๋อ โครงร่างนั้นคลุมเครือและไม่มีเค้าโครงความหล่อเหลาของซูเจ๋อ

เฉินเสียนคิดว่านี่เป็นความล้มเหลว

คิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อเก็บมันไว้ตลอดเวลา

เฉินเสียนมองไปที่อีกอันหนึ่ง

นี่คือหุ่นกระบอกที่ดูเหมือนผู้หญิง สีเข้มมาก มองแวบแรกก็ดูเก่าแก่มาก

เปรียบเทียบแล้ว ภาพนี้ละเอียดอ่อนกว่าที่เธอแกะสลักไว้มาก อาจเป็นเพราะมันเก่าเกินไป และรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนดั้งเดิมนั้นมีจุดด่างพร้อยมาก

เฉินเสียนใช้นิ้วลูบใบหน้าของหุ่นกระบอก และความรู้สึกแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา

ทันใดนั้นภาพที่เหลืออยู่ในหัวก็พุ่งออกมา แต่ก็หายวับไป

เธอรู้สึกเลือนราง หุ่นกระบอกนี้ถูกแกะสลักตามผู้หญิงคนหนึ่งด้วย เหมือนกับที่เธอใช้ซูเจ๋อเป็นแบบ

ซูเจ๋อจ้องไปที่กระดาษจดหมาย ทันใดนั้นเฉินเสียนก็โผล่หัวออกมาจากด้านหลังเขาและถามว่า “ใครส่งจดหมายมาหรือ?”

“เหลียนชิงโจว” ซูเจ๋อพับจดหมายอย่างใจเย็น

เมื่อเฉินเสียนได้ยินว่านั่นคือเหลียนชิงโจว เธอพูดด้วยความสงสัยในทันทีว่า “ท่านนำมาให้ข้าดูหน่อย”

เมื่อพูดเช่นนี้ ซูเจ๋อก็ยื่นกระดาษจดหมายไปที่แสงเทียนแล้ว จุดไฟเผาทันทีที่มัน

เมื่อเห็นแบบนี้เฉินเสียนก็พูดว่า “ทำไมต้องรีบร้อนเช่นนี้? มันต้องมีอะไรที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้แน่ๆ”

ซูเจ๋อพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ดังนั้น ท่านรู้น้อยๆ นั่นแหละดีแล้ว”

ซูเจ๋อเริ่มคลายปากกาและกระดาษ เขาหันหลังกลับอย่างไม่สนใจนัก เขาเห็นหุ่นกระบอกสองตัวที่ถืออยู่ในมือของเฉินเสียน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ท่านหามันเจอ”

ตอนซูเจ๋อตอบกลับจดหมาย เฉินเสียนก็วางตุ๊กตาสองตัวไว้บนโต๊ะแล้วถามว่า “ท่านแกะสลักตุ๊กตาผู้หญิงตัวนี้หรือไม่?”

“เมื่อก่อนตอนเพิ่งเริ่มเรียนข้าแกะสลักมันน่ะ”

“แกะสลักใครหรือ? เป็นเด็กกำพร้าที่เป็นลูกผู้มีบุญคุณที่ช่วยท่านใช่หรือไม่?”

ซูเจ๋อหลับตาลงและกล่าวเบา ๆ ว่า “คืนนี้ท่านถามมากเป็นพิเศษเลยนะ ทำให้ข้าคิดว่าท่านสนใจข้า”

เฉินเสียนโค้งริมฝีปาก “ชิ ข้าแค่เสียดายแทนท่านนิดหน่อย จนกระทั่งนางแต่งงานท่านก็ไม่สามารถส่งสิ่งนี้ไปให้ได้”

“ข้าหน้าบางจะตาย”

เฉินเสียนยกริมฝีปากยิ้มและกล่าวว่า “ท่านหน้าบางที่ไหนกันล่ะ ทำไมข้าดูไม่ออกเลย”

###你下面味道很好吃 ประโยคนี้มีความหมายสองแบบคือ บะหมี่ของคุณอร่อยมาก และ ด้านล่างของคุณอร่อยมาก จึงทำให้เฉินเสียนสำลัก####

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset