ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 301 ความปรารถนาส่วนตัวของเขา

ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบเบาบาง : “นับตั้งแต่องค์จักรพรรดิของสมัยโบราณ อำนาจและตำแหน่งที่สูงส่ง ครึ่งหนึ่งถูกนำมาใช้เพื่อปกครองราชอาณาจักร ส่วนอีกครึ่งใช้เพื่อตอบสนองความปรารถนาของตัวเอง ความปรารถนาส่วนตัวของข้าไม่ใช่การครอบครองผืนใต้หล้านี้ แต่ขอแค่เพียงได้ปกป้องคุ้มครองท่านก็พอแล้ว หากทั้งใต้หล้านี้เป็นของข้าผู้เดียว จะมีประโยชน์อันใดกันเล่า”

เฉินเสียนอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอสั่นไหวภายใต้แสงเปลวไฟนั่น เธอหรี่ตาลงช้าๆ ยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก

ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “หากวันข้างหน้าท่านได้ขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งสูงๆ ข้าก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าใครจะมารังแกพวกท่านแม่ลูกได้อีก อาเสียน ท่านมีความปรารถนาส่วนตัวหรือเปล่า?”

เธอยิ้มจนรู้สึกแสบตาเหมือนจะร้องไห้

ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรปวดใจ

เฉินเสียนถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ เธอเงยหน้าขึ้นมามองออกไปยังท้องฟ้านอกชายคา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าจะมีความปรารถนาส่วนตัวได้ยังไงกัน ความปรารถนาหนึ่งเดียวของข้าก็คือการได้เคียงคู่กับท่านตลอดไปไง”

ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงที่น่าหลงใหล : “ยังดี ความปรารถนาส่วนตัวนี้ยังไม่สั่นคลอนไปถึงตำแหน่งและอำนาจขององค์จักรพรรดิ ท่านสามารถใช้สองสิ่งนี้เพื่อสร้างความผาสุกให้กับอาณาจักรต้าฉู่ สักวันอาณาจักรจะมั่งคั่งและราษฎรจะเข้มแข็ง จะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน อาเสียน น้ำเดือดแล้ว”

ไม่รอให้เฉินเสียนได้ตอบกลับ ซูเจ๋อก็จัดการเทน้ำร้อนลงในถังไม้ แล้วเติมน้ำเย็นเข้าไปเพื่อตั้งไฟใหม่ เฉินเสียนเติมฟืนเพิ่มเพื่อต้มน้ำต่อ

ซูเจ๋อยกถังน้ำพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไปเถอะ ข้าจะช่วยท่านยกน้ำร้อนไปที่ห้อง”

เฉินเสียนที่กะจะยกเอง จึงพูดขึ้นว่า : “ให้ข้ายกดีกว่า อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี แล้วยังจะยกของหนักอีก”

“เป็นเรื่องปกติมาก ไม่เป็นปัญหาหรอก”

ซูเจ๋อไม่ได้เปิดโอกาสให้เฉินเสียนได้ยกน้ำเอง เขาหมุนตัวแล้วเดินไปข้างหน้าทันที เฉินเสียนจึงทำได้แค่เดินตามหลังไป

เมื่อเข้าห้องไปแล้ว ซูเจ๋อก็ถามขึ้นว่า : “น้ำพอรึเปล่า ถ้าไม่พอข้าจะไปต้มใหม่มาอีกหนึ่งถัง”

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “พอแล้ว ข้าใช้ประหยัดๆ หน่อยก็พอแล้ว”

เมื่อช่วยเฉินเสียนยกน้ำเสร็จแล้ว ซูเจ๋อจึงค่อยกลับไปต้มน้ำต่อ เพื่อนำกลับไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเอง

ดึกมากแล้ว

ในที่สุดคืนนี้ฝนก็หยุดตกจนได้ ไฟตะเกียงทั้งเมืองของเมืองอวิ๋น ค่อยๆ ดับลงช้าๆ

จะว่าไปแล้ว ตอนที่ซูเจ๋อและเฮ่อโยวออกจากเมืองหลวงไป ติดตามการเดินทางของกองเกียรติยศ ถึงแม้มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเสมอ แต่ในท้ายที่สุดก็สามารถกลับมาถึงที่อาณาเขตโดยสวัสดิภาพ

กองเกียรติยศคือกองทหารที่องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้มาประกบเฝ้าระวังโดยเฉพาะ แม่ทัพโฮ้วไม่กล้าชักช้า ดังนั้นเขาจึงดูแลและคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

พวกเขารีบเดินทางจากเมืองเสวียนไปยังเมืองอวิ๋น ถือเป็นการพบปะกับกองเกียรติยศ กองเกียรติยศได้จัดเตรียมที่พักในจวนให้พวกเขา

ในกองเกียรติยศนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีสายขององค์จักรพรรดิ ที่แม่ทัพโฮ้วพาพวกเขาเข้าไปในจวน ก็เพื่อที่จะสอดส่องได้สะดวกขึ้น

ข้างนอกนั่น ราษฎรตื่นตระหนกทหารวุ่นวาย เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาเพิ่ม แม่ทัพโฮ้วออกคำสั่งให้ทหารในกองเกียรติยศทุกคนเฝ้าจวนให้ดี ห้ามทิ้งจวนไว้ตามอำเภอใจ

พอดีกับวันนี้ที่ฝนหยุดตก หัวหน้าของกองเกียรติยศก็ได้แอบออกมาจากลาน ไปยังข้างกำแพงของลานที่ที่ไม่มีคนพบเห็น

ที่ข้างกำแพงมีนกพิราบอยู่ตัวหนึ่ง กำลังร้องเสียง “กูรู กูรู” อยู่พอดี

หัวหน้าผู้นั้นโบกมือเบาๆ นกพิราบก็บินมาเกาะอยู่ที่ข้อมือของเขา

เขายื่นมือเข้าไปล้วงจดหมายออกจากคอเสื้อ เตรียมจะสอดจดหมายเข้าไปไว้ในกระบอกจดหมาย

เวลานั้นเอง จู่ๆ ข้างๆ ก็มีเสียงพูดน้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้น : “เจ้ากำลังจะทำอะไร?”

หัวหน้าผู้นั้นสะดุ้งตกใจ หันหน้าไปดูทันที เห็นซูเจ๋อที่กำลังเดินมาที่ด้านหลังของเขาเงียบๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาว่า : “ที่ ที่แท้แล้วเป็นใต้เท้าซูนี่เอง”

เขาได้ระวังตัวอย่างดีแล้ว แต่ซูเจ๋อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเองไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

ซูเจ๋อที่สวมชุดดำทั้งชุด บนชุดที่เขาสวมใส่ไม่มีคราบดินโคลนเลยสักนิด ลมหายใจของเขาค่อนข้างชื้น นัยน์ตาคู่เรียวยาว เขาทอดสายตามองมายังหัวหน้ากองเกียรติยศ แววตาของเขาเรียบเฉยและไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลย พลอยทำให้หัวหน้าผู้นั้นรู้สึกกลัวจนตัวเย็นชืด

ซูเจ๋อมองดูนกพิราบสื่อสารในมือของเขาและจดหมายที่ยังไม่ทันได้ใส่ลงไปในกระบอกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าจะส่งจดหมาย ทำไมถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ พรุ่งนี้ให้ผู้ส่งสารช่วยเจ้าส่งไปยังจุดพักม้า แล้วค่อยส่งกลับเมืองหลวงไปก็ได้”

หัวหน้าจึงพูดขึ้นว่า : “ใต้เท้าซูพูดถูก ข้าน้อยเพียงแค่เห็นว่าวันนี้ฝนหยุดตก ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ฝนอาจจะตกอีกก็ได้ ยังต้องไหว้วานผู้อื่น ขอใต้เท้าซูอย่าได้ประหลาดใจ ข้าน้อยเพียงแค่ปฏิบัติหน้าที่ขอรับ”

“ในจดหมายนั่นเขียนอะไรไว้?” ซูเจ๋อที่จู่ๆ ก็ถามขึ้น

หัวหน้าอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ได้โปรดให้อภัยด้วย ข้าน้อยไม่สามารถรายงานได้ขอรับ”

เฮ่อโยวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เบาโล่งสบายตัว แต่เขากลับรู้สึกหิวจนนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจออกมาหาอะไรกิน

แต่นึกไม่ถึงเลยว่าในขณะที่กำลังเดินผ่านทางเดินที่คดเคี้ยว ก็เห็นมีคนอยู่ที่กำแพงของลาน

เมื่อเฮ่อโยวเพ่งมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นซูเจ๋อกับคนคนหนึ่งของกองเกียรติยศ เขาจึงตัดสินใจจะเดินเข้าไปถามว่าพวกเขากำลังทำอะไรลับๆ ล่อๆ ในที่แบบนี้

แต่ยังไม่ทันที่เฮ่อโยวจะได้พูดอะไร จู่ๆ ซูเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหันหน้ามองมาทางเขาทันที

แววตาของซูเจ๋อดำสนิท สงบนิ่งไร้คลื่นความเคลื่อนไหว

เวลานี้เอง ซูเจ๋อก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า : “องค์หญิงจิ้งเสียนมาได้อย่างไร?”

เฉินเสียน? เฮ่อโยวหันไปมองรอบๆ ที่ตรงนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก

หัวหน้ากองเกียรติยศเห็นซูเจ๋อหันหน้ามองไปทางด้านหลังของเขา เขาเลยนึกว่าองค์หญิงจิ้งเสียนมาจริงๆ จึงรีบหันกลับไปดู

แต่วินาทีนั้น เฮ่อโยวอกสั่นขวัญแขวนไปหมด เมื่อเห็นซูเจ๋อยื่นมือไปจับคอของหัวหน้าคนนั้นแล้วยกขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงกระดูกเคลื่อนที่ดังขึ้นกรุบกรับ จากนั้นหัวของหัวหน้าก็ทิ้งตัวเอียงลงบนมือของซูเจ๋อ

หัวหน้าไม่ทันได้ร้องอุทานออกมาด้วยซ้ำ พอซูเจ๋อปล่อยมือ เขาก็ล้มตัวนอนลงบนพื้นทันที

นกพิราบสื่อสารที่ตกใจกำลังจะบินหนี ซูเจ๋อเอื้อมมือไปจับขาของมันไว้ มันพยายามดิ้นรนบินหนีสุดแรงเกิด แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถบินหลุดไปได้

ซูเจ๋อดึงจดหมายออกจากมือของหัวหน้าคนนั้น แล้วคลี่ออกมาดูอยู่ครู่หนึ่ง

คนที่ดูเหมือนอ่อนโยนและไม่เป็นอันตรายตรงหน้านี้ แค่เพียงพริบตาเดียว ก็ได้จัดการปลิดชีวิตของคนคนหนึ่งไปอย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาเขา

เฮ่อโยวรู้ดีว่าซูเจ๋อเป็นคนแบบไหน ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นเขาฆ่าคนโดยไม่กะพริบตามาแล้ว วันนี้พอได้เห็นกับตาอีกรอบ ก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่ดี

เฮ่อโยวยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่ขยับอยู่พักใหญ่

ซูเจ๋อกวาดตาอ่านจดหมายผ่านๆ พลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “ดึกขนาดนี้ เจ้าออกมาทำไม?”

เฮ่อโยวรู้สึกเสียวต้นคอตัวเองขึ้นมาทันที กลัวว่าซูเจ๋อจะอารมณ์ไม่ดี แล้วจับเขาฆ่าปิดปากด้วย

เฮ่อโยวจึงรีบตอบกลับไปว่า : “ข้าหิว เลยออกมาหาอะไรกิน เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น”

“อืม” ซูเจ๋อตอบกลับผ่านๆ

เฮ่อโยวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นว่า : “ในจดหมายเขียนว่าอะไรหรือ?”

ซูเจ๋อม้วนจดหมายเก็บ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จะเป็นอะไรได้อีก นอกเสียจากเรื่องอาเสียนออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในวันนี้ ได้เป็นที่รักของราษฎรและทหารที่ประจำการอยู่ที่อาณาเขตชายแดน

เฮ่อโยวพูดขึ้นว่า : “หากว่าฝ่าบาททรงเห็นจดหมายนี้แล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยเฉินเสียนไว้แน่”

“จะว่าไปเจ้าไม่ได้ส่งจดหมายเข้าเมืองหลวงนานแล้วไม่ใช่หรือ” ซูเจ๋อพูดขึ้น : “พรุ่งนี้เจ้าเขียนจดหมายแล้วนำไปให้ผู้ส่งสาร ให้พวกเขาส่งจดหมายเข้าเมืองหลวงไป”

เฮ่อโยวจับจมูกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ตั้งแต่พวกท่านไปยังอาณาจักรเย่เหลียง เมืองเสวียนก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรอีกเลย ก็เลยไม่ได้เขียนจดหมายมานานมากแล้ว แล้วตอนนี้จะให้ข้าไปเขียนอะไรล่ะ?”

“เกิดอะไรขึ้นบ้างก็เขียนลงไปให้หมด ฝ่าบาทสนใจเรื่องการเจรจาสันติภาพของทั้งสองอาณาจักรเป็นพิเศษ”

เฮ่อโยวตอบกลับไปว่า : “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเขียนทันที” จากนั้นเขาก็หันไปมองคนที่นอนอยู่บนพื้น แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “แล้วเขาล่ะ จะทำยังไง?”

“ไปเรียกอาจารย์ของเจ้ามา เขารู้ว่าจะต้องจัดการยังไง”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset