ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 348 มองเห็นแต่กลับไปไม่ได้

เฉินเสียนไม่มีทางเลือก เธอทำได้เพียงก้าวยาวๆ ออกไปจากถ้ำโดยมีซูเจ๋อก้าวตามออกมาอย่างไม่รีบร้อน

ทั้งสองคนนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นสนซึ่งมีหิมะกองสะสมอยู่หนาตาที่สุด

เฉินเสียนกอบหิมะขึ้นมา แต่ยังไม่ทันไรซูเจ๋อก็หยิบออกไป

เธอมองนิ้วที่เรียวยาวราวกับหยกของซูเจ๋ออย่างอึดอัด เขาบีบหิมะจนกลายเป็นก้อนกลม แล้วหิมะก็ละลายหยดลงมาจากซอกนิ้วขาวๆ ที่กลายเป็นสีแดงเล็กน้อยเพราะความหนาวเย็น

ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน รับน้ำสิ”

น้ำค่อนข้างเย็นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นจัด

น้ำใสๆ จากหิมะชะล้างความเหนียวเหนอะบนมือของเฉินเสียนทีละน้อย เธอค่อนข้างเขินอาย แต่ก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้ว่า “รู้สึกเหมือนข้าจะทำเรื่องบ้าๆ ลงไปแล้ว”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ ท่านใช้เพียงมือเดียวก็เอาเปรียบข้าได้แล้ว”

“…” เฉินเสียนกลับคำ “พูดอะไรควรมีมโนธรรมหน่อยเถอะ เห็นได้ชัดว่าท่านเอาเปรียบข้าก่อนแต่ไม่สำเร็จ ข้าจึงต้องช่วยท่านจัดการปัญหาที่ตามมา”

ทันทีที่พูดออกไป ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เพียงแต่บรรยากาศหวานชื่นที่ห้อมล้อมอยู่ระหว่างคนทั้งสองได้ช่วยทำให้ความเขินอายหายสิ้นไป

เมื่อเฉินเสียนล้างมือจนสะอาด ลูกบอลน้ำแข็งในมือของซูเจ๋อก็แทบจะละลายจนหมด

เธอสะบัดหยดน้ำในมือ ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางป่าที่เงียบสงัดและดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เสียงฝีเท้านั้นไม่ได้เร่งรีบ ซูเจ๋อกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะหาเจอแล้ว”

“ซูเจ๋อ” เฉินเสียนเรียกเขาเบาๆ

เขาขานรับสั้นๆ อยู่ข้างกายเธอ

เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”

“ความสัมพันธ์แบบไหนหรือ”

เฉินเสียนเม้มริมฝีปากและหรุบตาไม่มองเขาตรงๆ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ก็ความสัมพันธ์แบบตอนที่อยู่ในถ้ำนะสิ บางทีหลังจากออกไปจากที่นี่ ข้าคงต้องทำเป็นห่างเหินกับท่านเหมือนก่อนหน้านี้และรักษาระยะห่างจากท่าน”

เธอหยุดไปครู่หนึ่งและกล่าวอีกว่า “ตอนนี้ยังไปไม่ถึงเมืองหลวง ขณะที่ข้ายังเปิดปมในใจได้ไม่หมดสิ้น ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองก็ตายไปแล้ว สาวใช้ในสถานที่พักรับรองต่างก็มองเราออกทันที แล้วหลังจากกลับไปเมืองหลวงจะเป็นเช่นไรล่ะ ข้าไม่อยากนำปัญหามาให้พวกเรา”

คราวนี้เธอไม่ลังเลและไม่สับสนอีกต่อไป ภายในใจของเธอรับรู้ได้ถึงความสงบที่แท้จริง ถ้าหากว่าเป็นเพื่ออนาคตของเธอและซูเจ๋อ คราวนี้เธอจะต้องจัดการกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เธอมีต่อซูเจ๋อไม่ให้หลงเหลือ จะปล่อยให้ใครสังเกตเห็นไม่ได้แม้แต่น้อย

“กลับไปเมืองหลวง…” ซูเจ๋อหรี่ตาและเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้วางแผนจะให้ท่านกลับไปที่เมืองหลวง เมื่อไปถึงเมืองถัดไปและได้ติดต่อกับข้าราชบริพารเก่าที่อยู่ที่นั่น ท่านจะต้องลงไปทางใต้เพื่อไปสมทบกับกองกำลังทหารในเขตใต้ของแม่ทัพโฮ้ว”

เฉินเสียนชะงักไป เมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นเงารางๆ ของฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวที่อีกด้านหนึ่งของป่า

เธอถามว่า “ถ้าไม่กลับเมืองหลวง แล้วเจ้าน่องน้อยล่ะ”

“ข้าจะหาวิธี”

ขณะที่เฉินเสียนกำลังจะถามว่าเขาคิดจะทำอย่างไร สองคนนั้นก็พบพวกเธอเข้าพอดี

เฮ่อโยวตะโกนขึ้นมาทันที “เฉินเสียน ที่แท้พวกท่านก็อยู่ที่นี่เอง! ข้ากับแม่ทัพฉินเลยหาง่ายๆ หน่อย!”

เฉินเสียนยังไม่ทันถามเรื่องที่ค้างคา เฮ่อโยวก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาและถามอีกว่า “พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม เมื่อครู่เราเพิ่งพบศพของนักฆ่าอยู่ตรงนั้น”

ทุกอย่างเห็นได้ชัด ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่านั่นจะต้องเป็นผลงานของซูเจ๋อแน่นอน

เฉินเสียนส่ายศีรษะและบอกว่า “พวกเราไม่เป็นไร”

ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ในเมื่อไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นก็รีบลงไปจากภูเขากันเถอะ”

เมื่อเดินทางไปถึงเมืองถัดไป เมืองหลวงก็อยู่ใกล้เพียงนิดเดียว หากเร่งเดินทาง อย่างเร็วที่สุดก็จะถึงเมืองหลวงภายในสามถึงห้าวัน

แต่ซูเจ๋อวางแผนไว้ว่าจะไม่กลับเมืองหลวง และต้องขี่ม้าลงใต้ทันทีหลังจากที่เขาไปติดต่อกับข้าราชบริพารเก่า

หัวใจของเฉินเสียนค่อยๆ จมดิ่งและยังปล่อยวางไม่ได้

เธอเห็นเมืองหลวงอยู่ใกล้เพียงแค่นี้ แต่ตอนนี้กลับทำได้แค่มองทว่ากลับไปไม่ได้

ถึงแม้ซูเจ๋อบอกว่าจะหาวิธี ทว่าเฉินเสียนก็ยังอดห่วงเจ้าน่องน้อยไม่ได้ เธอไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าน่องน้อยเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเขาต้องอยู่ที่เมืองหลวงตลอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรเฉินเสียนก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเขา

โชคดีที่ในเมืองหลวงยังมีเหลียนชิงโจวอยู่ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น เหลียนชิงโจวจะต้องมาคอยดูแลเขาทันที

เมื่อซูเจ๋อกลับมาและกำลังจะเข้ามาในเรือน เฉินเสียนก็ไปยืนขวางไว้ที่หน้าประตู

เธอถามว่า “ท่านไปติดต่อแล้วได้เรื่องอย่างไรบ้าง”

ซูเจ๋อตอบว่า “ทุกอย่างราบรื่น พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปทางใต้”

เขายืนอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เสื้อผ้าและเส้นผมเป็นสีดำขลับ เขานิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นและยิ้มให้เฉินเสียนอย่างอ่อนโยน ใช้นิ้วที่ทั้งอุ่นและเย็นลูบเส้นผมที่ข้างหูของเธอและกล่าวว่า “ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ท่านได้ใจของผู้คนมามากมาย การเดินทางของอาเสียนไม่ได้สูญเปล่า วันนี้ข้าเดินผ่านโรงน้ำชาและได้ยินว่าชายนักเล่าเรื่องที่อยู่ในนั้นยังคงเล่าเรื่องขององค์หญิงจิ้งเสียนอยู่”

เฉินเสียนยกยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่ฝีมือของข้า แต่ทั้งหมดเป็นความดีความชอบของท่าน”

“ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือการชี้ทางให้ท่าน คนที่ตัดสินใจเดินไปตามเส้นทางสายนี้ได้ มีเพียงแค่อาเสียนเท่านั้น” ดวงตาที่ดำสนิทราวกับหมึกของซูเจ๋อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทาสลัว “อาเสียน เหมันตฤดูใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เหมันตฤดูปีนี้เพิ่งจะเริ่มต้น”

ซูเจ๋อเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร

เฉินเสียนครุ่นคิดนิดหนึ่งและกล่าวว่า “เราจะต้องออกเดินทางลงใต้พรุ่งนี้แล้วหรือ มันจะเร็วไปไหม ตอนนี้เมืองหลวงก็อยู่ไม่ใกล้แล้ว ถ้าข้า…”

เธออยากจะบอกว่า ถ้าเธอปลอมตัวและแอบซ่อนตัวเข้าไปในเมืองหลวงแล้วพาเจ้าน่องน้อยออกมา เธอก็จะไม่กังวลใจใดๆ อีกต่อไป ในอนาคตต่อให้ฟ้าจะสูงทะเลจะกว้างสักเพียงใด เธอกับซูเจ๋อก็จะฝ่าไปอย่างเต็มที่

ซูเจ๋อย่อมรู้ดีว่าเธอต้องการจะพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงขัดขึ้นว่า “แม้จะอยู่ไม่ไกล แต่ตอนนี้ในเมืองหลวงจะต้องมีหูมีตาเฝ้าดูอยู่แน่นอน ทันทีที่ท่านกลับไป ทันทีที่เข้าไปในจวนแม่ทัพ เรื่องจะต้องถึงพระกรรณของจักรพรรดิทันทีเป็นแน่ ถึงตอนนั้นจะยังไปได้อีกหรือ”

เฉินเสียนขมวดคิ้วและถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะใช้วิธีใดเพื่อพาเจ้าน่องน้อยออกมา ให้เหลียนชิงโจวพาออกมารึ”

ซูเจ๋อมีสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “ท่านกับเจ้าน่องน้อยยังมีโอกาสได้เจอกันอีก เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา หรือท่านอยากจะพาเขาขึ้นเหนือล่องใต้ พาไปบากบั่นและทรมานอย่างนั้นหรือ”

เฉินเสียนพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ก็ใช่ เขาเพิ่งอายุแค่หนึ่งขวบ ข้าพาเขามาด้วยไม่ได้ และไม่อาจทำให้เขาเห็นความขัดแย้งตั้งแต่ยังเล็ก แต่ว่า… จะให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะกังวลว่าจักรพรรดิจะใช้เขามาบีบบังคับข้า”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เจ้าน่องน้อยปลอดภัยดี”

แม้ว่าจะถูกจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ใช่จุดอ่อนมาข่มขู่ แต่ตราบใดที่เฉินเสียนยังมีชีวิตอยู่ดี เจ้าน่องน้อยก็จะปลอดภัย

ถ้าบอกเฉินเสียนในเวลานี้ คิดๆ ดูแล้วเธอคงไม่ฟัง ด้วยความห่วงใยจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอไม่มีทางทนมองเจ้าน่องน้อยตกอยู่ในกำมือของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ได้แน่

เมื่อเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของซูเจ๋อ เฉินเสียนจึงไม่รบเร้าถามหาสาเหตุอีกและบอกเพียงว่า “ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ”

ชุดสีดำของซูเจ๋อขาดแล้ว นอกจากนี้ยังมีรอยเลือดอยู่ด้วย แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่สวมใส่แล้วก็คงไม่สบายนัก

เฉินเสียนออกไปในเมืองและซื้อชุดใหม่มาหนึ่งชุด เป็นชุดสีดำแบบที่เขามักสวมใส่

เฉินเสียนถือชุดทาบลงตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะพอดีตัวหรือเปล่า ท่านลองสวมดูสิ”

ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ พลางรับชุดมาและกล่าวว่า “อาเสียนช่างมีน้ำใจ”

ถึงอย่างไรก็ยังไม่ต้องรีบร้อนกลับไปเมืองหลวง เฉินเสียนจึงคิดเอาเองว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างจากเขา เธอจึงอยากดูแลเขาให้ดี

แต่ปากของเฉินเสียนกลับพูดไปว่า “แค่เดินผ่านไปเห็นก็เลยซื้อมา”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset