ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 439 ซูเจ๋อ ท่านมันคนเลว

ตรอกที่อยู่ใกล้เคียงแถวนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวของเหล่าทหารในวัง คาดว่ายังไม่ได้มาค้นหาถึงที่นี่ หากว่าตอนนี้หิมะไม่ได้ตกหนักจนสามารถกลบเกลื่อนร่องรอยจนหมดสิ้นแล้วล่ะก็ เวลานี้จะกลับไปจัดการกับร่องรอยเหล่านั้นก็ยังทัน

ลานสวนที่คุ้นเคย ความเงียบงันที่กระจายแผ่ซ่านไปทุกที่

ในห้องจุดไฟสว่างไสว ที่ดูเหมือนจะนำมาซึ่งความอบอุ่น

พ่อบ้านหยุดฝีเท้าอยู่ที่ประตูหน้าลานสวน เฉินเสียนเดินเข้าไปใต้ชายคา ยืนอยู่หน้าประตูห้องของซูเจ๋อ เธอเอื้อมมือเพื่อเปิดประตูเข้าไป

ตั้งแต่ซูเจ๋อกลับมาก็ไม่ได้ออกจากห้องอีกเลย เขาได้สั่งการพ่อบ้านและทุกคนในเรือนให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สังเกตการณ์และเฝ้าระมัดระวังความเคลื่อนไหวข้างนอกนั่นเสมอ

ถึงแม้ว่าเขาจะสวมชุดดำทั้งชุด แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดรอยเลือดที่ชุ่มไปทั้งตัวและกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง รวมถึงฝีเท้าที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จะให้พ่อบ้านไม่เป็นห่วงได้อย่างไรกัน

พ่อบ้านเฝ้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ยินว่ามีคนมาเคาะที่ประตู ในตอนแรกคิดว่าเป็นเหล่าทหาร แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเฉินเสียนที่มาเคาะประตูหลังเรือนด้วยตัวคนเดียว

เมื่อได้สติจากอาการตกใจแล้ว พ่อบ้านจึงรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีไปอีกแบบ

องค์หญิงมาแล้ว ใต้เท้าจะได้ไม่ต้องจัดการบาดแผลด้วยตัวคนเดียวในห้อง

ทุกครั้งที่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เขามักจะจัดการด้วยตัวเองเสมอ ไม่เคยเรียกให้ผู้ใดเข้าไปในห้องเพื่อช่วยเขาเลยสักครั้ง

เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ค่อนข้างรุนแรงมาก ครั้นซูเจ๋อกลับมาถึง เขาเองก็ได้หมดสติไปรอบหนึ่งแล้ว เขานั่งอยู่บนพื้น พิงร่างกับขาโต๊ะ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หลับตาลงเบาๆ เพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง

เมื่อพอจะดีขึ้นนิดหน่อย จึงค่อยๆ ปลดเสื้อสีดำออก ตรวจบาดแผลบนร่างกายของตัวเอง แล้วจึงเตรียมรักษาอาการบาดเจ็บของเขา

ผมที่ค่อนข้างยุ่งเล็กน้อยจากจอนผมทิ้งตัวลงบนบ่า ทำให้ใบหน้าที่ซีดและผ่ายผอมดูชัดเจนยิ่งขึ้น นัยน์ตาคู่เรียวยาวดุจขุนเขา กำลังอ่อนล้าอย่างที่สุด เลือดแดงสดไหลรินออกจากปากแผล แต่เขากลับไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่นิด

ราวกับว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย

เขาใช้ชีวิตและร่างกายบุกเข้าวังหลวงฝ่าวงล้อมทหารเวรยามและทหารรักษาพระองค์ เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อสำรวจบาดแผลเสร็จแล้ว กำลังเตรียมจะทายา แต่แล้วจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก

ซูเจ๋อตอนนี้ค่อนข้างฟุ้งซ่าน ความตื่นตัวและไหวพริบจึงไม่เพียงพอ บวกกับที่นอกประตูยังมีหิมะตกหนักอีกด้วย จึงกลบเสียงฝีเท้าของเฉินเสียนไปจนหมด

ทันใดนั้นเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่ดำสนิทและมืดมิด ห้วงเวลาที่มองเห็นเฉินเสียนนั้น ดุจหิมะที่กำลังหลอมละลาย ที่เหลือไว้เพียงแสงสว่างจากเปลวเทียน

ซูเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ฝืนยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าที่ขาวซีด : “เวลานี้ท่านควรอยู่ที่งานเลี้ยงฉลองในวังหลวงมิใช่หรือ? ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”

เขาค่อยๆ ขยับชายเสื้อเบาๆ เพื่อปกปิดบาดแผลของเขา

แต่เฉินเสียนได้เห็นทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว ภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยของเขา ปกปิดบาดแผลที่น่ากลัวแค่ไหนไว้กัน

เธอก้าวเท้าเดินเข้ามา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ขบกรามแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านทำไขสือกับข้าหรือ ท่านไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าข้ามาที่นี่ทำไมกัน?”

รอยยิ้มซูเจ๋อจางลงไปมาก เขารู้ว่าพ่อบ้านคงจะอยู่ไม่ไกลมาก จึงพูดขึ้นว่า : “พ่อบ้าน เชิญองค์หญิงไปดื่มน้ำชาอุ่นๆ ที่ห้องโถงก่อน”

เมื่อพูดจบ เฉินเสียนก็ปิดประตูดังปัง พ่อบ้านที่อยู่ข้างนอกยังไม่ทันจะตอบกลับด้วยซ้ำไป

เฉินเสียนเดินตรงมาหาเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านไม่อยากให้ข้ามาเห็นท่านในสภาพนี้ใช่หรือเปล่า?”

เธอค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้าซูเจ๋อ เปิดเสื้อสีดำสนิทที่แนบชิดร่างกายของเขาออก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า : “แต่ข้าเห็นมันทั้งหมดแล้ว”

ภายใต้เสื้อสีดำสนิทนั้น เต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด จู่ๆ เฉินเสียนก็นึกถึงฉากที่เขาถูกก้อนหินถล่มลงมาทับ ตอนที่เขาใช้ร่างกายสร้างช่องว่างเป็นเกราะกำบังให้เธอ

จนตัวเขาเองท่วมท้นไปด้วยบาดแผลเหมือนเมื่อครั้งนั้น ร่องรอยของแผลเป็นยังคงเด่นชัดบนแผ่นหลังของเขา

และครั้งนี้ บนไหล่ เอวและแผ่นหลังของซูเจ๋อนั้นก็ยังเต็มไปด้วยบาดแผล บาดแผลที่ค่อนข้างลึก จนชุดของเขานั้นชุ่มไปด้วยเลือด จนถึงตอนนี้เลือดก็ยังไม่ยอมหยุดไหล

เฉินเสียนเดินไปหยิบกล่องยาภายในห้องของซูเจ๋อ ก้มหน้าลงไม่พูดอะไรสักคำ พยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่ออยู่เต็มเบ้าตานั้นให้ไหลกลับไป

เธอจะไม่ยอมให้น้ำตามาบดบังการมองเห็นอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการรักษาบาดแผลของซูเจ๋อได้

“อาเสียน คุยกับข้าหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะหลับได้” ซูเจ๋อที่จู่ๆ ก็พูดขึ้น

น้ำเสียงของเขาฟังดูครุมเครือไม่ชัดเจน ราวกับว่าเป็นความฝันที่มิอาจเป็นจริงได้ยังไงอย่างงั้น

เป็นเพราะอาการบาดเจ็บเขาสาหัสเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายของเขาลดลงไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้ร่างกายของเขาอ่อนแอดุจกระต่ายตัวน้อย เขาเองต้องการหลับตาลงเพื่อนอนหลับ ร่างกายของเขาก็ต้องการจะพักผ่อน

แต่กว่าจะได้เจอหน้ากันทั้งที ซูเจ๋อมองดูสีหน้าท่าทางของเฉินเสียนที่กำลังจัดการกับบาดแผลของเขานั้น ก็รู้สึกทำใจหลับตาลงไม่ได้

เฉินเสียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ท่านกลับมาแล้วทำไมถึงยังนั่งอยู่ที่พื้น?”

ซูเจ๋อจึงตอบกลับไปว่า : “พอเดินเข้าประตูมาก็หมดแรง ไม่มีแรงจะไปที่เตียง” เขาที่ไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยฝืนตอบกลับไป

เฉินเสียนหยุดชะงักไป เธอทำความสะอาดแผลเสร็จแล้วก็เริ่มทายา จากนั้นจึงนำผ้ามาพันรอบแผลไว้ ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงค่อยพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ ท่านมันคนเลว”

ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า : “ข้าเลวตรงไหนกันล่ะ?”

เธอจ้องเขาเขม็งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ : “ท่านเลวไปหมดนั่นแหละ ห้ามหลับเด็ดขาดนะ ท่านลองกล้าหลับดู”

บนพื้นเย็นขนาดนี้ หากเขานอนหลับไป จะเย็นเข้าเนื้อได้

ซูเจ๋อเชื่อฟังเธอ เขาพูดขึ้นว่า : “ได้ ท่านบอกห้ามนอน ข้าก็จะไม่นอน”

ไม่ว่าเฉินเสียนจะโมโหแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจดุเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ท้ายที่สุดแล้วน้ำเสียงของเธอจึงนุ่มนวลและเบาบางลง : “หากจะนอนหลับก็รอให้ข้าจัดการบาดแผลของท่านเสร็จก่อน แล้วค่อยไปนอนที่เตียง”

ซูเจ๋อหรี่ตาลง พิงศีรษะกับโต๊ะ มองดูเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน

เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าจมูก พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า : “ทำไมถึงไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้? ทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกข้าก่อน? ที่แท้แล้วท่านเป็นคนประมาทหุนหันพลันแล่นแบบนี้หรอกหรือ?”

ซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า : “อยู่ในวังหลวง หากไม่ใช้วิธีที่อันตรายหน่อย ก็จะไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ ไม่ว่าจะอันตรายหรือปลอดภัย ข้าได้เคยทดลองมาหมดแล้ว จึงรู้ว่าวิธีไหนได้ผลที่สุด”

เฉินเสียนเม้มปากเบาๆ เธอพูดขึ้นด้วยไหล่ที่สั่นเทา : “แต่ท่านรู้หรือเปล่าว่าตัวท่านเองเกือบจะกลับมาไม่ได้แล้ว? ท่านรู้หรือเปล่าว่าตัวท่านเองถูกล้อมรอบด้วยเหล่าทหารมากมายขนาดนั้น เหล่าทหารรักษาพระองค์และทหารเวรยามที่ต่างพากันตามหาท่านแทบพลิกแผ่นดิน!”

ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยความรู้สึกเสียใจว่า : “ครั้งนี้ค่อนข้างล้มเหลว ที่ถูกพบเจอเร็วขนาดนี้ ตอนแรกข้าคิดว่าคงจะไม่ถูกพบเจอเร็วขนาดนั้น อย่างน้อยตอนที่ข้าถูกพบเจอ ควรจะเป็นตอนที่ข้าอยู่ห่างจากประตูวังไม่ไกลมากแล้ว”

เขาพูดเสียงเบาบางว่า : “ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงอันตรายไปหน่อย แต่หากสามารถพาเจ้าน่องน้อยออกมาได้ แลกกับการเสี่ยงอันตรายแบบนั้นก็ถือว่าคุ้ม เจ้าน่องน้อยเป็นแก้วตาดวงใจของท่าน หากเขาไม่สามารถมีอิสรภาพ ท่านเองก็จะไม่สามารถมีอิสรภาพด้วยเช่นกัน”

แววตาของเฉินเสียนมืดมนไปในทันที เธอยืดตัวขึ้น เข้าไปกอดคอซูเจ๋อ น้ำตาไหลหยดลงบนคอของเขา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าใจว่า : “ท่านไม่ใช่ซูเจ๋อของข้า ซูเจ๋อของข้ามักวางแผนก่อนเสมอ ข้าไม่ต้องการให้ท่านบุกไปทำอะไรแบบนี้โดยที่ไม่วางแผนก่อน!”

“หากท่านวิ่งช้ากว่านี้อีกนิดล่ะจะทำยังไง? หากถูกพวกเขาฆ่าตายล่ะจะทำยังไง?” เฉินเสียนพี่พยายามอดทน แล้วจึงพูดต่อว่า : “ข้าไม่อาจจะจินตนาการได้……ท่านเพิ่งจะรอดพ้นจากความตายมาอย่างหวุดหวิด ถนอมรักษาชีวิตของท่านเองบ้างได้หรือไม่?”

น้ำตาอุ่นๆ ค่อยๆ ไหลรินลงบนคอเสื้อของเขาอย่างช้าๆ

ซูเจ๋อจู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด ริมฝีปากที่ขาวซีดค่อยๆ เม้มแน่นด้วยความขมขื่นและพึงพอใจในเวลาเดียวกัน

“อาเสียน ท่านต้องรู้ ว่าที่ข้าบุกวังหลวงในวันนี้ มันอาจจะเสี่ยงอันตราย แต่มันเป็นวิธีเดียวที่ง่ายที่สุดแล้ว”

ครั้งนี้ล้มเหลว ครั้งต่อไปค่อยคิดหาวิธีช่วยเจ้าน่องน้อยออกมาใหม่ จะต้องทุ่มเทและตั้งใจให้มากขึ้นกว่าเดิม

“จะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่เราช่วยกันคิดและปรึกษากัน จะต้องเจอวิธีที่ดีได้อย่างแน่นอน” เฉินเสียนค่อยๆ ผละออกจากเขา ปาดน้ำตาเบาๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า : “ซูเจ๋อ ครั้งหน้าหากท่านแอบไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ลับหลังข้าอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ละเว้นท่านแน่”

ซูเจ๋อหลับตาลงช้าๆ แล้วค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาท่วมท้นไปด้วยความอบอุ่นและเปล่งประกายสว่างไสว : “งั้นครั้งหน้าข้าคงไม่กล้าแล้วอย่างแน่นอน”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset