ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 449 อนาคตแม่จับเขานำมาเป็นท่านพ่อของเจ้าก็ได้แล้ว

เสี่ยวเฮอกล่าวว่า “อาจจะดีขึ้นมามากหน่อยแล้ว รายละเอียดบ่าวก็ไม่รู้ บ่าวก็ได้ยินนางกำนัลคนอื่นๆที่ไปส่งพระราชบุตรกับองค์หญิงที่สำนักพูดกันเพคะ”

เจ้าน่องน้อยคึกคักมีชีวิตชีวา วันหนึ่งต้องมีไม่กี่คนมาสับเปลี่ยนเฝ้าดูเขาเล่น

วันนี้หลังช่วงกลางวัน เจ้าน่องน้อยนั่งที่ริมทะเลสาบหน้าพระตำหนักไท่เหอหยอกล้อจระเข้ เงยหน้ามองไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ มองเห็นเงาคนเรือนลางเดินผ่านฝั่งตรงข้าม

เจ้าน่องน้อยก็ปีนป่ายขึ้น วิ่งโซเซไปถึงสะพานไม้แล้ว

เสี่ยวเฮอไม่ได้สนใจ คิดว่าเขามองพระราชบุตรหรือองค์หญิงพระองค์ไหนเล่นอยู่บริเวณใกล้เคียง เหมือนกับตอนเช้าตรู่ที่พระราชบุตรและองค์หญิงตรงไปท่องตำราที่โรงเรียนไท่ ที่เจ้าน่องน้อยมักจะมองดูอยู่เสมอ

เจ้าน่องน้อยสายตาดีมาก มีผู้กำลังเดินผ่านถนนเล็กๆจากฝั่งตรงข้ามจริง

บริเวณโดยรอบเป็นทิวทัศน์หิมะราบเรียบ ขับให้ความเย็นชาของเงาคนเด่นขึ้น

ชุดขุนนางสีสันงดงาม ผมดำขลับบนไหล่นั้น มีเส้นผมไม่กี่เส้นตั้งตระหง่านขึ้นในอากาศ เลือนรางสลัวคือลักษณะของแขนเสื้อสองข้างที่ลมพัดเย็นสบาย

ฝ่าเท้าเจ้าน่องน้อยคล่องแคล่ว วิ่งเร็วผิดปกติ โซซัดโซเซผ่านข้ามสะพานไม้ไป

เขาวิ่งเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อก่อนเดินล้วนโคลงเคลงคดโค้งไม่มั่นคงอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คล่องแคล่วเช่นนี้ เดาว่าพละกำลังที่มากที่สุดได้ใช้ออกมาแล้ว

สะพานไม้พิงเอียงไปทางฝั่งตรงข้าม ด้านนั้นเป็นทางลาดโค้งลงรัศมีวงกลม เขาวิ่งลงไปนั้นหยุดไม่ได้เลย

รอจนตอนที่เสี่ยวเฮอพบเจอ เขาก็วิ่งไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว

องค์จักรพรรดิอนุญาตเจ้าน่องน้อยออกนอกพระตำหนักไท่เหอมาเดินที่สวนดอกไม้ได้ ด้วยเหตุนี้ทหารอารักขาชำเลืองเห็นเจ้าน่องน้อยวิ่งออกมา ชะงักงันชั่วประเดียวเดี๋ยว ไม่รู้ว่าควรที่จะรั้งรู้ว่าไม่ควรรั้งไว้

ช่วงที่ลังเลใจนี้ เจ้าน่องน้อยที่ตัวเล็กทรงพลังก็วิ่งตามเส้นทางนั้นไปด้านหน้าแล้ว

ตรงหน้าเงาร่างที่เดินผ่านป่าต้นสนนั้นสำหรับเขาแล้วสูงใหญ่ราวกับภูเขา ไม่เร่งไม่รีบ

เจ้าน่องน้อยมองเขา ฝีเท้าไม่เคยหยุดเลย

เสี่ยวเฮอที่อยู่ด้านหลังตามมาแล้ว หายใจถี่หอบกล่าวขึ้นว่า “ท่านชายน้อย อย่าวิ่งเลย ไม่สามารถออกมาห่างจากพระตำหนักไท่เหอไกลเกินไปนะ……..”

เจ้าน่องน้อยดึงดันวิ่งไปด้านหน้าระยะหนึ่ง ฝีเท้าสุด สุดท้ายได้ล้มลงบนพื้น

เขาเงยศีรษะขึ้น แววตามีความชื้นแทรกซึมมองเงาร่างที่กำลังใกล้จะเลือนหายไปจากทางเล็กที่ป่าต้นสนแล้ว

เจ้าน่องน้อยอ้าปาก กล่าวว่า “อ้อแอ้”เหมือนเรียกเขาให้หยุด

เสี่ยวเฮอมองตามไป ชะงักงัน นี่ถึงได้พบว่าด้านหน้าที่อยู่ใต้ต้นสนนั้นที่แท้ยังมีคนผู้หนึ่งอยู่

นางเข้าใจทันที เจ้าน่องน้อยต้องเห็นมีคนเดินผ่านฝั่งตรงข้ามพระตำหนักเป็นแน่ ให้เขาชำเลืองมองไป เพราะฉะนั้นตลอดเส้นทางถึงได้ตามอย่างไม่ละทิ้ง

มองภาพด้านหลังนั้น ราวกับเป็นขุนนางท่านไหนที่ถูกเจ้านายเรียกเข้าพบ

เพราะว่าเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนาง บนปลายเสื้อที่เลือนรางเป็นลวดลายนกกระเรียน รองเท้าสีดำ เดินเหยียบย่ำบนหิมะโดยไร้เสียง มือทั้งสองข้างห้อยอยู่ในแขนเสื้อ เลือนรางสลัวๆแต่ขาวสะอาดเป็นอย่างมาก ทำให้คนรู้สึกได้ว่าสะอาดเรียบร้อย สูงชะลูดสง่าดูดี

เสี่ยวเฮอไม่เคยเห็นขุนนางท่านไหนที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนางได้หล่อเหลาเช่นนี้ แม้ว่านางไม่เคยเจอใต้เท้าหลายท่านในราชสำนักเลย

แต่ราวกับนางสามารถเข้าใจได้ เหตุใดเจ้าน่องน้อยต้องตามเขาไป หล่อเหลาอย่างนี้ใครไม่อยากดูให้มากหน่อยล่ะ

เพราะว่าเสียงเรียกของเจ้าน่องน้อย เดิมฝีเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าของเขาหยุดลงทันที

ร่างกายชะงักงัน ตามด้วยเห็นกลับมาอย่างนุ่มนวล สีหน้าราบเรียบ

ตาดวงเล็กยาวคู่นั้น ลึกซึ้งและเงียบสงบไกลๆ

เขามองเจ้าน่องน้อย และหลังจากนั้นอยู่ที่พื้นที่ป่าไม้แล้วกล่าวกับเสี่ยวเฮอว่า “อากาศหนาวเหน็บ พาเขากลับไปเถิด”

เจ้าน่องน้อยปีนป่ายขึ้นมาได้ก็อยากจะตามไป เสี่ยวเฮอที่ชะงักงันได้สติกลับมา รีบอุ้มเจ้าน่องน้อยขึ้น คำนับคารวะอย่างลวกๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “บ่าวจะพาท่านชายน้อยกลับไปแล้วเจ้าค่ะ”

เจ้าน่องน้อยคว่ำหน้าอยู่บนไหล่ของเสี่ยวเฮอ มองเขาโดยตลอด ห่างไกลจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ

เขาไม่ได้เดินจากไป แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบ และมองเจ้าน่องน้อยเรือนหายไปจากเส้นทาง

กลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ เฉินเสียนกำลังจะพาอวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยออกตามหาคน

เสี่ยวเฮอก็ได้นำเจ้าน่องน้อยส่งมอบถึงมือเฉินเสียน แล้วก็น้ำตาไหลเสียงกระซิกคุกเข่าลงไป

เฉินเสียนก็ไม่ได้โมโห ตรวจสอบดูเจ้าน่องน้อยขึ้นๆลงๆ หลังจากยืนยันมั่นใจแล้วว่าเขาปลอดภัยกลับมา เลยกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เวลาสั้นๆก็ไม่เจอแล้ว วิ่งหายไปที่ไหน?”

แม้ว่าน้ำเสียงราบเรียบ แต่วาจาปรากฏให้เห็นความน่าเกรงขามไม่สามารถดูถูกได้

“เป็นบ่าวที่ไม่สังเกตอย่างละเอียดชั่วขณะ ทำให้ท่านชายน้อยวิ่งออกไปนอกพระตำหนักไท่เหอเพคะ”

เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า “เขาวิ่งออกไปข้างนอกเพียงลำพังทำสิ่งใดกัน?”

“เหมือนกับว่าท่านชายน้อยตามใต้เท้าท่านหนึ่งเพคะ”

“ใต้เท้าท่านไหน?”

เสี่ยวเฮอพิจารณาไตร่ตรองแล้วกล่าวขึ้นว่า “เหมือนกับว่าใต้เท้าท่านนั้นเดินไปทางทิศทางของโรงเรียนไท่เพคะ”

เฉินเสียนชะงัก

ซูเจ๋อเดินผ่านหน้าพระตำหนักไท่เหอหรือ?

เฉินเสียนกล่าวว่า “ต่อไปดูเขาไว้ อย่าให้เด็กน้อยคนนี้ออกไปวิ่งด้านนอกเพียงลำพัง เจ้าลุกขึ้นเถิด”

ทันทีหลังจากนั้นสองวัน ไม่ต้องให้เสี่ยวเฮอดูแล เฉินเสียนอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าน่องน้อยทั้งวันที่ริมทะเลสาบหน้าพระตำหนักไท่เหอ

เจ้าน่องน้อยหยอกล้อจระเข้ เฉินเสียนมองฝั่งตรงข้ามอย่างเลื่อนลอย

เสี่ยวเฮอน่าจะเข้าใจผิดแล้ว เจ้าน่องน้อยวิ่งออกไปตามเพียงลำพังนั้นไม่ใช่ซูเจ๋อ เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่เห็นซูเจ๋อเดินผ่านฝั่งตรงข้ามเลย

ทุกวันผู้ที่เดินผ่านฝั่งตรงข้ามจำนวนน้อยบางตา นอกจากพระราชบุตรและองค์หญิงเข้าเรียนเลิกเรียนแล้ว บางครั้งก็มีเพียงนางกำนัลไม่กี่คน

แต่หากผู้ที่เจ้าน่องน้อยตามไปนั้นไม่ใช่ซูเจ๋อ ในพระราชวังนี้ยังมีผู้ใดที่สามารถทำให้เขาชื่นชอบเช่นนี้ล่ะ?

ตอนที่เฉินเสียนกำลังเตรียมตัวจะละทิ้งปล่อยวาง ทันใดนั้นเจ้าน่องน้อยที่ฉลาดหลักแหลมได้ปีนป่ายขึ้น ตั้งการวิ่งออกไปด้านนอกพระตำหนักไท่เหออีกครั้ง

เฉินเสียนมือไวดึงที่ปกเสื้อเขา แล้วอุ้มเขาขึ้นมา

เจ้าน่องน้อยโอบกอดที่คอของเฉินเสียน ครั้งแรกที่ชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวออกมาอย่างชัดเจนว่า “ท่านแม่ ตามไป”

เฉินเสียนเปิดเปลือกตาเงยมอง มองผ่านต้นไม้ที่ขึ้นริมน้ำหลายต้น เป็นเช่นนั้นจริงมองที่ฝั่งตรงข้ามมีคนกำลังเดินผ่านอย่างช้าๆ

เขาสวมใส่เครื่องแบบขุนนาง ราวกับออกมาจากพระตำหนักของพระราชบุตรพระองค์ไหน ต้องการกลับโรงเรียนไท่จำเป็นต้องเดินผ่านที่นี่

เฉินเสียนมองหน้าเขาไม่ชัดเจน แต่ทว่ามองรู้ว่าเป็นเขา เขาเดินอย่างสุขุม กิริยาท่าทางเหมือนทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม นอกจากซูเจ๋อ ยังจะมีใครเล่า

เฉินเสียนมองเขาได้แค่ไกลๆ ไม่สามารถส่งเสียงเรียกเขา เขาไม่เคยหยุดอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม และก็ไม่เคยเอียงศีรษะหันกลับมามองเลย

เฉินเสียนไม่รู้ เขารู้หรือไม่ว่าเฉินเสียนกับเจ้าน่องน้อยมองเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม

เธอไม่รู้ บาดแผลของเขาดีแค่ไหนแล้ว เร็วขนาดนี้ก็เข้ามาในพระราชวังดำรงตำแหน่งสอนตำราแล้ว ร่างกายของเขาจะแบกภาระมากขึ้นหรือไม่นะ

เฉินเสียนมองเขาที่เดินไปไกลโดยตลอด

เจ้าน่องน้อยไม่ยอม เริ่มมุ่งมาดที่จะลงไปตามเขา แน่นอนว่าเฉินเสียนไม่มีทางผ่อนคลายมือให้เขาลงพื้นได้ เขาออกแรงบิดอยู่ในอ้อมกอดเฉินเสียนจนกลายเป็นเกลียว

เวลาต่อมาเฉินเสียนคุมขังร่างแน่งน้อยของเจ้าน่องน้อยไว้ ก้มศีรษะลงยักคิ้วใส่แล้วกล่าวพูดกับเขาอย่างแผ่วเบาว่า“เจ้าชอบเขาเช่นนั้นเลยหรือ?อนาคตแม่จับเขานำมาเป็นท่านพ่อของเจ้าก็ได้แล้ว”

เจ้าน่องน้อยราวกับจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ แต่ในที่สุดก็สงบลง

เสี่ยวเฮออยู่ไม่สุข มีนางอยู่ เฉินเสียนอยู่ในพระตำหนักไท่เหอก็สามารถรู้เรื่องราวด้านนอกได้ไม่น้อยเลย

เสี่ยวเฮอวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความดีอกดีใจมากล่าวกับเฉินเสียนว่า“องค์หญิง บ่าวไปถามมาแล้วเพคะ เหมือนกับว่าบัณฑิตผู้นั้น เป็นบัณฑิตในโรงเรียนไท่จริงๆเพคะ ไม่กี่วันมานี้องค์ชายใหญ่ติดเชื้อเป็นโรคที่เกิดจากลมหนาว แต่การเรียนไม่สามารถเกียจคร้านได้ บัณฑิตกับราชครูสองท่านหมุนเวียนกันไปในพระตำหนักขององค์ชายใหญ่เพื่อสอนตำรา เพราะฉะนั้นถึงได้เดินผ่านฝั่งตรงข้าม ท่านชายน้อยอาจจะเป็นผู้ที่ชอบร่ำเรียนโดยกำเนิดจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะตามผู้ที่มีความสามารถเป็นพิเศษไม่หยุดเลยเพคะ”

เฉินเสียนฟังแล้วรู้สึกตลกขบขัน

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset