ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 450 เขาตั้งชื่อให้กับเจ้า ชื่อที่เป็นตัวหนังสือตัวเดียวคือเซี่ยน

เสี่ยวเฮอเสนอข้อคิดเห็นอีกว่า “ไม่อย่างนั้นให้ท่านชายน้อยไปฟังการสอนในโรงเรียนไท่หน่อยเถิดเพคะ ให้บัณฑิตชี้แนะบ้างเพคะ”

อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “เจ้าพูดง่าย องค์จักรพรรดิจะเห็นด้วยได้อย่างไร”

เฉินเสียนกับเจ้าน่องน้อยเข้ามาในพระราชวังไม่ใช่ว่ามาอย่างสบายไม่มีอุปสรรค แต่เป็นการกักบริเวณ

โดยแก่นแท้องค์จักรพรรดิไม่มีทางหาราชครูให้เจ้าน่องน้อยเพื่อมาสอนเขาหรอก ยิ่งกว่านั้นคือการไปที่โรงเรียนไท่ฟังซูเจ๋อสอนตำรา

เจ้าน่องน้อยยังเล็กเกินไป โดยพื้นฐานก็ฟังไม่เข้าใจหรอก และเฉินเสียนอยู่ในพระราชวังนี้ พยายามไม่พบเจอใกล้ชิดซูเจ๋อนั้นเป็นสิ่งที่ดี

แต่เฉินเสียนพบว่า หลังจากที่เสี่ยวเฮอพูดออกมาอย่างนี้แล้ว กลับกลายเป็นความเพ้อฝันในใจเฉินเสียน

หากว่าซูเจ๋อยินยอมสอนเจ้าน่องน้อย ให้ความรู้ระดับที่สูงขึ้นแก่เจ้าน่องน้อย อนาคตเจ้าน่องน้อยก็ต้องเก่งกาจเหมือนกับเขาแหละ

แม่นมซุยคือแม่นมของเจ้าน่องน้อย โดยปกติยามค่ำคืนเป็นแม่นมซุยที่ดูแลเฉินเสียนกับลูกชาย

เจ้าน่องน้อยนอนอยู่ข้างใน เฉินเสียนหยิบตำราอ่านอยู่ในมือ ในพระตำหนักไท่เหอนี้มีตำราไม่น้อย ราวกับเตรียมพร้อมเพื่อกักขังลงโทษเหล่าพระราชบุตร โดยธรรมชาติไม่ใช่ตำราของบุคคลที่ไม่มีตำแหน่ง แต่ว่าครั้งเดียวก็ยังไม่ได้ใช้ ตอนนี้ทั้งหมดล้วนหยิบลงมาให้เฉินเสียนอ่านฆ่าเวลา

แม่นมซุยกล่าวว่า “องค์หญิงรีบพักผ่อนเถิดเพคะ สีท้องฟ้าก็ดึกแล้ว ระมัดระวังจะทำร้ายดวงตานะเพคะ”

เฉินเสียนไม่ตอบรับ อ่านตำราจนมีจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เจ้าน่องน้อยอยู่ข้างกายเธอนอนหลับไปแล้ว เธอสวมใส่ชุดนอน ปล่อยผมดำนุ่มลื่นลง ทั่วทั้งร่างมีความแวววาวที่อบอุ่นนุ่มนวล

“องค์หญิงมีเรื่องในใจหรือเพคะ?”แม่นมซุยถามเบาๆ

เฉินเสียนได้สติกลับมา กล่าวขึ้นว่า “เอ้อร์เหนียง เจ้ารู้สึกว่าข้าเอาเจ้าน่องน้อยไปในโรงเรียนไท่ เหมาะสมหรือไม่?”

แม่นมซุยยิ้ม แล้วกล่าวขึ้นว่า “องค์หญิงนำคำพูดของเสี่ยวเฮอเก็บมาใส่ใจแล้ว บ่าวรู้สึกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะเพคะ”

แม่นมซุยกล่าวอีกว่า “แม้ว่าองค์หญิงจะไม่สะดวกพบเจอใต้เท้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าน่องน้อยไม่ถึงขนาดว่าไม่สะดวกนะเพคะ ให้เจ้าน่องน้อยใกล้ชิดกับใต้เท้ามากๆถึงอย่างไรมันก็เป็นประโยชน์ เพียงแค่องค์หญิงไม่ออกหน้าก็พอแล้ว แม้องค์จักรพรรดิจะจ้องมองอย่างเข้มงวดอีก ก็ไม่สามารถหาความผิดพลาดอะไรเจอได้ รอตอนที่เจ้าน่องน้อยเลิกเรียน บางเวลาที่องค์หญิงว่าไปรับเจ้าน่องน้อย ยังจะสามารถพบเจอหน้าใต้เท้าได้บ้างเพคะ”

เฉินเสียนยิ้ม ระหว่างคิ้วปรากฏการป่วยเป็นไข้ใจ กล่าวว่า “เอ้อร์เหนียง เจ้าเกือบจะพูดโน้มน้าวจนข้าเห็นด้วยแล้ว แต่ข้ากับเขาพบกันในพระราชวัง ไม่เหมาะสมหรอก”

“ไม่ได้ทำเรื่องที่ออกนอกกรอบ องค์หญิงเพียงแค่ไปรับเจ้าน่องน้อยกลับมา มีสิ่งใดไม่เหมาะสมเพคะ? อีกทั้งแต่ก่อนใต้เท้าก็เป็นราชครูขององค์หญิงด้วย พบเจอแล้วทักทายกับเป็นตามหลักธรรมทำนองคลองธรรม เมื่อก่อนไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกัน องค์หญิงไม่พบเจอใต้เท้าก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่วันนี้อยู่ในพระราชวัง หากองค์หญิงหลบเลี่ยงอีกก็ดูเหมือนสุดความสามารถแล้วแหละเพคะ”

แม่นมซุยยังกล่าวว่า “ในเมื่อองค์จักรพรรดิกักบริเวณองค์หญิงอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้กักเต็มที่อย่างถึงที่สุด สู้ไม่ได้กับการถือโอกาสทำอย่างสง่าผ่าเผยไปเลยนะเพคะ ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเพคะ”

เฉินเสียนวางตำราลง นวดคลึงหัวคิ้ว แล้วกล่าวว่า “ที่จริงก็ดึกแล้ว เอ้อร์เหนียงไปนอนเถิด”

วันต่อมา เจ้าน่องน้อยหยอกล้อจระเข้อยู่ริมทะเลสาบ นี่เหมือนกับกลายเป็นเรื่องหนึ่งที่เขาต้องมาทำเป็นขั้นตอนทุกวันเลย

เพราะว่าพระตำหนักไท่เหอเล็กเกินไปแล้วก็น่าเบื่อเกินไปจริงๆ

เฉินเสียนก็คล้อยตามเขา

เธอก้มศีรษะลูบไล้ขลุ่ยไม้ไผ่ที่อยู่ระหว่างเอว หยิบมันออกมนำมาเล่นในมือ

ขลุ่ยไม้ไผ่นี้วันเดียวเธอก็ไม่เคยทำตกหล่นทิ้งไว้เลย ทุกวันล้วนนำมาห้อยไว้ที่เอว

เฉินเสียนจำได้ตอนที่ราชนิเวศน์เย่เหลียงเคยได้ฟังซูเจ๋อพูดว่า ความหมายแรกเริ่มที่มอบขลุ่ยไม้ไผ่นี้ให้กับเธอคือหวังว่าจะสามารถได้ยินเธอเป่ามัน

เธอแปะห้อยไว้ที่ตัวมาโดยตลอด แต่ทว่าไม่เคยหยิบมันออกมาเป่าเลย

หากตอนนี้เธอเป่าขึ้น ไม่รู้ว่าซูเจ๋อจะได้ยินหรือไม่

เฉินเสียนหยิบขลุ่ยไม้ไผ่วางไว้ที่ริมฝีปาก เป่ามันขึ้นมาอย่างเอ้อระเหย

เสียงของขลุ่ยละมุนอ่อนหวานชวนให้คล้อยตาม เต็มไปด้วยความคิดถึง

รู้ว่าเสียงขลุ่ยนี้ดังมากจากพระตำหนักไท่เหอ คิดว่าเป็นองค์หญิงจิ้งเสียนที่คิดถึงความรักใคร่ชื่นชมที่มีมาหลายปี และวันนี้ได้หย่าร้างกันกับราชบุตรเขยแล้ว

ซูเจ๋อเดินผ่านบริเวณใกล้ๆนี้ ตอนเริ่มแรกที่ได้ยิน หยุดยืนอยู่ใต้ต้นสนที่หนาวและเงียบเหงาเป็นเวลานาน

เจ้าน่องน้อยฟังอย่างตั้งใจ หลังจากที่เสียงของขลุ่ยจบลง เขายังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว

เฉินเสียนเอื้อมมือไปลูบสัมผัสศีรษะของเขา

เขาเปิดเงยดวงตาสีขาวดำคู่นั้น มองเฉินเสียนยิ้มให้กับเขา

เฉินเสียนกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เขาตั้งชื่อให้กับเจ้า ชื่อที่เป็นตัวหนังสือตัวเดียวคือเซี่ยน”

แต่เฉินเสียนไม่สามารถบอกเขาได้ชั่วคราว ว่าชื่อเต็มของเขาคือซูเซี่ยน

ต่อมาเจ้าน่องน้อยหยอกล้อจระเข้ก็ไม่ได้สนุกสนานมากเท่าไหร่แล้ว

ที่สำคัญคือจระเข้เหล่านั้น ทุกวันล้วนพยายามที่จะเป็นผู้นำเพราะกลัวจะล้าหลัง ละอองน้ำพรั่งพรูไหลทะลัก โผมาด้านหน้าด้านหลังต่อสู้ดิ้นรนกองอยู่ที่เดียวกัน คิดว่ามีอาหารว่างของอร่อยล่วงลงมาแล้ว ผลสรุปทุกวันเพียงแค่เล่นกันเท่านั้นเอง

ไม่เพียงแต่เจ้าน่องน้อยไม่มีความสนุกสนานแล้ว ขนาดจระเข้ที่อยู่ในน้ำก็ไม่สนุกสนาน

ทุกวันเจ้าน่องน้อยเดินไปยืนบนด้านนั้น จระเข้กลุ่มนั้นสุดท้ายยังคงไม่เลิกคิดอย่างเด็ดขาดสักนิดหนึ่ง แหวกว่ายมาเงียบๆ รอสักพักหนึ่ง พบว่าเด็กนิสัยไม่ดีนี่ยังไม่ทิ้งลงมา เหล่าจระเข้ก็สะบัดหางกระจัดกระจาย

ช่วงนี้เจ้าน่องน้อยมาหยอกล้อจระเข้ทุกวัน ทำจนกฎเกณฑ์การทำงานและการพักผ่อนของจระเข้กลุ่มนี้ไร้ระเบียบ ระเบียบวินัยการดำรงชีวิตวุ่นวายอย่างหนัก

ตอนที่ผู้เลี้ยงมาป้อนอาหาร พบว่าจระเข้กลุ่มนี้ได้ถูกทำให้เกิดความสนใจด้วยของอร่อย ทุกๆตัวเดิมที่อ่อนโยนพอพบเจอเรื่องราวก็แสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา กวนจนมีพละกำลังกล้าหาญเก่งกาจเป็นอย่างมาก ตอนที่เข้มงวดเด็ดขาดตำหนิติเตือนผู้เลี้ยงให้อาหารให้จนเหมือนตระหนี่

ผู้เลี้ยงรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าจระเข้กลุ่มนี้ตอนที่พบเจอเขาโอนอ่อนผ่อนตามเชื่อฟังมาก เหตุใดตอนนี้คล้ายดั่งว่าทุกๆตัวแทบอยากจะฉีกเขา

แต่เขาก็ไม่ได้เป็นกังวลใจ จระเข้ดุร้าย ทะเลสาบห่างกับบนฝั่งสูงมาก ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่สามารถปีนป่ายมาจนถึงบนฝั่งหรอก

หลังจากที่เจ้าน่องน้อยไร้ความสนุกสนานแล้ว สิ่งที่อยากทำที่สุดคือวิ่งออกไปสะพานไม้ ตามเหล่าพระราชบุตรกับองค์หญิงไปที่โรงเรียนไท่ และก็ต้องการประโสมโรงเล่นด้วยกันที่นั่น

ตอนแรกมีคนเฝ้ามองเขาไม่ห่างแม้สักก้าว เมื่อเห็นว่าเขามีแนวโน้มที่จะวิ่ง ก็รีบดึงลากกลับมา

เสี่ยวเฮอใจไม่แข็งพอ กล่าวว่า “องค์หญิง ให้ท่านชายน้อยออกไปเล่นเถิดเพคะ บ่าวรับรองว่าจะดูให้ดีเพคะ”

เฉินเสียนมองเจ้าน่องน้อยที่มีท่าทางสงบ ใจคิดว่าตัวเองจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงไหลซูเจ๋อก็ช่างเถิด เธอไม่รู้จริงๆว่าซูเจ๋อกรอกยาเสน่ห์อะไรให้เจ้าน่องน้อย

หรือว่าคืนวันนั้นที่ซูเจ๋อถลันเข้ามาในพระราชวังต้องการที่จะนำเจ้าน่องน้อยไป ตั้งแต่นั้นมาได้ผูกมิตรภาพอย่างลึกซึ้งแล้วหรือ?

ซูเจ๋อ คล้ายกับผู้ที่ปลอบโยนหยอกเด็กอยู่หรือ?

สุดท้ายเฉินเสียนประนีประนอม กล่าวขึ้นว่า “พาเขาไปเถิด จำไว้นะ อย่าให้เขาห่างจากขอบเขตการมองเห็นของเจ้า”

เสี่ยวเฮอดีใจอย่างมาก กล่าวว่า “บ่าวทราบแล้วเพคะ!”

ทันทีหลังจากนั้นเสี่ยวเฮอก็จูงเจ้าน่องน้อยไปเดินเล่นนอกพระตำหนักไท่เหอ พอออกมาจากพระตำหนักไท่เหอ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เจ้าน่องน้อยหนักแน่นมากมีทิศทางและมีจุดมุ่งหมายออกแรงลากเสี่ยวเฮอเดินไปที่โรงเรียนไท่

ครั้งนี้เฉินเสียนไม่ได้ขวาง อีกทั้งเป็นได้เพียงแค่เสี่ยวเฮอที่จะพาเจ้าน่องน้อยไปเดินเล่นได้ ไม่ว่าอย่างไรเป็นเธอหรือแม่นมซุย อวี้เยี่ยน ล้วนไม่เหมาะที่จะไปด้านนั้น

สามารถเข้าโรงเรียนไท่ได้หรือไม่ ต้องดูความสามารถของเจ้าน่องน้อยแล้ว

เจ้าน่องน้อยยึดมั่นไม่คลายความพยายามเดินมาถึงทางที่มีร่มไม้ใต้ต้นอู๋ถง เสียงท่องตำรานั้นยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนไท่อยู่ด้านหน้าไม่ไกล

เสี่ยวเฮอบ่นพูดมากกล่าวกับเจ้าน่องน้อยว่า “หลังจากที่พวกเราเข้าไปแล้วอย่าส่งเสียงกันนะ อยู่ที่ด้านหน้าฟังก็พอแล้ว อย่าคิดที่จะเข้าไปด้านในกัน หากรบกวนเหล่าพระราชบุตรกับองค์หญิงเรียนศึกษา ครั้งหน้าไม่มีโอกาสมากันแล้วนะ”

เจ้าน่องน้อยเดินไปด้านหน้าอย่างสงบ การก้าวเท้าขาสั้นๆของเขานั้น ก็ได้ก้าวเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของโรงเรียนไท่

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset