ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 560 กลุ่มคนแก่แล้วไม่ตาย

อวี้เยี่ยนส่งอาหารว่างกับน้ำชาร้อนๆเข้ามา มือขาวลออของเฉินเสียนกรองใบชาและฟอง ส่งไปด้านข้างมือของซูเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นพระสามีของข้า เป็นท่านพ่อของอาเซี่ยน เข้าออกพระตำหนักไท่เหอก็ไม่ผิด”

บนมือของซูเจ๋อเปื้อนรอยหมึกสีดำไม่มากไม่น้อย และมีกลิ่นหอมจางๆของหมึกอยู่ที่นิ้วมือ เขาหยิบชามาดื่มหนึ่งกลืน กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “แม้ไม่ใช่เวลาเช้าตรู่กับยามพระอาทิตย์ตกดินของทุกวัน ก็สามารถพบเจอกันได้บ่อยเป็นประจำ ก็ไม่เลวร้าย”

“ที่แท้ท่านพึงพอใจง่ายๆเช่นนี้หรือ?”

“หากพูดว่าพึงพอใจ คนจะพึงพอใจอย่างง่ายๆเช่นนี้ที่ไหนกันล่ะ ”เขากล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าเพียงแค่มีความอดทน รอได้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนั้นไม่ถึงขนาดว่ามีอายุยืนนานกว่าข้าหรอก ข้าไม่ยอมให้ท่านกดดันตนเองเกินไปหรอก”

สีท้องฟ้าค่อยๆมืด เฉินเสียนกับซูเจ๋อต่างกอดกันบนเก้าอี้ไม้ ตัดใจไม่ลงที่จะให้เขาจากไป รัดเขาไว้แล้วกล่าวว่า “เย็นนี้อยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน ได้หรือไม่?”

สามคนพ่อแม่ลูกกินอาหารเย็นด้วยกัน

ซูเซี่ยนใช้ถ้วยตะเกียบเอง ไม่ต้องมีผู้มีป้อนทีละคำ เฉินเสียนมักจะคีบอาหารส่งอาหารรสจืดไปในถ้วยของเขาอยู่เป็นนิจ ตอนที่เธอดูแลซูเซี่ยน ซูเจ๋อก็ดูแลเธอด้วย

หลังจากที่ซูเจ๋อกินอิ่มแล้ว วางถ้วยตะเกียบลงอย่างสุภาพเรียบร้อย ปากเล็กเปื้อนไปด้วยคราบความมันเยิ้มแวววาว กล่าวว่า“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากินเสร็จแล้ว อยากออกไปเดินสักหน่อย”

ทันทีหลังจากนั้นแม่นมซุยก็ได้เข้ามารับซูเซี่ยนออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร เหลือไว้เพียงเฉินเสียนกับซูเจ๋ออยู่ในห้องสองคน

เฉินเสียนใช้ทัพพีตักน้ำซุปให้ซูเจ๋อ หรี่ตามองเขาที่กินไม่กี่คำ แล้วกล่าวอีกว่า “ซูเจ๋อ ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้พักอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ ดีหรือไม่?”

ซูเจ๋ออมยิ้ม ราวกับจะเลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า “ท่านคิดวางแผนโน้มน้าวชักจูงข้าหรือ?”

เฉินเสียนค้ำศีรษะเอาไว้ มองเขาแล้วกล่าวว่า “ใช่ ข้าอยากจะหลอกท่านเข้ามาในพระตำหนัก หลังจากนั้นค่อยวางแผนอย่างช้าๆ”

“อาจจะไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”

“วันพรุ่งช่วงเช้าตรู่ยังต้องมีพิธีการเข้าเฝ้าท่านจะสายอีก อาจจะถูกกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่ดุด่าเอาได้”

เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก กล่าวว่า “หากข้าพูดว่าข้าไม่สนใจล่ะ?”

ในดวงตาของซูเจ๋ออึมครึม กล่าวว่า “หากว่าข้าถูกด่าเป็นขุนนางไม่ซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมือง ท่านก็ไม่สนใจใช่หรือไม่?”

เฉินเสียนเงียบ เธอไม่สามารถไม่สนใจ เธอก็รู้ว่าซูเจ๋อเป็นเหมือนกับเธอ โดยพื้นฐานไม่ได้สนใจตัวเองถูกด่า เขาเพียงแค่ทำใจไม่ได้ที่เธอจะถูกผู้คนบนพื้นพิภพด่าทอ

สุดท้าย เฉินเสียนทำได้เพียงส่งซูเจ๋อออกไปจากพระตำหนักไท่เหอ มองเขาที่อยู่ใต้แสงไฟสลัวขมุกขมัว เดินไปเพียงลำพัง

เฉินเสียนกล่าวพูดไม่หยุดว่า “ภายในเรือนหนาวเหน็บมาโดยตลอดก็ไม่ดี นิสัยท่านนี้ พอกลับไปก็ไม่ให้ผู้ใดมาลำบากวุ่นวายด้วย ค่ำคืนนี้ก็กลับไปเช่นนี้แล้ว”

ซูเจ๋อบีบเปลือกตาเล็กแคบลง ฟังอยู่เงียบๆ เฉินเสียนเข้าใกล้เล็กน้อย พิงอยู่ที่ราวจับของสะพานไม้ จัดการชุดให้เรียบร้อยแทนเขา นิ้วมือลูบไล้อย่างบางเบาที่รอยย่นดำขลับบนชุดของเขา แล้วกล่าวอีกว่า“ในเรือนนั่นบวกเพิ่มคนจำนวนหนึ่ง อย่าคิดว่าเพราะท่านอยู่ผู้เดียว ก็สามารถทำลวกๆอย่างตามสบายได้ อากาศหนาวเหน็บต้องสวมใส่เสื้อผ้าเยอะๆ หนาๆ หิวแล้วก็สั่งให้คนรับใช้เตรียมชาอาหารว่างมื้อดึก จำไว้ว่าให้พ่อบ้านวางเตาผิงไว้ในห้องท่านด้วย อย่างนี้ท่านก็จะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง”

เฉินเสียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “มีบางเวลาคิด หากท่านกับข้าเป็นสามีภรรยาทั่วไปคู่หนึ่ง ข้าก็ไม่ต้องกังวลใจมากมายหลายด้านเช่นนั้น มีข้าอยู่ข้างกายท่าน ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางให้ท่านหนาวเหน็บ หิว โดดเดี่ยวลำพัง เงียบเหงาอ้างว้างหรอก”

เธอเลิกคิ้วแล้วยิ้ม กล่าวอีกว่า “ข้าชอบเรือนนั้นของท่านเป็นอย่างมาก หากสามารถเข้าออกเรือนนั้นกับท่านได้ ชีวิตอย่างนั้นน่าจะดีเป็นอย่างมาก จะได้ไม่เหมือนข้าตอนนี้ ท่านยังไม่ได้ไป ข้าก็เริ่มห่วงหาอาทรถึงขนาดปล่อยวางไม่ลงแล้ว”

ซูเจ๋อก้มศีรษะลงมาจับมือของเฉินเสียน วางที่ริมฝีปากช้าๆ กลิ่นอายลมหายใจของเขาอยู่บนนิ้วมือของเธอ อ่อนโยนเหลือเกิน

เขากล่าวว่า “อาลัยอาวรณ์ข้าเช่นนั้นจริง ข้าอยู่ก็สิ้นเรื่องแล้ว”

เฉินเสียนกล่าวว่า “วันพรุ่งหากถูกด่าว่าเป็นทรราชจะทำอย่างไร?”

“ให้พวกเขามาด่าข้า”

เฉินเสียนถูกเขาทำให้ขำโดยทันที แต่สุดท้าย เธอก็ยังปล่อยเขากลับ เธอจะทนให้ซูเจ๋อถูกด่าทอได้อย่างไร?

“อาเซี่ยน พาท่านแม่ของเจ้ากลับไปพักผ่อน”

ประจวบเหมาะกับซูเซี่ยนเดินเล่นกลับมา แล้วมาจูงมือของเฉินเสียน ตอนที่เฉินเสียนหันหลังกลับ เห็นซูเจ๋อเดินแล้วสองก้าว หยุดชะงักทันทีแล้วหันกลับมาเช่นกัน กล่าวกับเธอว่า “ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้ เหลียนชิงโจวลงทะเลตกปลา ได้รับไม้วูเฉินหนึ่งท่อนด้วย”

เฉินเสียนชะงักงัน

เธอไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับขอนไม้อย่างไร ก็เคยได้ยินเหตุการณ์นั่น ขอนไม้วูเฉินแข็งราวกับหิน หนึ่งร้อยปีไม่เน่าเปื่อย เป็นไม้ที่หายาก

รอจนเฉินเสียนได้สติกลับมา ซูเจ๋อก็หายไปจากด้านนอกพระตำหนักไท่เหอแล้ว

เธอกลับเข้ามาพระตำหนัก มองสาสน์ที่กราบทูลสองเล่มอย่างราบเรียบ เป็นเรื่องที่ลงมติไม่ไว้วางใจซูเจ๋อเข้าออกพระตำหนัก

ทุกวันล้วนมีสาสน์ที่กราบทูลอย่างนี้มาเล่มสองเล่มส่งมาที่มือของเธอ

วันต่อมา ช่วงเช้าเฉินเสียนกล่าวอย่างจริงจังเคร่งขรึมเกี่ยวกับวิธีการเขียนสาสน์ที่กราบทูล

เธอกล่าวว่า“การกราบทูลก็เป็นการกราบทูล เขียนบทวิเคราะห์ยาวลาก บทความวุ่นวายไม่เป็นระเบียบทำอันใด ต้องการให้ข้าชื่นชมว่าความเฉียบแหลมด้านวรรณคดีของพวกเจ้าดีมากหรือ? การสอบยังต้องแจ้งจุดสำคัญบนกระดานดำ พวกเจ้าไม่สามารถเขียนระเบียบแบบแผนแสดงให้ชัดเจนบนสาสน์หรือ?”

บรรดาขุนนางกล่าวว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณมา การเขียนสาสน์ที่กราบทูลล้วนเขียนกันเยี่ยงนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนกล่าวว่า“แต่ข้าอ่านจนเหนื่อยเปลืองแรง”

บรรดาขุนนางกล่าวว่า“นั่นเป็นฝ่าบาทที่มีความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่เพียงพอ อายุยังน้อยยังต้องร่ำเรียนตำราให้มากพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียน“………”

ช่วงนี้คล้ายกับว่าเธอกับกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่มองกันไม่เข้าตาเป็นอย่างมาก พูดได้ไม่กี่ประโยคก็โมโหจนอยากพลิกคว่ำโต๊ะ

เฉินเสียนกล่าวว่า “ทั้งวันพวกเจ้าเขียนบทความวิเคราะห์ยาวลาก อย่าพูดว่าข้าอ่านเหนื่อยกินแรงเลย พวกเจ้าเขียนไม่เหนื่อยหรืออย่างไร?”

บรรดาขุนนาง กล่าวขึ้นว่า“เพียงแค่เรียนตำรามากขึ้น ก็จะสามารถเขียนบทความได้เองโดยธรรมชาติ รอหลังจากฝ่าบาทร่ำเรียนตำรามากขึ้นหน่อย ก็จะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงอย่างลึกซึ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งแม่เจ้าสิ”เฉินเสียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น“เฮอะๆๆ ในเมื่อชอบเขียนเช่นนี้ ต้องการให้ข้าจัดการแข่งขันเขียนบทประพันธ์เรียงความให้แก่พวกเจ้าหรือไม่?”

ด้วยเหตุนี้นอกเหนือจากงานราชการแล้ว บรรดาขุนนางก็ถกวิจารณ์กันอย่างหนักเรื่องมารยาทที่งดงามของจักรพรรดินี แนะนำอย่างเด่นชัดจักรพรรดินีต้องมีความรู้ มีกฎระเบียบมีมารยาท ไม่ควรพูดคำหยาบคาย

คล้ายกับในวังหลังมีหูมีตา เมื่อคืนนี้เรื่องที่ดึกดื่นซูเจ๋อเพิ่งจะออกมาจากพระตำหนักไท่เหอนั้น ไม่นานก็แพร่สะพัดเข้าหูเหล่าขุนนาง

มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก้าวออกมากล่าวเตือนสติเฉินเสียนว่า “จรรยาบรรณกฎของวังหลัง ไม่ควรไม่เป็นระเบียบ องค์ชายใหญ่ควรจะเดินไปศึกษาตำราที่โรงเรียนไท่ค่อนข้างดีพ่ะย่ะค่ะ แม้ใต้เท้าซูจะเป็นราชครูของฝ่าบาท ก็ไม่เหมาะที่จะเข้าออกวังหลังอยู่บ่อยครั้ง เช่นนี้ไม่ถูกตามหลักเหตุผลที่ควรจะเป็นพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวออกมาว่า“การเข้าเฝ้าจบสิ้นแล้ว”

ลงจากราชสำนักมา เฉินเสียนโกรธเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ

เฮ่อเซียงถนอมรักษาสุขภาพอยู่ที่เรือน ได้หลีกออกจากงานบนราชสำนักมาสักพักหนึ่งแล้ว เฮ่อโยวเป็นขุนนางที่ช่วยเหลือบ้านเมืองรับผิดชอบหน้าที่แทนท่านพ่อตัวเองอยู่ไม่น้อย ทุกวันหลังจากเข้าเฝ้าเสร็จ จะรวบรวมนำสาสน์ที่กราบทูลไปส่งที่โต๊ะเอกสารราชการของเฉินเสียน

เฉินเสียนพลิกออกมาดูเล่มหนึ่ง เห็นตัวหนังสือสีดำบนกระดาษสีขาวถี่ยิบนั่น เธอปิดมัน แล้วหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า“พวกเขาจงใจเป็นอริกับข้าสินะ กลุ่มคนแก่แล้วไม่ตาย”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset