ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 572 เขาต้องการนิทานมากมาย

เมื่อเห็นซูเจ๋อได้หลับตาลงแต่โดยดี ดูเหมือนว่ากำลังจะฟังนิทาน ซูเซี่ยนไม่ได้โง่เขลา ดังนั้นจึงเริ่มเล่าขึ้นจริง

ซูเซี่ยนพูดถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของเป่ยเซี่ย ยังมีเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเป่ยเซี่ยในปีนั้นด้วย

ว่ากันว่าในอดีตราชวงศ์เซี่ยเกิดสงครามกลางเมือง พี่น้องของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ลุกขึ้นก่อกบฏ และจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไปสถานที่ต่างๆ เพื่อปราบกบฏ แต่เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ได้ระวัง พวกกบฏได้โจมตีภรรยาและลูกของเขาที่อยู่ในวังหลัง

ในขณะนั้นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยมีพระสนมองค์ที่ทรงโปรดซึ่งให้กำเนิดโอรสแก่เขา ส่งผลให้ทั้งพระสนมและพระโอรสถูกทอดทิ้งนอกวัง เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยปราบกบฏกลับมา ทรงพบว่ามารดาและพระโอรสได้หายสาบสูญไป ค้นหาทั่วเป่ยเซี่ยก็ค้นหาไม่เจอ

ซูเจ๋อได้ฟังสีหน้าเรียบเฉย

ซูเซี่ยนบ้าพลังสมองจริงๆ ที่ได้เอาเรื่องราวที่ตัวเองรู้ทั้งยาวทั้งเป็นทางการมาเล่าให้ซูเจ๋อฟัง ใครให้สมองเล็กของเขามีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว

สุดท้าย ซูเจ๋อหลับตาและถามเบาๆ ว่า “ใครเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง?”

ซูเซี่ยนตอบ “ท่านปู่เล่าขอรับ”

“ท่านอ๋องมู่?”

“ได้ยินเสด็จแม่เหมือนจะเรียกเขาว่าท่านอ๋องมู่ขอรับ”

ซูเซี่ยนคิดว่า ท่านพ่อของเขาต้องการฟังเรื่องราวมากกว่านี้เพื่อปลอบประโลมที่เขาเจ็บป่วย หลังจากที่ออกมาจากห้องของซูเจ๋อ ซูเซี่ยนพูดกับแม่นมซุยว่า “อยู่ที่ไหนถึงจะฟังนิทานให้ได้เยอะกว่านี้?”

แม่นมซุยตอบว่า “โรงน้ำชาที่ตลาดมีนักเล่าเรื่องอยู่ เป็นนักเล่านิทานโดยเฉพาะเพคะ”

ซูเซี่ยนอยากไปที่โรงน้ำชา

แม่นมซุนไม่อาจทูลว่าตัวเองตัดสินใจ จึงต้องไปในวังหลวงเพื่อขออนุญาตเฉินเสียน เฉินเสียนเพียงบอกว่า เขาอยากไปก็ให้เขาไป แล้วส่งคนคอยติดตามเขาก็ได้แล้ว

ดังนั้นซูเซี่ยนนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ไปเดินตลาด ตลาดวีชีวิตชีวามากกว่าวังหลวงเสียอีก แต่ทว่าซูเซี่ยนมีจุดประสงค์ที่ตั้งใจมาก ไม่มองข้างๆ เดินตรงไปเพียงที่โรงน้ำชาเท่านั้น

เมื่อเขาเข้าไปในโรงน้ำชาแล้ว พี่เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าเขาเป็นแขกตัวน้อย แต่มีผู้ติดตามหลายคนอยู่ข้างหลังเขา จึงรู้ว่าเขาอาจจะเป็นลูกของครอบครัวใหญ่

ขึ้นไปบนชั้นสอง เขานั่งโต๊ะเดี่ยว ตัวเล็กๆ นั่งบนเก้าอี้ใหญ่ๆ ขาสองข้างห้อยลงมา มีชาอยู่ข้างหน้า เขาไม่ขยับ มองตรงไปยังนักเล่าเรื่องที่อยู่ตรงนั้น

เห็นว่าจังหวะตะลุมพุกดังขึ้น และเรื่องราวที่มีคารมคมคายก็เริ่มเล่าขึ้นแล้ว

ช่วงนี้เรื่องที่เล่าโดยนักเล่าเรื่องไม่มีการเปิดเผยสำคัญใดๆ และลูกค้าชาในโรงน้ำชาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ฮึกเหิม เมื่อนิทานเรื่องแรกจบลง ซูเซี่ยนได้บอกกับแม่นมซุยว่า “เอ้อร์เหนียง ให้เขาพูดต่ออีกสักเรื่องหน่อย”

จริงๆ แล้วนักเล่าเรื่องเล่าเสร็จก็สามารถเลิกงานได้ แต่เมื่อมีแขกต้องการขอให้เขาเล่าต่อ เขาเลยต้องเล่าอีกสองเรื่อง สุดท้ายก็มีเพียงแค่เจ้าน่องน้อยเป็นแขกเหลืออยู่เพียงคนเดียว คนเล่าเรื่องพูดอย่างคอแหบแห้งว่า “คุณชายน้อย พรุ่งนี้ค่อยกลับมาฟังได้ไหมขอรับ? พรุ่งนี้จะเล่าเรื่องใหม่ๆ ให้ท่านได้ฟังต่อ”

ซูเซี่ยนถึงได้หยุด

กลับถึงเรือน ซูเซี่ยนทำท่าทางที่จริงจังนั่งลงอยู่ด้านหน้าเตียง สามารถเล่าเรื่องราวที่เล่าโดยผู้เล่าเรื่องให้ซูเจ๋อฟังได้ครบถ้วนและไม่ตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว

ซูเซี่ยนเล่าได้ครู่หนึ่ง เห็นว่าซูเจ๋อหลับตาไม่มีการตอบสนองอะไร จึงได้ถามแบบเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านหลับแล้วหรือ?”

ซูเจ๋อตอบเบาๆ ว่า “ยังไม่หลับ เจ้าเล่าต่อ”

การเล่าครั้งนี้เล่าจนถึงท้องฟ้าค่อยๆ ค่ำ เหมือนว่าจะทำให้ซูเจ๋อเผลอหลับไปแล้ว

เฉินเสียนอยู่ในห้องตำราทั้งวัน เมื่อหลังจากนางยุ่งเสร็จแล้ว เงยหน้ามองออกไปบนท้องฟ้าก็พบว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว

นางนวดไปที่กลางคิ้ว ถาม “ตอนนี้เวลากี่ยามแล้ว?”

อวี่เยี่ยนตอบอย่างเป็นห่วงว่า “เป็นเวลายามซวี ฝ่าบาท กลับไปที่พระตำหนักไท่เหอพักผ่อนเถอะเพคะ”

เฉินเสียนลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะออกไปนอกวัง”

อวี่เยี่ยนพูดอย่างตกใจว่า “ฝ่าบาท ดึกมากแล้วนะเพคะ ไม่ต้องออกไปนอกวังเลย ช่วงไม่กี่วันมานี้พระองค์ยังไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลย ไปพบใต้เท้าซูเช่นนี้ ก็จะทำให้เขาเป็นห่วงเฉยๆ นะเพคะ”

“แต่ว่าไม่ไปดูเขา ข้าก็ไม่วางใจ” ในขณะที่เฉินเสียนพูด ก็ได้เดินออกไปจากห้องตำรา

อวี่เยี่ยนกับเสี่ยวเฮอถือโคมพระราชวัง พานางในเดินตามตลอดทาง

เสี่ยวเฮอพูด “ฝ่าบาทยังไม่ได้เสวยอาหารเย็นเลยเพคะ จะกลับไปที่พระตำหนักไท่เหอก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ ปล่อยให้ท้องหิวไป จะกลับทำให้ใต้เท้าซูเป็นห่วงได้นะเพคะ”

เฉินเสียนคิด ก็คิดว่ามันก็จริง แล้วพูดว่า “งั้นกลับไปที่ตำหนักไท่เหอกัน ข้าก็อยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน”

ไม่ต้องการเพิ่งออกอุทยานอวี้ฮัว ได้มีคนปรากฏตัวขึ้นในสายตาของนาง

ในวังหลังที่ว่างเปล่านี้ นอกจากคนที่มาใหม่แล้ว ยังจะมีใคร

องค์ชายหกกลัวว่าเขารออยู่ในอุทยานอวี้ฮัวมาระยะหนึ่งแล้ว เขานั่งที่โต๊ะหินข้างๆ เขามีกลุ่มนางในที่เขานำมาจากเย่เหลียง คอยยืนพักวีให้เขา

“องค์จักรพรรดินียุ่งมาก ข้ารอต้องแต่เช้าจนถึงค่ำ นี้นับได้ว่าเพิ่งได้เห็นท่านแล้ว”

เฉินเสียนหยุดฝีเท้า แล้วมองไปยังเสียงที่มา เห็นชุดลายเขานั่งสยายอยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีของว่างมากมาย แต่ไม่ได้จับเลยแม้แต่นิดเดียว

เฉินเสียนฟังเสียงแมลงในคืนฤดูร้อน พูดว่า “องค์ชายหกช่างมีอารมณ์อันสุนทรีย์จริง มาป้อนยุงจนถึงที่นี่ และยุงในอุทยานอวี้ฮัวของข้าต้องดูแลให้ดี อย่าทำให้พวกมันต้องหิวล่ะ”

หลังจากพูดเสร็จก็ไม่มีเวลาสนใจเขา ได้เดินตรงจากไป

แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกองค์ชายหกลุกขึ้นไปขวางทางออกไป คาดไม่ถึงว่าเขายืนอยู่ด้านหน้าของเฉินเสียน โครงร่างที่กางชุดลายนั้นขึ้น และสูงกว่าเฉินเสียนเล็กน้อย ใบหน้าที่ปรากฏขึ้นต่อหน้านางกะทันหัน และไม่มีอันตรายใดๆ แต่ในดวงตาคู่นั้น มีเจตนารมณ์ของความเสน่หาเล็กน้อย

เฉินเสียนคิดว่า เขายังเป็นเด็กที่ยังไม่โต

ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว

เฉินเสียนเดินไปด้านซ้าย องค์ชายหกก็ไปขวางทางด้านซ้าย เฉินเสียนเดินไปทางด้านขวา องค์ชายหกก็ไปขวางทางด้านขวา

นางเริ่มจะโมโห

องค์ชายหกก็พูดอย่างไม่มีอะไร “ข้ารอให้ท่านยุ่งเสร็จช่างยากมาก แม้แต่จะนั่งชมพระจันทร์กับข้าก็ยังไม่มีเวลาให้?”

เฉินเสียนพูด “อยู่ชมพระจันทร์กับท่าน ไม่คิดว่ามันสิ้นเปลืองเวลาข้าหรือ?”

องค์ชายหกหัวเราะ อยากจะยื่นมือออกมาแตะใบหน้าของนาง ถูกนางสกัดข้อมือไว้ครึ่งทาง แล้วสลัดออก องค์ชายหกมองดูนางด้วยนัยน์ตาสีเข้มและกล่าวว่า “ที่ประตูเมืองในวันนั้น เขาช่วยชีวิตท่านไว้จริงๆ นั่นคือสิ่งที่เขาควรทำในฐานะข้าราชบริพารไม่ใช่หรือ? แต่ท่านทำเพื่อเขา จนไม่กลับวังเข้าท้องพระโรง ทั้งยังทำตัวเองเฉื่อยๆ ท่านรู้หรือไม่ตอนนี้ท่านดูขี้เหร่มากแค่ไหน?”

เฉินเสียนพูดด้วยความเฉยชา “ถ้าไม่อยากให้ข้าตีเจ้า ก็ไสหัวไปจากข้า”

“ดูเหมือนว่า เพราะเกี่ยวดองกันครั้งนี้ ความคิดเห็นของท่านที่เกี่ยวกับข้านั้นมากจริงๆ ท่านกำลังโมโหข้าที่ทำให้ท่านกับซูเจ๋อต้องแยกกันใช่หรือไม่?”องค์ชายหกพูดอยากโกรธเคือง “ถึงแม้ข้าไม่มา ท่านกับเขาก็สามารถอยู่ด้วยกันได้เช่นนั้นหรือ?”

“ธุระอะไรของเจ้า”เฉินเสียนผลักเขาออกเดินออกไป

องค์ชายหกพูดอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบว่า “ฝ่าบาท พระองค์ไม่อยากทรงทราบ ว่าทำไมกระหม่อมต้องมาเกี่ยวดอง เป็นใครที่อยู่เบื้องหลังจัดการนี้?”

เฉินเสียนไม่สนใจ เขาพูดต่อว่า “คือซูเจ๋อ”

เฉินเสียนหยุดฝีเท้าเดิน หันกลับมาจ้องมองที่องค์ชายหก องค์ชายหกยิ้มเย้ยที่มุมปาก “ก่อนนั้นที่เขาได้ลงชื่อในสัญญากับเสด็จพ่อของข้า ก็กำหนดเรื่องนี้ไว้แล้ว หากไม่เชื่อก็ไปถามเขาได้ อีกอย่าง เรื่องพิธีการแต่งงานของท่านกับข้า ข้าไม่รีบ รอให้ซูเจ๋อหายดีก่อน จากนั้นข้าจะขอเชิญเขามานั่งลงและมีส่วนร่วมในงานพิธีงานแต่งงานของเรา”

ท้ายที่สุดเฉินเสียนก็ไม่พูดอะไร เดินสาวก้าวยาวๆ ไปที่ตำหนักไท่เหอ

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset