ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 622 เขาต้องกลับมาอยู่แล้ว

หนึ่งเดือนให้หลัง ซูเจ๋อยังไม่ได้กลับมา

เฉินเสียนสะสางงานราชกิจได้ถนัดมากขึ้น เธอทยอยได้รับฎีการายงานผลสำรวจจากแหล่งต่างๆ บางแห่งเกิดการระบาดของตั๊กแตน บางแห่งมีฝนตกหนักเกินไป บางแห่งก็มีปัญหาด้านการจัดสรรทรัพยากรน้ำและบางที่ก็ขาดแคลนทุนทรัพย์ด้านการเกษตรจำนวนมาก สรุปก็คือมีปัญหาหลากหลายรูปแบบ

แน่นอน เมื่อสำรวจแล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาพวกนี้ เมื่อปวงชนเห็นขุนนางมาสำรวจต่างพากันยกยอสรรเสริญว่าใส่ใจราษฎร เห็นผลประโยชน์ของปวงประชาเป็นที่ตั้ง

ซึ่งฎีกาถวายการสำรวจพวกนี้ไม่มีลายมือของซูเจ๋อเลยสักฉบับ เฉินเสียนไม่รู้ว่าเขาอยู่ในกลุ่มสำรวจไหน คงเป็นเพราะกลัวเฉินเสียนจะหาเขาเจอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เขียนฎีการายงานด้วยตัวเอง

ยามที่มวลประชาเก็บเกี่ยวผลผลิตในสารทฤดูต่างพากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะปีนี้มีผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ

ราชสำนักก็พลอยปลาบปลื้มไปด้วย เพราะได้รับข้าวสารเข้าคลังหลวงด้วย

ใบเมเปิ้ลบนภูเขาแทบชานเมืองกลายเป็นสีแดงชาดแล้ว เมื่อมองจากที่ไกลจะพบเป็นสีแดงฉูดฉาดเต็มไปหมด คนในเมืองหลวงถือที่นั่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องแข่งกันไปในสารทฤดู

ซูเซี่ยนเสนอให้เฉินเสียนออกไปเที่ยวนอกวังบ้าง เพียงแต่เธอขังตัวเองไว้ในกรงเหล็ก หัวใจมืดมนไร้แสงสว่าง ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปชมวิวทิวทัศน์กัน

ย่างเข้าสู่เหมันตฤดูเธอก็ไม่เห็นซูเจ๋อกลับมา ทว่ายังดีที่เธอได้รับจดหมายจากซูเจ๋อหนึ่งฉบับ ทำให้ชีวิตไร้ความหวังของเธอแต่งแต้มสีสันขึ้น

อักษรทุกตัวในจดหมายชัดเจน ล้วนเป็นลายมือของซูเจ๋อทั้งสิ้น

เฉินเสียนอ่านอย่างเชื่องช้า ด้วยเกรงว่าจะอ่านจบในช่วงเวลาสั้น

ซูเจ๋อเขียนในจดหมายว่า เขาอยู่ในทิศใต้อย่างปลอดภัยและสุขสบาย เขาได้ลิ้มลองอาหารประจำถิ่นและสัมผัสประเพณีพื้นบ้าน บอกเธอไม่ต้องเป็นห่วง

เฉินเสียนถือจดหมายวางกลางอก ยามราตรีนี้เธอนอนไม่หลับ จิตใจกระสับกระส่าย ไฟจากตะเกียงยังคงส่องแสงสว่างเรืองไร เธอตั้งใจอ่านจดหมายครั้งแล้วครั้งเล่า พลางจินตนาการภาพซูเจ๋อกำลังเขียนจดหมายอย่างคะนึงหา

หัวใจเจ็บปวดจนหายใจไม่สะดวก เธอขดตัวเอง หากเธอมีกระดองก็คงดี เธอจะได้หลบเข้าไปในนั้น จะได้ผ่านพ้นรัตติกาลอันอ้างว้างยาวนานนี้ไปทุกค่ำคืน

ภายหลังความหวังสิ่งเดียวของเฉินเสียนก็คือตั้งหน้าตั้งตารอคอยจดหมายจากซูเจ๋อ โชคดีที่ซูเจ๋อไม่ได้ส่งจดหมายมาเพียงหนึ่งฉบับเท่านั้น เธอจะได้รับจดหมายประมาณครึ่งเดือนหนึ่งฉบับ

การอ่านจดหมายของซูเจ๋อกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารที่สุดของเฉินเสียน

บางเพลากำลังให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้ายามเช้าเพื่อหารือเรื่องราชการ แต่เมื่อผู้ส่งสารเข้ามาถึงพระราชวังแล้วจะมุ่งมายังท้องพระโรงโดยตรง และเฉินเสียนจะวางมืองานราชกิจทุกอย่าง จากนั้นก็นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงพลันฉีกหัวซองจดหมายอย่างลุกลน แล้วเปิดจดหมายอ่านโดยไว

เธอจะนิ่งเงียบเนิ่นนาน จากความนิ่งเงียบก็จะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะเรื่อยๆจนขมวดคิ้วขึ้น

เหล่าขุนนางทั้งหลายพบว่ามีเพียงอัครเสนาบดีซูผู้เดียวที่สามารถทำให้เธอเกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลงได้ เพียงแต่บรรดาขุนนางล้วนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด

เมืองหลวงต้าฉู่มีหิมะโปรยปราย ซูเจ๋อเขียนบอกในจดหมายว่าเจียงหนานก็มีหิมะตก โชคดีที่หิมะไม่ได้ตกมากนัก แม่น้ำจึงไม่ได้จับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง ยังคงล่องเรือได้เฉกเช่นปกติ นั่งจิบชาอยู่บนเรือไปพลาง นิ่งดูหิมะร่วงโรยจากฟากฟ้าไปพลาง ช่างสุนทรีย์ยิ่งนัก

สาเหตุที่เฉินเสียนขมวดคิ้วมุ่นก็เพราะไม่รู้ว่าเขาใส่เสื้อกันหนาวหนาพอหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นหวัดหรือเปล่า ไม่รู้ว่า……เขาจะกลับมาเมื่อใด

ชั่วพริบตาก็ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งปี ซูเจ๋อออกจากเมืองหลวงประมาณห้าเดือนเห็นจะได้แล้ว

คณะขุนนางที่ออกสำรวจไปยังสถานที่ต่างๆ ล้วนทยอยกันกลับเมืองหลวงก่อนท้ายปีจนหมดแล้ว จากนั้นก็เข้าเฝ้าทูลถวายงานแก่เฉินเสียน

เฉินเสียนกวาดสายตามองรอบๆ เห็นขุนนางคนสุดท้ายไม่ใช่ผู้ที่เธอถวิลหาทุกเช้าทุกค่ำ

เธอถาม “อัครเสนาบดีซูล่ะ?”

เหล่าขุนนางพากันจ้องตากัน กราบทูลอย่างระมัดระวังว่า “อัครเสนาบดีซูยังไม่ได้กลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ? พวกกระหม่อมคิดว่าอัครเสนาบดีซูกลับเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ……”

การรอคอยนานนับเดือนของเธอเป็นอันไร้ความหมาย

เฉินเสียนไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึกได้อีกต่อไป เธอจับขุนนางกลุ่มนี้มาถามทีละคน “เขาไม่ได้ไปพร้อมกับพวกเจ้าหรอกหรือ เหตุใดสุดท้ายพวกเจ้ากลับมากันหมดแล้ว เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังไม่กลับ เขาไปไหน หา?”

บรรดาขุนนางคุกเข่ากับพื้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน

เฉินเสียนตวาดใส่พวกเขา “ไยพวกเจ้าไม่ถามว่าเขาไปไหนเล่า?”

“กระหม่อมเคยถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่ายามนั้นอัครเสนาบดีซูพาข้ารับใช้ไปเพียงสองคน บอกว่าไปถึงไหนก็ถือว่าไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ……”

หากไม่ใช่เฮ่อโยวห้ามปราม บอกให้พวกขุนนางถอยออกไป เกรงว่าเฉินเสียนจะติเตียนพวกเขาอีก

ภายในห้องตำราหลวงเงียบกริบ เฉินเสียนกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน “เฮ่อโยว ท่านดูแล้วข้าเหมือนสตรีวิปลาสหรือไม่?”

เฮ่อโยวก็นั่งอยู่บนขั้นบันไดบัลลังก์ มองเธอแล้วกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ “ฝ่าบาทอยากวิปลาสแต่กลับทำไม่ได้ สิ่งนี้คือจุดที่เจ็บปวดที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าซีดเซียวของเฉินเสียนหัวเราะ ก่อนจะก้มหน้าเอามือเท้าคาง กล่าวด้วยความเหน็ดเหนื่อยว่า “พวกเขาเดินทางอย่างเหนื่อยล้า พึ่งกลับมาถึงเมืองหลวงก็ถูกข้าพาลใส่เสียแล้ว เดี๋ยวท่านช่วยข้าปลอบพวกนั้นหน่อย มอบของรางวัลตามผลงานเลย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านก็ถอยไปเถอะ ข้าอยากนั่งคนเดียวสักพัก”

เฮ่อโยวลังเลสักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “ฝ่าบาทนั่งพระองค์เดียว……ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? หากต้องการคนรับฟัง กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนไม่ตอบ แค่ส่ายหัวเท่านั้น

สุดท้ายเฮ่อโยวก็ถอยออก เหลือเพียงเฉินเสียนคนเดียวที่นั่งจนฟ้าสว่าง

หนึ่งปีให้หลัง

วันส่งท้ายปีหรือก่อนวันตรุษจีนหนึ่งวันของปีนี้เฉินเสียนอยู่กับซูเซี่ยนที่พระตำหนักไท่เหอ ทุกครัวเรือนในเมืองหลวงต่างครื้นเครงไปด้วยบรรยากาศฉลองปีใหม่ มีเพียงพระตำหนักอันหรูหราแห่งนี้ที่จืดชืดธรรมดา

เมื่อคราที่ขุนนางแอบรวมตัวกัน ล้วนรู้สึกเห็นใจและสงสารจักรพรรดินีเป็นอย่างยิ่ง หารือกันว่าหลังตรุษจีนพวกเขาจะเสนอให้จักรพรรดินีแต่งงาน ภายในพระราชวังจะได้ไม่เงียบเหงาเกินไป

พอถึงวันตรุษจีน เฉินเสียนก็ออกจากวังไปที่แม่น้ำหยางชุน มองดูผู้ใหญ่พาเด็กๆมาเล่นแถวแม่น้ำสักพัก จากนั้นเธอก็เดินเล่นในถนน พอรู้ตัวอีกทีเธอก็มาถึงหน้าจวนของซูเจ๋อเสียแล้ว

หน้าประตูจวนของเขาเงียบงันกว่าปีที่แล้ว

พ่อบ้านแก่ตัวขึ้นทุกปี ยังไม่ทันเก็บกวาดหิมะหน้าประตูจวน เขาก็เห็นเฉินเสียนมาเยือน ทำให้พ่อบ้านรู้สึกคาดไม่ถึง และทอดถอดใจ

“ฝ่าบาทจะเข้ามานั่งไหมพ่ะย่ะค่ะ?” พ่อบ้านกล่าว “ถึงแม้ใต้เท้าไม่อยู่บ้าน น้ำชาอุ่นๆกระหม่อมก็ยังพอเอาออกมาต้อนรับได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี”

เฉินเสียนเข้าไปในจวน นั่งในห้องที่เธอกับซูเจ๋อเคยพักสักพัก จากนั้นก็ไปห้องตำราของซูเจ๋อต่อ

ห้องตำราของเขาสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แสงสว่างเพียงพอ กางม่านหน้าต่างที่ทำมาจากไม้ไผ่ครึ่งหนึ่ง กระถางธูปมีแต่ขี้เถ้า ไม่มีกลิ่นของไม้กฤษณาเลยสักนิด

เธอนั่งแน่นิ่งอย่างนั้น ไม่ได้แตะต้องข้าวของในห้องตำราเลยสักชิ้น กระทั่งหนังสือหรือภาพวาดก็ไม่เปิดดูเลย เธอเกรงว่าจะทำลายลักษณะที่ซูเจ๋อทิ้งไว้

เมื่อเริ่มราชการหลังตรุษจีน เฉินเสียนก็ออกประกาศตามหาคนทั่วทั้งอาณาเขตต้าฉู่ ซึ่งในรูปภาพเหมือนนั้นวาดภาพของซูเจ๋อนั่นเอง ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนใด ขอเพียงอยู่ในแว่นแคว้นต้าฉู่ก็อาจหาตัวเจอ

ราษฎรแค่ฉงนใจเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าของภาพวาดนี้เป็นใคร ไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีหายตัวไป

ข่าวสุดท้ายที่เฉินเสียนได้รับจากซูเจ๋อคือเดือนหก

บอกว่าเขาไปที่พบปะกับแม่ทัพเจิ้นซีในพรมแดนทางตะวันตก

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset