ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 656 พระองค์ลองลงมือกับนางดูสิ

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพระพักตร์เปลี่ยนสี พระองค์ตรัสว่า “ข้าพยายามพูดดีๆ แต่ท่านไม่ฟัง ดังนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าท่าน ข้าคิดว่าข้าพูดกับท่านชัดเจนแล้ว ถึงจะคุกเข่าอ้อนวอนข้าไปก็เปล่าประโยชน์”

ขณะที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหันหลังเตรียมจะกลับเข้าไปในห้องตำรา เฉินเสียนซึ่งอยู่ด้านหลังก็ยืนกรานอย่างมั่นคงว่า “ขอพระองค์โปรดทรงเมตตา ยอมให้ข้ากับเขาได้อยู่ด้วยกัน”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหยุดฝีเท้า พระองค์หันกลับมาอย่างกริ้วโกรธและตรัสว่า “เดิมทีข้าคิดว่าท่านเพียงแค่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จากที่เห็นวันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่หลักการพื้นฐานท่านก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าควรก้าวไปข้างหน้าหรือควรถอยตอนไหน ไม่รู้จักแม้แต่ความละอาย! ท่านคิดว่าแค่คุกเข่าอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วจะทำให้ข้าเปลี่ยนใจงั้นรึ ท่านมีแต่จะทำให้ข้ารำคาญยิ่งขึ้นก็เท่านั้น!”

เฉินเสียนนิ่งเงียบและไม่โต้แย้ง มันไม่สำคัญเลยว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะรำคาญเธอแค่ไหน เธอมาเพื่อขอร้องพระองค์ และเธอไม่ควรดันทุรังโต้ตอบใดๆ

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “วันนั้นฝีปากของท่านเก่งกล้ามิใช่รึ เหตุใดวันนี้จึงไม่พูดล่ะ หรือว่าข้าพูดแทงใจท่าน ท่านจึงไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร”

ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ในพระทัยของพระองค์ เมื่อเห็นเฉินเสียนเป็นเช่นนี้ไฟโทสะก็ยิ่งลุกโชน พระองค์จึงตรัสอีกว่า “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ผู้สง่าผ่าเผย เพื่อความรักและความเห็นแก่ตัว ท่านถึงกับยอมคุกเข่าต่อหน้าข้า ไม่สนแม้กระทั่งฐานะอันสูงส่งและมีเกียรติของตนเองว่าจะเป็นเช่นไร! นึกถึงตอนนั้น ตอนที่แม่ของท่านอภิเษกสมรสกับต้าฉู่ในฐานะพระธิดาบุญธรรมแห่งเป่ยเซี่ย นางสร้างความสุขให้แก่ประชาชนของทั้งสองอาณาจักร นางสูงส่งอย่างแท้จริง ทั้งยังมีคุณธรรมและเห็นแก่ส่วนรวม นั่นจึงเป็นแบบอย่างที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือจากคนทั้งโลก! แต่ดูท่านซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางสิ ท่านช่างไร้ยางอาย ทำลายเกียรติของนางไปจนหมดสิ้น!”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังตรัสอย่างทิ่มแทงต่อไปว่า “ธิดาบุญธรรมของข้าให้กำเนิดธิดาเช่นท่านออกมาได้อย่างไร หรือว่าเกิดมาแล้วไม่มีมารดาคอยสั่งสอน ท่านจึงกลายมาเป็นคนเห็นแก่ตัวและขาดศีลธรรมจรรยาเช่นนี้”

เฉินเสียนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเอ่ยชัดเจนแล้วว่าวันนี้ข้ามาในฐานะของชนรุ่นหลัง ไม่ใช่ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับต้าฉู่หรือเกียรติของทั้งสองอาณาจักร แล้วก็… พระองค์จะดุด่าข้าอย่างไรก็ย่อมได้ แต่คนตายไปแล้วควรได้พักผ่อนอย่างสบาย ขอพระองค์อย่าทรงพาดพิงถึงบรรพบุรุษ”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยิ้มเยาะและตรัสว่า “ท่านยังสนเกียรติของทั้งสองอาณาจักร ยังสนว่าบรรพบุรุษจะอยู่เป็นสุขหรือเปล่าด้วยรึ แค่ท่านคุกเข่าอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็นับว่าทำให้บรรพบุรุษต้องอับอายขายหน้าพอแล้ว”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าก่อนจะกล่าวว่า “เอาละ เจ้าบอกว่าเจ้ามาในฐานะคนรุ่นหลัง เช่นนั้นข้าจะมองข้ามเรื่องเกียรติของทั้งสองอาณาจักรไปก่อน ถ้านับอาวุโส ข้าคือตาของเจ้า และตอนนี้เจ้ากำลังขอให้ข้ายอมให้เจ้าได้อยู่เคียงข้างน้าของเจ้า เจ้ากำลังร่วมประเวณีกับญาติ! เจ้ามันไร้ยางอาย แต่ข้ายังละอาย!”

ซูเจ๋อยืนอยู่ในมุมมืดเมื่อเขาเข้ามาในวัง สิ่งที่เขาเห็นคือภาพที่เฉินเสียนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น เสียงที่เขาได้ยินคือเสียงคำพูดที่รุนแรงเหล่านั้น

เสื้อผ้าสีดำของเขากลืนไปกับความมืดมิดเปล่าเปลี่ยวในยามค่ำคืน สีหน้าของเขาอึมครึม

สตรีผู้นี้ต้องการให้เขารอเธอ แต่เธอกลับมาอ้อนวอนพ่อของเขาด้วยสภาพที่น่าหยามหยันเช่นนี้

เฉินเสียนพึมพำว่า “ตอนที่ข้ารักเขา ข้าไม่รู้ว่าเขาคือน้าบุญธรรมของข้า” เธอหัวเราะเบาๆ ชวนให้รู้สึกอ้างว้างเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝน “บางที ต่อให้ข้ารู้ว่าเขาคือน้าบุญธรรมของข้า ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ยังคงรักเขาอยู่ดี โชคดีเหลือเกินที่ข้าไม่ใช่ญาติร่วมสายเลือดกับเขา ดังนั้นข้าจึงไม่สนใจทั้งนั้นว่าเขาจะเป็นใคร”

เธอหลุบตาลง แสดงออกอย่างเคารพนอบน้อมจากใจจริง “ได้โปรด ขอให้ข้ากับเขาได้อยู่ด้วยกันด้วยเถิดเพคะ”

ในที่สุดจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ทนไม่ไหวและตรัสอย่างพิโรธว่า “ช่างดื้อด้านสามหาวยิ่งนัก! ในเมื่อดื้อดึงเช่นนี้ วันนี้ข้าจะตบให้เจ้ามีสติแทนแม่ของเจ้าเอง!”

พูดจบจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็เงื้อมือขึ้นเตรียมจะตบลงไปบนหน้าของเฉินเสียนอย่างแรง

ครั้งนี้พระองค์ตั้งใจจะลงมือกับเฉินเสียนจริงๆ และด้วยฝ่ามือที่ทรงพลังนี้ เกรงว่าแค่ตบลงไปครั้งเดียว เฉินเสียนคงจะคว่ำลงไปกองอยู่กับพื้น

ทว่าฝ่ามือนั้นไม่มีโอกาสได้สัมผัสลงมาบนใบหน้าของเฉินเสียน

สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามา ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ครั้นแล้วเสียงสายฝนที่ตกลงมากระทบร่มกระดาษไขก็ดังขึ้นสะดุดหู

เฉินเสียนเงยหน้ามองด้วยความสับสน เธอเห็นร่มกระดาษไขคันหนึ่งกางกั้นสายฝนที่ตกหนักเอาไว้ ร่มนั้นยื่นเอียงๆ มาที่เหนือศีรษะของเธอพอดี มอบความสงบให้เธอซึ่งอยู่อีกด้าน

เธอมองตามรอยข้อต่อจากมือที่ถือร่มไว้ไปเรื่อยๆ จนเห็นซูเจ๋อซึ่งอยู่ในอาภรณ์สีดำ มือข้างหนึ่งของเขากางร่มให้เธอ ในขณะที่มืออีกข้างสกัดมือของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเอาไว้

ในจิตใต้สำนึกของเขา เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับบิดาบังเกิดเกล้ามากนัก นั่นอาจเป็นเพราะพระองค์ไม่เคยอบรมเลี้ยงดูเขาเลยแม้ว่าจะเป็นผู้ให้กำเนิด นอกจากนี้เขาเพิ่งกลับมาเป่ยเซี่ยได้เพียงสองปีหลังจากพลัดพรากจากกันมาอย่างยาวนาน การปลูกฝังความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างพ่อลูกก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นความรู้สึกของเขาต่อทุกอย่างที่มีอยู่ที่นี่จึงเบาบางมาก

ในชั่วขณะที่ทุกอย่างหยุดชะงัก ซูเจ๋อเหมือนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย

ร่างกายครึ่งหนึ่งของซูเจ๋อที่อยู่นอกร่มเปียกโชกทันที โครงหน้าครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในแสงสว่าง ครึ่งหนึ่งอยู่ในเงามืด ส่วนที่มืดมนดูไม่ต่างอะไรกับพญายม

ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นหรี่แสงลง จ้องมองจักรพรรดิเป่ยเซี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา

ซูเจ๋อกล่าวว่า “นางเป็นคนที่ข้าถูกใจ พระองค์ลองลงมือกับนางดูสิ”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยชะงักงัน “เจ้า…”

เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างตกตะลึง

ซูเจ๋อคิดว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยคงไม่คิดลงมือกับเฉินเสียนอีก ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ปล่อยมือและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างว่า “พระองค์เป็นบิดาของข้า แต่ข้าก็ยังไม่เคยคุกเข่าให้พระองค์ การที่นางคุกเข่าให้พระองค์ได้เช่นนี้นับเป็นวาสนาของพระองค์แล้ว ในเมื่อพระองค์ยังไม่เคยปฏิบัติต่อนางอย่างห่วงใยในฐานะพระราชนัดดา พระองค์ก็ไม่มีสิทธิ์อ้างตัวเป็นพระอัยกาทำให้นางต้องอับอาย”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอึดอัดพระทัยและพูดอะไรไม่ออก

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมีอำนาจ แต่พระองค์กลับทำอะไรซูเจ๋อไม่ได้ แม้ว่าพ่อลูกจะรู้จักกันแล้ว แต่ซูเจ๋อไม่ได้มีความรักความผูกพันกับพระองค์ในฐานะพ่อลูก เขาปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเย็นชา ไม่เว้นแม้กระทั่งพระองค์

ความเย็นชาและเฉยเมยไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะนั่นคือธรรมชาติของซูเจ๋อ แต่มันยังเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในตอนที่เขายังเยาว์วัย เฉพาะกับคนที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างห่วงใยเท่านั้น ที่เขาจะยอมทุ่มเทให้โดยไม่ลังเล

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเขาจะจำเรื่องในอดีตได้หรือไม่ เขาจะปฏิบัติต่อสตรีผู้นี้เช่นเดิมเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เฉินเสียนพันธนาการเขาไว้และสลักตนเองไว้ในจิตวิญญาณของเขา

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยผิดหวังเป็นอย่างมาก พระองค์ตรัสว่า “เป็นไปได้หรือที่ข้าพยายามทุ่มเทให้เจ้าอย่างสุดหัวใจแต่ข้าก็ยังเทียบนางไม่ได้!”

เฉินเสียนหัวเราะ เธอหัวเราะราวกับมีความสุขทว่ากลับดูเศร้าระทม พอหัวเราะออกมาน้ำตาก็พาลไหล กลายเป็นร้องไห้ไปหัวเราะไปเหมือนเด็กที่รู้สึกน้อยใจในความไม่ยุติธรรม

ซูเจ๋อโน้มศีรษะลงมาและมองเธอ ปลอบโยนเธออย่างนุ่มนวล “ข้าอยู่นี่แล้ว ท่านจะร้องไห้เป็นทุกข์อยู่ทำไม”

ความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ที่ซูเจ๋อมีต่อเธอทำให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้สึกระคายพระเนตรเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยปฏิบัติต่อพระองค์อย่างใจดีเช่นนี้เลย

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อและกลับเข้าไปยังห้องตำราหลวงอย่างไม่พอพระทัย

เฉินเสียนเห็นสายฝนโปรยปรายลงมาบนไหล่ข้างหนึ่งของซูเจ๋อ เธอขยับขาอยากจะลุกขึ้นผลักร่มไปทางเขา ทว่าขาทั้งสองข้างชาจนไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆ และไม่รู้ว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตากันแน่ที่ไหลลงมาจากเบ้าตาไม่หยุด เธอเอ่ยปนสะอื้นว่า “ท่านไม่ต้องสนใจข้า ถึงอย่างไรข้าก็เปียกแล้ว ท่านกางร่มให้ตัวเองเถิด”

ซูเจ๋อย่อตัวลงมาอีกและซุกตัวอิงแอบกับเฉินเสียนอย่างแนบชิด กางร่มบังพวกเขาทั้งคู่เอาไว้และกล่าวว่า “เท่านี้ก็บังมิดทั้งท่านและข้าแล้ว”

เฉินเสียนเพิ่งจะรับรู้ถึงความหนาวเย็นที่เย็นเยียบไปถึงกระดูกในตอนนั้นนั่นเอง

เมื่อครู่นี้ที่ฝนกระหน่ำลงมาเธอไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ฝนซาแล้ว เพราะซูเจ๋ออยู่ที่นี่ เธอจึงถอดเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มอยู่ออกไปโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเธอและเขาอยู่ใกล้กันมากจนเธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเรือนกายที่เขามอบให้เธอ

เธอมองใบหน้าของซูเจ๋ออย่างใกล้ชิด ใช้ปลายนิ้วอันเปียกชื้นไล้ไปตามคิ้วของเขา น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากขอบตา เธอถามว่า “ซูเจ๋อ ท่านจำข้าได้แล้วใช่ไหม”

ซูเจ๋อมองดูเธออย่างพินิจ ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมเปียกชื้นที่ข้างหูของเธอและกล่าวว่า “ถ้าข้าบอกว่าข้าจำไม่ได้ ท่านจะผิดหวังหรือไม่”

เฉินเสียนหยุดร้องและยิ้มออกมา “ท่านยังจำข้าไม่ได้แต่กลับทำเพื่อข้าเช่นนี้ ข้ายิ่งควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือ”

ซูเจ๋อเองก็ยิ้มและกระซิบอย่างอ่อนละมุนว่า “ท่านก็คิดได้” พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อและคุกเข่าลงนั่งข้างๆ เฉินเสียน

เฉินเสียนตกใจรีบประคองเขา ทว่าตอนนี้ขาทั้งสองข้างชาจนขยับไม่ได้ เธอจึงพยุงเขาให้ลุกขึ้นไม่ได้ “ลุกขึ้นซูเจ๋อ! ท่านต้องลุกขึ้นนะ! ร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว!”

“จะทำอย่างไรได้ล่ะ อยู่ๆ ข้าก็อยากลองไปต้าฉู่ดูสักครั้ง ไปดูว่าที่นั่นเป็นอย่างไร แต่น่าเสียดายที่จักรพรรดิของข้าไม่เห็นด้วย จะแอบตามท่านไปก็ทำไม่ได้ แบบนั้นมีแต่จะทำให้ท่านเสียชื่อเสียง ท่านคุกเข่าอ้อนวอนได้ ข้าจะทำบ้างไม่ได้หรือ”

“ซูเจ๋อ ลุกขึ้น…”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset