ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 – ตอนที่ 2 ปีศาจมีจริง

แต่เสื้อผ้าของนางกลับเปิดเผยยิ่งกว่าหญิงคณิกาที่ร่านร้อนที่สุดที่เขาเคยเห็นเสียอีก

ท่าทีนิ่งเฉยราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง ประกอบกับผิวขาวราวหิมะยั่วยวนใจผู้คน ยิ่งก่อให้เกิดเป็นเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างน่าประหลาด ผู้ชายมองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกเหมือนได้ดื่มสุราเลือดกวาง กินน้ำแกงหู่เปียน[1]

ถึงตอนนี้ เซียวเถี่ยเฟิงถึงได้รู้ว่าที่แท้บนโลกนี้ก็มีปีศาจอยู่จริง

ที่แท้ปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องสวยหยาดเยิ้มเหมือนชุนเถาเอ๋อในหมู่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมากรักเหมือนแม่ม่ายซิ่วเฟิน นางเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยก็สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ทำให้เขาลืมหายใจ ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน

เซียวเถี่ยเฟิงกำหมัดแน่น พยายามระงับความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในอก ไม่ให้ตัวเองจมลงสู่ความปรารถนาที่แสนจะไม่คุ้นเคยและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

นี่คือปีศาจ นี่คือปีศาจตนหนึ่ง ปีศาจที่ทำร้ายผู้คนในสวนแตง เขากลั้นหายใจนิ่ง พยายามบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะบางส่วนในร่างกายก็เปิดโปงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาออกมาจนหมดสิ้น

แสงจันทร์สลัว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ยามค่ำคืนในภูเขาเงียบสงัด แม้กระทั่งหมาในหมู่บ้านก็ยังไม่เห่าสักครั้ง ลมหายใจของเซียวเถี่ยเฟิงถี่กระชั้น แผงอกขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วราวกับจังหวะตีกลอง

เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียการควบคุมตัว ตรงหน้าคือหุบเหวลึก หากเดินต่อไปคงไม่เหลือแม้แต่ซากศพ ดังนั้น เขาจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้

แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นนางเลียริมฝีปาก

ริมฝีปากที่แสนจะธรรมดา ถูกลิ้นสีชมพูเล็กๆ เลียผ่านเบาๆ

เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดขึ้นในสมองของเขา

หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาถูกจับใส่หม้อนึ่งจนมีควันลอยกรุ่นอยู่แล้ว ตอนนี้ลิ้นน้อยๆ ของนางก็ไม่ต่างอะไรกับฟืนที่สุมเข้าไปในกองไฟ ทำให้ไฟยิ่งลุกโชน

ไฟในอกของเขาลุกพรึบ เลือดในกายร้อนระอุ ร่างกายร้อนผ่าวราวกับจะระเบิด ลำคอแห้งผากเปล่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วง

เขาอยาก…

“ฉันเตือนคุณก่อนนะ อย่าเข้ามาเด็ดขาด ไม่งั้นฉันสู้ตายแน่ ขอเพียงคุณไม่เข้ามา ฉันจะให้เงินคุณ ให้เป็นสองเท่าเลย แค่คุณยอมปล่อยฉันไปเท่านั้น”

กู้จิ้งเห็นชายหนุ่มตรงหน้ายังคงจ้องเธอนิ่งราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเธอสักนิด แววตาของเขาดูเร่าร้อนราวกับอยากจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนลงท้องอย่างไรอย่างนั้น

ผู้ชายคนนี้อดอยากมากี่ปีแล้ว ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นผู้หญิงมาก่อนรึไง?

กู้จิ้งมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง เท้าค่อยๆ ขยับถอยหลังโดยไม่ให้เขารู้ตัว

เธอเคยได้ยินมานานแล้วว่า พวกนักค้ามนุษย์ชอบหลอกผู้หญิงมาขายที่หมู่บ้านชนบทห่างไกล คนในหมู่บ้านโง่เขลาไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นจึงมักจะจับผู้หญิงขังเอาไว้แล้วข่มเหงต่างๆ นานา จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นมีลูกถึงได้ยอมเลิกรา ซ้ำร้ายชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ละแวกนั้นก็ยังช่วยกันปกปิดความจริงไม่ให้คนนอกรู้อีกด้วย

ซึ่งก็หมายความว่า หากหลงเข้ามาในปากเสือ ต่อให้มีปีกก็ยากจะบินหนีไปได้

กู้จิ้งย่อมไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองมีชะตากรรมเช่นนั้น เธอกวาดตามองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าที่นี่คือสวนแตงที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง

แม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายบ้านนอกหยาบกร้านคนนี้ถึงได้พาเธอมาไว้ที่สวนแตง แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิด รอบด้านไร้ผู้คนเช่นนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการหลบหนีมากที่สุด

ขอเพียงเธอสลัดหลุดจากผู้ชายคนนี้ได้ เธอจะต้องหาทางหนีไปจากหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ได้แน่

กู้จิ้งจ้องผู้ชายคนนั้นตาเขม็งแล้วก้าวถอยหลังไปทีละก้าวๆ ทันใดนั้น เขาก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าหยาบกระด้าง

อะไรเนี่ย?

กู้จิ้งขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นสำรวจผู้ชายร่างใหญ่แข็งแรงตรงหน้า

เขาพูดภาษาอะไรกันเนี่ย ทำไมไม่เข้าใจสักนิด

แต่ไม่นานนัก เธอก็เข้าใจ

ใช่แล้ว ที่นี่ต้องเป็นบ้านนอกที่ห่างไกลและล้าหลังเอามากๆ ผู้คนพูดภาษาถิ่น เธอก็เลยหลงคิดว่าเป็นภาษาต่างประเทศ

เรื่องนี้เธอมีประสบการณ์มาก่อน สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เวลาที่รูมเมทของเธอโทรศัพท์หาพ่อแม่ก็มักจะพูดภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนภาษาต่างประเทศเหมือนกัน

“คุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ! คุณก็คงไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหมือนกันใช่ไหม?” กู้จิ้งรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นตะโกนถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงสุภาพ สีหน้าสงบนิ่ง

“แต่ไม่เป็นไร เรายังเจรจากันได้”

กู้จิ้งกล่าวปลอบขวัญศัตรูพลางตั้งท่าจะวิ่งหนีไปให้ไกล

เธอไม่โง่ ย่อมรู้ดีว่าเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องก็ไม่มีทางเอาชนะด้วยปัญญา ทางเดียวที่ทำได้คือหนี!

ผู้ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ร่างกายแข็งแรง หวังว่าเขาจะไม่ชอบวิ่งระยะไกลด้วยหรอกนะ

กู้จิ้งกลั้นหายใจแล้วเผ่นหนีไปข้างหน้าสุดชีวิต เสียงลมดังอื้ออึงอยู่ตรงข้างหู แต่เธอก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัดฟันวิ่งต่อไปเรื่อยๆ

นี่คือการเดิมพันด้วยความเป็นความตาย หากวิ่งชนะผู้ชายคนนี้ได้ เธอก็จะมีชีวิตรอด

เธอไม่กล้าหยุดฟังเสียงเคลื่อนไหวที่ด้านหลังเสียด้วยซ้ำ

วิ่งไปๆ ทันใดนั้น กำแพงสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างของเธอกระแทกเข้ากับมันอย่างแรงไม่ต่างจากถุงทรายที่ถูกขว้างลงบนพื้น ทำให้เธอหมุนคว้างไปหลายรอบก่อนจะล้มหน้าคว่ำลงไปกองกับพื้น

เธอพยายามฝืนยันร่างที่เหมือนจะหลุดออกเป็นชิ้นๆ ให้ลุกขึ้น แต่ก็เจ็บแปลบไปทั้งตัวจนแทบขยับไม่ไหว

ความสิ้นหวังผุดขึ้นในใจ กู้จิ้งอดคิดไม่ได้ว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครดวงซวยยิ่งกว่าเธออีกแล้ว

ในยามคับขันที่ต้องหนีเอาชีวิตรอด เธอกลับสวมรองเท้าผ้าหลวมโพรก แค่นี้ยังไม่พอ ระหว่างที่วิ่งร้อยเมตร เธอยังพุ่งเข้าใส่ท่อนไม้ไม่ต่างจากกระต่ายโง่ๆ ในเรื่องเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายอีกด้วย

จริงๆ แล้วแค่ชนตอไม้เธอก็ยังพอตะเกียกตะกายขึ้นมาวิ่งต่อได้ แต่โชคร้ายที่ข้อเท้าของเธอดันแพลงเสียนี่

คนที่มีสภาพไม่ต่างจากคนพิการเช่นเธอไม่มีทางวิ่งชนะผู้ชายตัวล่ำบึ้กคนนั้นได้แน่ ดูท่าเธอจะเหลือทางเลือกแค่ทางเดียวเท่านั้น เอาชนะด้วยปัญญา

เธอหันกลับไปมองด้านหลัง

ทันใดนั้นก็อดประหลาดใจไม่ได้

ผู้ชายคนนั้นไม่ได้วิ่งตามมาเสียด้วยซ้ำ เขายังคงยืนมองเธออยู่ตรงจุดเดิม

พระจันทร์บนท้องฟ้าสาดแสงลงมาที่สวนแตง ทำให้เงาร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเห็นเป็นเงาทอดยาว เสียงร้องของจิ้งหรีดดังขึ้นทางนั้นทีทางนี้ที เขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง

ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มองเธอด้วยสายตาเยือกเย็นแบบนี้ ทำไมเขาถึงไม่ไล่ตามมา?

เขาแน่ใจว่าเธอจะหนีไม่พ้นงั้นหรือ?

เขาแน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะหนีไม่พ้น?

กู้จิ้งคิดถึงตรงนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น

เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่า เธอกู้จิ้งจะเอาชนะผู้ชายบ้านนอกโง่เขลาไร้ความรู้ไม่ได้!

ดังนั้นเธอจึงกระดิกนิ้วเรียกเขาแล้วส่งยิ้มไปให้ “คุณมานี่สิ”

แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่เคลื่อนไหวสักนิด

หึ ใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับงั้นรึ? นายแน่ใจรึว่าฉันจะหนีไม่พ้น?

แต่คิดดูก็ใช่ ข้อเท้าของเธอแพลงไปแล้วจะหนียังไง เขาต้องมองออกแน่

คิดได้เช่นนี้ กู้จิ้งก็โบกมือเรียกผู้ชายคนนั้นแล้วส่งยิ้มไปให้อีก “คุณอยากเอาฉันไม่ใช่หรือ ได้ เข้ามาเลย”

บางทีอาจเป็นเพราะถ้อยคำยั่วยวนของกู้จิ้ง หรือไม่ก็ท่าทาง ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขาดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ตัดสินใจเดินมาหาเธอ

ย่างก้าวของเขาเชื่องช้าแต่ทรงพลัง

กู้จิ้งเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิด ใจคิดว่าผู้ชายคนนี้คงเห็นเธอเป็นแค่กระต่ายที่ไม่มีปัญญาหลบหนีก็เลยคิดจะหยอกเล่น รอจนเธอหมดหวังเมื่อไหร่ เขาก็จะลับมีดแล้วเชือดเธอกินสินะ

 

เพียงหญิงสาวผู้เย็นชาแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์เย้ายวนเลียริมฝีปาก

เซียวเถี่ยเฟิงก็รู้สึกเหมือนตัวเองมีสภาพไม่ต่างจากฝักถั่วที่ถูกตากแดดจนแห้งใกล้ระเบิดเต็มที ในขณะที่เขากำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้นั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินหญิงสาวกล่าวคำพูดประโยคหนึ่ง

คำพูดประโยคนั้นทำให้เขาถึงกับตะลึงงัน

มันเป็นคำพูดที่เขาฟังไม่เข้าใจสักนิด แม้ว่าเขาจะเคยเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เหยียบย่ำไปทั่วแผ่นดิน แต่เขาก็ไม่เข้าใจเลยว่านางกำลังพูดอะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาษาท้องถิ่นของที่ไหนมีส่วนคล้ายคลึงกับภาษาที่นางพูด

มันเป็นภาษาที่ไม่เหมือนกับภาษาถิ่นใดๆ ที่เขาเคยรู้จักมาก่อน

ทำไมถึงได้มีคนพูดภาษาแบบนี้นะ?

เซียวเถี่ยเฟิงเริ่มสงสัย ความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาที่ได้เห็นผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งแรกผุดขึ้นในใจอีกครั้ง คงไม่ใช่ว่านางไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจหรอกนะ?

ยามดึกสงัด ในสวนแตงบนภูเขา เขาได้พบกับสตรีที่ทั้งเย็นชาทั้งมีเสน่ห์เย้ายวน หากไม่ใช่ปีศาจจะเป็นอะไรไปได้

ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวของครอบครัวดีๆ ครอบครัวไหนจะมาปรากฏตัวในสถานที่แบบนี้ ในเวลานี้?

เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับปีศาจในเขาเว่ยอวิ๋นที่เคยได้ยินมาสมัยเด็กผุดขึ้นในใจ

ระหว่างที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น ผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเขาด้วยภาษาที่ฟังไม่เข้าใจอีก

เซียวเถี่ยเฟิงก้มหน้าลงมอง เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่มีอะไรผิดปกติ ส่วนน้ำเสียงที่พูดก็เย่อหยิ่งเย็นชา ราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาสักนิด

 

————————————————–

[1] อวัยวะเพศของเสือ

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัว

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัว

ในถุงหนังนั่นมีอะไร? เขาคิดจะเปิด แต่จู่ ๆ ปากถุงก็คลี่ออกเองเสียอย่างนั้น จากนั้นศีรษะของใครบางคนก็โผล่ขึ้นมา ถึงตอนนี้ เซียวเถี่ยเฟิงถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วบนโลกนี้มีปีศาจอยู่จริง ที่แท้ปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องงามหยาดเยิ้มเหมือนชุนเถาเอ๋อผู้งามล้ำในหมู่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมากรักเหมือนแม่ม่ายซิ่วเฟิน นางเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น แล้วมองมาด้วยสายตาเรียบเฉยก็สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้แล้ว เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียการควบคุม ตรงหน้าคือหุบเหวลึก หากยังคงก้าวเดินต่อคงไม่เหลือแม้แต่ซาก ดังนั้นเขาจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ทว่าจู่ ๆ นางก็เลียริมฝีปาก…

Options

not work with dark mode
Reset