ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 9-2 ตั้งท่าตั้งรับเพื่อบีบให้แต่งงาน

 
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กอดแขนเมิ่งชื่อแน่น พูดออดอ้อนนาง “ท่านแม่ เราปรึกษากันหน่อยได้ไหมเจ้าคะ…”  
 
 
ยังไม่ทันได้พูดต่อ ก็ถูกเมิ่งชื่อตัดบท “ไม่มีอะไรต้องปรึกษากันอีก ของพวกนี้เจ้าต้องนำไปด้วยทั้งหมด”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหมายจะพูดให้นางยอมจำนน “แต่ของพวกนี้เยอะเกินไป ต้องบรรทุกสองรถม้า พวกเราเอาของพวกนี้ไปด้วยจะเดินทางล่าช้า”  
 
 
เมิ่งชื่อไม่อ่อนข้อให้ “เจ้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เดิมแม่คิดจะเตรียมของให้เจ้ามากกว่านี้ แต่พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าพยายามห้ามไว้ แม่ถึงเตรียมไว้เพียงเท่านี้”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งแขนเมิ่งชื่อไปมา พูดกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ ข้าไปบีบให้แต่งงาน ขอเพียงพวกเขารับปากแต่งงาน ข้าก็จะกลับมารอเป็นเจ้าสาวทันที ใช้เวลาไม่นานหรอกเจ้าค่ะ”  
 
 
เมิ่งชื่อตบหลังมือนางพูดว่า “เจ้านึกว่าแม่ไม่รู้อะไรจริงๆ อย่างนั้นรึ การแต่งงานของเจ้ากับอี้เซวียนจะลุล่วงดั่งใจหมายได้อย่างไร สถานะของพวกเจ้าแตกต่างกันมาก ต่อให้อี้เซวียนยินยอมขอเจ้าแต่งงาน พวกเจ้าก็ไม่มีทางได้แต่งงานโดยง่าย เชื่อแม่ นำของพวกนี้ไปด้วย พอถึงเมืองหลวงหาซื้อเรือนสักหลังก่อน เรื่องแต่งงานต้องใช้เวลา”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแข็งค้าง แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมทันควัน ยิ้มตบหน้าอกพูดว่า “ท่านแม่ บุตรสาวท่านเป็นใคร ข้าออกโรงเองยังจะบีบให้ใครแต่งงานไม่สำเร็จอีก ท่านวางใจเถอะ อย่างมากก็สามเดือน ข้าจะได้แต่งงานกับอี้เซวียน”  
 
 
เมิ่งชื่ออมยิ้มไม่พูดอะไร  
 
 
บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึมครึม  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุด ร้องโหวกเหวกไม่พอใจ “พวกท่านเป็นอะไรกัน ไม่เชื่อมั่นในตัวข้าแล้วรึ?”  
 
 
เมิ่งชื่อถอนหายใจ ตบแผ่นหลังนาง พูดว่า “ฟังแม่นะ ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืน อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง กลับมาใช้ชีวิตสุขสงบเรียบง่ายที่บ้านเรา”  
 
 
ซุนเชี่ยนฝืนยิ้มพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ อี้เซวียนและน้องสาวมีความผูกพันลึกซึ้ง การแต่งงานนี้จะต้องประสบความสำเร็จ ท่านอย่าเป็นห่วงไปเลย”  
 
 
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดทันควัน “ได้ๆๆ ข้าจะเชื่อท่านแม่ นำสิ่งของทั้งหมดนี้ไปด้วย หากพวกคนจวนอ๋องฉีกล้าปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ข้าพาคนอีกโขยงไปกินนอนอยู่หน้าประตูจวนอ๋องฉี”  
 
 
เมิ่งชื่อยิ้มออกแล้ว ตีนางเบาๆ พูดติเตียน “เจ้านะ อายุสิบแปดปีแล้ว ยังพูดจาไม่เป็นโล้เป็นพายอีก”  
 
 
ในที่สุดก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้โล่งใจ แอบแลบลิ้นใส่ซุนเชี่ยน  
 
 
ซุนเชี่ยนอมยิ้มกลั้นขำ  
 
 
ทั้งครอบครัวพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งชื่อก็ให้เมิ่งฉีกลับไปดูแลภรรยาตัวเอง  
 
 
เมิ่งฉีพยักหน้า ลุกขึ้นพูดอีกสองสามคำ ก็กลับบ้านตัวเองไป  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เมิ่งเสียนและภรรยาอยู่คุยกับสองสามีภรรยาเมิ่งต่อ ตัวเองเดินมายังเรือนรอง  
 
 
สะใภ้เหวินทั้งสามคนและเหวินเหลียนไปทำงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยมแป้งมันฝรั่ง เหวินเป้าบังคับรถม้าไปส่งพวกเขา ในเรือนเหลือเพียงเหวินเปียวและเหวินหู่สองคน  
 
 
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ทั้งสองก็น้อมเรียก “แม่นาง”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเล็กน้อย พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะเข้าเมืองหลวง พวกเจ้าตามข้ากลับไปด้วยเถอะ”  
 
 
ทั้งสองตะลึงงัน  
 
 
ครู่หนึ่งเหวินเปียวถึงพูดอย่างตื้นตัน “แม่นางหมายความว่าจะให้พวกเราเข้าเมืองหลวงไปด้วยหรือขอรับ?”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  
 
 
เหวินเปียวและเหวินหู่ปิติยินดี เกือบจะกระโดดตัวลอย หกปีแล้ว ในที่สุดก็จะได้กลับเมืองหลวง   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีดีอกดีใจของพวกเขา ก็ยกยิ้มพูดว่า “พวกเจ้าเติบโตที่เมืองหลวง คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นั่นดี พอพวกเราไปถึง เรื่องทุกอย่างจะมอบให้พวกเจ้าสองคนเป็นคนจัดการ”  
 
 
ความปิติในน้ำเสียงเหวินเปียวสะกดไว้ไม่อยู่แล้ว “วางใจเถอะขอรับแม่นาง พวกเราจะจัดการให้เป็นอย่างดีเลยขอรับ”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากต่อ “พอพวกเราไปถึงเมืองหลวง พวกเจ้าหาซื้อเรือนสักหลังก่อน ไม่ต้องใหญ่มาก แต่จะต้องมีทำเลที่ตั้งดี ราคาแพงหน่อยก็ไม่เป็นไร”  
 
 
ทั้งสองพยักหน้ารับคำ “ทราบแล้ว แม่นาง”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “คืนนี้พูดกับคนในครอบครัวให้เรียบร้อย พวกเราไปเมืองหลวงครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ บอกพวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”  
 
 
ทั้งสองยังคงพยักหน้า  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ถึงสภาพจิตใจของพวกเขา กำชับอีกสองสามคำ แล้วหันหลังเดินออกมา  
 
 
เพิ่งจะเดินพ้นประตูเรือน เสียงกระหืดกระหอบของเหวินเปียวก็ดังแว่วมา “แม่นาง ช้าก่อน”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า หันศีรษะกลับไป  
 
 
สีหน้าเหวินเปียวไม่เหลือความปิติยินดีเมื่อครู่แล้ว ก้าวเท้าอาดๆ มาเบื้องหน้านางพูดว่า “แม่นาง พวกเราเอาแต่ดีใจ ลืมว่าพวกเราถูกขับออกจากเมืองหลวงอย่างไร บัดนี้จะให้พวกเราตามท่านกลับไป จะก่อความเดือดร้อนให้ท่านหรือไม่?”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทั้งสองคนพูดว่า “ครั้งนี้ข้าจะไปบีบให้แต่งงาน ก็คือไปก่อความเดือดร้อน เพิ่มพวกเจ้าไปด้วยจะเป็นไรไป”  
 
 
เหวินเปียวยังคงลังเล “แต่ว่า “คนที่พวกเราล่วงเกินในตอนนั้นเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลท่านมหาเสนาบดี หากเขาเห็นพวกเรา จะต้องมาหาเรื่องพวกเรา ถึงตอนนั้นเกรงจะลำบากมาถึงแม่นางด้วย”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มสุกใสเจิดจ้า พูดว่า “พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี ยังไม่รู้จักข้าอีกหรือ? ที่ข้าไม่กลัวที่สุดก็คือความเดือดร้อน พวกเจ้าเพียงจำไว้ว่า หากมีใครจงใจหาเรื่องให้ซัดพวกมันกลับไป ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เรื่องที่เหลือข้าจะเป็นคนจัดการเอง”  
 
 
เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้ามองกัน แล้วยืดหลังแอ่นอก เปล่งเสียงขานรับดังลั่น “ทราบแล้ว แม่นาง!”  
 
 
เสียงก้องกังวานทำให้กัวเฟยและเหล่าองครักษ์มองเข้ามา  
 
 
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว กัวเฟยก็เดินเข้ามา พูดอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้จะมีสิบคนตามพวกเราเข้าเมืองหลวง คนที่เหลือคอยเฝ้าอยู่ที่บ้านขอรับ”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งการเขา “เฝ้าดูคุณชายรองให้ดี พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่”  
 
 
กัวเฟยขานรับคำ  
 
 
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับเข้ามาในห้องตัวเอง เปิด**บออก หยิบป้ายหยกสองแผ่นและตั๋วเงินอีกปึกหนึ่งออกมาเก็บไว้ให้ดี พลันเลือบไปเห็นจดหมายสี่ฉบับ นางขบคิดเล็กน้อย ก็หยิบออกมาวางไว้ด้วยกัน ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย รอคอยการเดินทางในวันพรุ่งนี้  
 
 
เมิ่งฉีกลับมาถึงบ้าน บอกภรรยาเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปเมืองหลวง หวังเยียนอยากจะมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวให้ได้  
 
 
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อที่ไม่ได้นอนทั้งคืนลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า  
 
 
หลังจากทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จ พวกกัวเฟยก็ขนข้าวของทั้งหมดขึ้นไปไว้บนรถม้าเสร็จเช่นกัน  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเดินออกไป เมิ่งเสียนร้องเรียกนาง ล้วงตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ วางใส่มือนาง พูดว่า “เจ้ารับตั๋วเงินพวกนี้ไป หากว่าไม่พอ ให้ส่งข่าวกลับมา”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะปฏิเสธ  
 
 
ซุนเชี่ยนเดินขึ้นหน้า พับมือของนางลง พูดว่า “รับไปเถอะ นี่เป็นน้ำใจของข้าและพี่ใหญ่เจ้า เมืองหลวงหนทางยาวไกล พวกเราคงช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวตื้นตันใจน้ำตาเอ่อ ไม่ปฏิเสธอีก เก็บตั๋วเงินไว้ให้ดี  
 
 
“น้องสาว!” น้ำเสียงกระวีกระวาดของเมิ่งฉีดังมาแต่ไกล  
 
 
ทุกคนหันมองไป เห็นเมิ่งฉีประคองหวังเยียนที่เดินอุ้ยอ้ายตรงเข้ามา  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินออกไปรับ พูดตำหนิเมิ่งฉี “พี่รอง พี่สะใภ้รองท้องโตขนาดนี้แล้ว พวกท่านไม่ต้องมาก็ได้”  
 
 
หวังเยียนจับมือนาง หายใจหอบพูดว่า “อย่าโทษพี่รองเจ้าเลย ข้าเองที่อยากมาส่งเจ้าให้ได้”  
 
 
ว่าแล้วก็ส่งสายตาให้เมิ่งฉี  
 
 
เมิ่งฉีล้วงตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมา พูดว่า “น้องสาว นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้าและพี่สะใภ้รอง”  
 
 
“เมื่อครู่พี่ใหญ่ให้ข้ามาไม่น้อยแล้ว ข้าเองก็ยังมี คงไม่มีอะไรให้จับจ่าย ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาแล้ว”  
 
 
หวังเยียนรับตั๋วเงินมา ฝืนยัดใส่มือนาง พูดว่า “เมืองหลวงข้าวของแพง พกตั๋วเงินไปมากหน่อยกันไว้ดีกว่าแก้”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา จำต้องรับตั๋วเงินมา พูดว่า “ขอบคุณพี่รอง พี่สะใภ้รอง”  
 
 
หวังเยียนตบหลังมือนาง ไม่พูดอะไร  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาคนทั้งหมด ขึ้นนั่งบนรถม้าเดินทางมุ่งทางไปเมืองหลวง  
 
 
เมิ่งชื่อมองดูรถม้าไกลออกไป น้ำตาที่ฝืนกล้ำกลืนไว้หลั่งรินเป็นสาย  

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset