ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 132 คนทำผิดย่อมมีพิรุธ

“นางเป็นเพียงข้ารับใช้คนหนึ่งในจวนเท่านั้นขอรับ มีหน้าที่ทำความสะอาดภายในจวน ข้าเป็นคนจัดการดูแลนางเองโดยตลอด”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงถามเหลียนเซียงว่า “นางเคยพูดอะไร ทำอะไรกับเจ้าบ้าง”
 
 
จนถึงตอนนี้แล้ว เหลียนเซียงไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป นางตอบอย่าสัตย์จริงว่า “เมื่อวานพี่หลิวเซียงมาหาข้า บอกว่าอยากให้ข้าช่วยอะไรเสียหน่อย เสร็จเรื่องแล้วจะให้ข้าสามสิบอัฐเป็นค่าตอบแทน ข้าน้อยเกิดโลภจึงตอบตกลงไป แต่หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว วันนี้ข้าน้อยก็ยังไม่ได้พบหน้านางอีกเลยเจ้าค่ะ”
 
 
“นางให้เจ้าทำอะไร”
 
 
“นางสั่งให้ข้ารอที่หน้าจวนนั่น เมื่อถึงเวลาแล้วจะมีแขกมา ให้ข้านำน้ำชาไปถวายและเดินออกมาเป็นพอ นอกจากนี้ก็ไม่ได้ให้ข้าทำอะไร แต่…”
 
 
“แต่อะไรล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบถามต่อ
 
 
“แต่ว่าตอนนั้นนางบอกข้าเพียงแค่ว่าจะมีแต่ท่านมาผู้เดียว แต่ว่าท่านมากับคุณหนูอีกสองท่าน ข้าน้อยก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ข้าเดินไปบอกนางนอกจวน นางก็เดินหายไป จากนั้นก็ยกน้ำชามาอีกสองถ้วย มอบให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็ยกมาถวายให้เจ้าค่ะ”
 
 
“เจ้าไม่รู้หรือว่าในถ้วยชานั้นมียาอยู่”
 
 
เหลียนเซียงรีบก้มหัวลงกับพื้นอย่างลนลาน จนกระทั่งเริ่มมีเลือดซึมออกมาบนหน้าผากของนาง “คุณหนูได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย หากว่าข้าน้อยรู้ว่าในชานั่นมียา ข้าน้อยคงไม่กล้าทำเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
 
 
“เจ้าไม่กล้างั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาตรงหน้านาง พร้อมก้มลงมองนาง ในดวงตาที่สวยงามมีสายตาแน่วแน่ “หลิวเซียงเป็นเพียงข้าทาสรับใช้ จะมีอัฐมากขนาดนั้นมาให้เจ้าได้อย่างไร แต่เจ้ากลับเชื่อในสิ่งที่นางพูด แสดงว่าเจ้าเชื่อว่านางจะต้องมีอัฐจำนวนมากขนาดนั้นให้เจ้า อย่างนั้นเจ้าบอกข้าทีสิ ว่าตรงไหนที่เรียกว่าเจ้าไม่กล้า”
 
 
เหลียนเซียงตกใจ พ่อบ้านเองตกใจมาก รีบสั่งให้เหลียนเซียงสารภาพผิด “ยังไม่รีบสารภาพอีกรึ หรือว่าเจ้าอยากจะให้คนในครอบครัวต้องมาตายเป็นเพื่อนเจ้า”
 
 
เหลียนเซียงรีบก้มหัวขอร้อง “ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างไม่รีบร้อน แต่ทุกคำเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่ในใจกลับคิดมีแผนการชั่วร้ายเช่นนี้ ข้าคงไว้ชีวิตเจ้าไม่ได้ หากเจ้ายอมสารภาพผิด ข้าก็จะจัดการอย่างสมเหตุสมผล แต่หากเจ้ายังไม่ยอมพูดความจริงล่ะก็ ข้าจะลงโทษให้เจ้าต้องตายทั้งเป็นเลยทีเดียว”
 
 
เหลียนเซียงถูกพูดแทงใจดำเข้า นางพูดทั้งน้ำตาว่า “ข้าน้อยยอมพูดความจริงแล้ว ขอให้ซื่อจื่ออย่าทำอะไรครอบครัวข้าน้อยเลย”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนตวาดเสียงดังว่า “ก็พูดมาสิ!”
 
 
“เมื่อวานตอนข้าน้อยทำความสะอาดในจวน ข้าเห็นพี่หลิวเซียงและพี่ชุ่ยเหลียนแอบคุยกันในที่ลับๆ พี่ชุ่ยเหลียนพูดว่าเจ้าก็เป็นแค่ข้ารับใช้ธรรมดาๆ วันพรุ่งนี้ก็คงไม่มีใครสนใจเจ้าหรอก แค่เจ้าทำเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อย เจ้าก็เอาอัฐนี่ไป แล้วจะหนีไปที่ไหนกับเจ้าอันจื่อก็ได้ แล้วยังได้มอบถุงถุงหนึ่งให้พี่หลิวเซียง ข้าน้อยรู้ดีว่าถุงนั้นเป็นอัฐ จึงเกิดความโลภขึ้น เมื่อตอนที่พี่หลิวเซียงไหว้วานข้า ข้าจึงตอบรับไป”
 
 
ชุ่ยเหลียนเป็นข้าติดตามรับใช้ของพระชายารอง อ๋องฉีรู้จักนาง แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยสังเกตเห็นนางมาก่อน เขากวาดตาไปที่เหล่าคนรับใช้ แล้วถามว่า “ใครคือชุ่ยเหลียน”
 
 
ตอนที่เหลียนเซียงเอ่ยชื่อของตนเองออกไป ชุ่ยเหลียนรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะมีเรื่องเดือดร้อน เมื่อได้ยินที่หวงฝู่อี้เซวียนถาม นางก็ตกใจจนลนลานรีบคุกเข่าลง ตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ข้าน้อยคือชุ่ยเหลียนเจ้าค่ะ”
 
 
อ๋องฉีขมวดคิ้วลงเมื่อได้ยินชื่อของชุ่ยเหลียน เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของนาง เขาก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาเบิกตาโตขึ้นเพราะไม่อยากเชื่อ ไฟแห่งความโกรธในใจประทุแรงขึ้นทุกที
 
 
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนจำหน้านางได้ เขาก็แสยะยิ้มออกมา “เจ้าจะสารภาพออกมาเอง หรือจะให้ข้าลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้เลย”
 
 
“ข้าน้อยถูกใส่ความเจ้าค่ะ สองสามวันมานี้สุขภาพของพระชายารองไม่ค่อยสู้ดี ข้าน้อยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายตลอด จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ แม่นางผู้นี้จะต้องใส่ร้ายข้าน้อยเป็นแน่”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนกระแอม “อืม” ออกมาเบาๆ “งั้นเจ้าบอกข้าทีสิว่าทำไมแม่นางคนนี้จะต้องใส่ร้ายเจ้า พวกเจ้ามีความแค้นเรื่องอะไรกัน”
 
 
ชุ่ยเหลียนกำลังจะเปิดปากพูด แต่อ๋องฉีทนไม่ไหว เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
 
 
“ขอกำลังพลมาที มาจัดการนางชั้นต่ำผู้นี้เสียที ดูซิว่านางยังจะกล้าปากแข็งอยู่อีกหรือไม่”
 
 
องครักษ์รับคำสั่ง ถือกระบองเดินมาตรงหน้าของชุ่ยเหลียนแล้วออกแรงฟาดลงบนตัวนาง ชุ่ยเหลียนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เหล่าคนใช้ใจเสาะต่างพากันปิดตา ไม่กล้าแม่แต่จะมอง
 
 
เสียงน่ากลัวของอ๋องฉีแผดขึ้น เสียงนั้นดั่งจะฆ่าคนให้จงได้ “ลืมตามาดูกันให้ชัดๆ หากใครกล้าหลับตา ถือว่ามีโทษเท่ากันกับนาง”
 
 
เหล่าคนใช้ใจเสาะก็พากันเปิดตา มองไปยังชุ่ยเหลียนที่ร้องอย่างเจ็บปวดตาไม่กระพริบ อ๋องฉีและซื่อจื่อก็อยู่ตรงนั้น องครักษ์ไม่กล้าออมมือ เขาฟาดเต็มแรงทุกไม้ ชุ่ยเหลียนรู้สึกว่ากระดูกในตัวของนางถูกทุบจนแหลกหมดแล้วเป็นแน่ ทีแรกนางยังมีแรงกรีดร้อง แต่ตอนนี้เสียงร้องของนางค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ
 
 
อ๋องฉีโบกมือให้สัญญาณ องครักษ์ถึงหยุด ทั้งตัวของชุ่ยเหลียนเต็มไปด้วยเลือด นางนอนแน่นิ่งหายใจโรยรินอยู่บนพื้น เขาเดินไปตรงหน้านาง และก้มลง สายตาของท่ายชายฉีเต็มไปด้วยความโกรธจนแทบจะลุกเป็นไฟ “บอกมาเดี๋ยวนี้ ใครให้ท้ายเจ้าจนกำเริบกล้าทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
 
 

 
 
ชุ่ยเหลียนพยายามขืนตัวไม่ให้ตนเองเป็นลมล้มไป นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา ปากของนางมีเลือดออดเต็มไปหมด นางพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านอ๋องเจ้าขา ข้าน้อยไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ นะเจ้าคะ นางคนนั้นให้ร้ายข้าน้อยจริงๆ”
 
 
อ๋องฉีไม่โกรธแต่กลับยิ้มเยาะ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ นังคนปากแข็ง ข้าจะรอดูว่าคืนนี้คนอย่างเจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ” ไม่พูดเปล่า เขาถอยไปหนึ่งเก้า และสั่งองครักษ์ว่า “ทุบนางจนกว่ากระดูกทั้งตัวนางจะหักหมด เริ่มตั้งแต่ปลายนิ้วเลย”
 
 
ทุกคนในที่นั้นตกใจกลัวกันหมด คนใช้เก่าแก่ที่คอยรับใช้ข้างกายของสนมรองตกใจกลัวจนตัวสั่นโยน นางรู้สึกผิดที่ไม่ได้ห้ามพระชายารองที่ทำเรื่องแบบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เหงื่อพ่อบ้านไหลท่วมเต็มตัว เขาหวังในใจว่าชุ่ยเหลียนจะฉลาดกว่านี้ และยอมบอกว่าใครเป็นคนบงการเรื่องนี้ นางจะได้ไม่ต้องรับโทษหนักปางตายเช่นนี้
 
 
องครักษ์ทำตามคำสั่ง กุลีกุจอไปหาท่อนเหล็กมาทันที แล้วก็เล็งไปยังข้อนิ้วของชุ่ยเหลียนและฟาดลงไปอย่างแรง
 
 
ชุ่ยเหลียนกรีดร้องดังไปทั่วจวนด้วยความเจ็บปวด พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินเข้า ก็รับรู้ได้ว่าจะต้องเจอเบาะแสอะไรบ้างแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปออกไปด้านนอก
 
 
พระชายารองที่กำลังแกล้งหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องน่าเวทนาเช่นนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง ถามด้วยความตระหนกว่า “อวี้เอ๋อร์ นั่นเสียงใครน่ะ”
 
 
หวงฝู่อวี้ก็ได้ยินเช่นกัน แต่กลับไม่ได้สนใจอะไร “เสด็จพ่อกับพี่ใหญ่คงเจอเบาะแสอะไรแล้ว กำลังลงโทษบ่าวไพร่อยู่ก็เป็นได้ เสด็จแม่อย่าไปใส่ใจเลยขอรับ”
 
 
นางสนมเลิกผ้าห่มขึ้น สวมรองเท้า พลางเปิดปากก็พูดอย่างรีบร้อนว่า “ไม่ได้ ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
 
 
“เสด็จแม่” หวงฝู่อวี้ห้ามปรามนาง “ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ท่านไม่ค่อยสบายอยู่ ข้าว่าท่านพักผ่อนในห้องดีกว่าขอรับ”
 
 
พระชายารองอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
 
 
หวงฝู่อวี้ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของนาง จึงพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เสด็จแม่นอนพักผ่อนเถอะขอรับ”
 
 
นางสนมยืนนิ่ง นั่งลงที่ข้างเตียง “อวี้เอ๋อร์เจ้าไปเอาน้ำมาให้แม่ทีสิ”
 
 
หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น เดินอย่างระวังเศษแก้วบนพื้น ไปเทน้ำมาให้แม่ และนำมามอบให้นางกับมือ มือของพระชายารองสั่นเล็กน้อยตอนที่รับแก้วน้ำมา หวงฝู่อวี้เข้าใจว่าเป็นเพราะนางเพิ่งตื่นนอนจึงหนาว เลยรีบเอาผ้าห่มมาห่มให้นาง
 
 
“เสด็จแม่ ข้าว่าให้เสด็จพ่อตามแพทย์มาดูอาการท่านดีกว่า”
 
 
นางสนมดื่มน้ำด้วยอาการตัวสั่นเทิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักผ่อนสองสามวันก็ดีขึ้น”
 
 
“ข้าว่า ตั้งแต่ที่ท่านไม่ได้ไปดูแลเรื่องในจวน สุขภาพของท่านก็เริ่มเหมือนพระชายาเลย มักจะป่วยออดๆ แอดๆ เรื่องในจวนเยอะไปจนทำร้ายสุขภาพหรือเปล่าขอรับ” หวงฝู่อวี้ถาม
 
 
นางสนมไม่ตอบ จ้องหน้าของเขาครู่หนึ่ง
 
 
หวงฝู่อวี้จับใบหน้าของตนเองพร้อมถามอย่างแปลกใจว่า “เสด็จแม่ เหตุใดจึงจ้องหน้าข้าเช่นนี้”
 
 
พระชายารองยื่นมือออกไป ลูบไปที่ใบหน้าของเขา พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าว่า “อวี้เอ๋อร์หากแม่ไม่อยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร”
 
 
หวงฝู่อวี้เซวียนถามอย่างงงๆ ว่า “เสด็จแม่ เหตุใดท่านพูดเช่นนี้ ท่านจะไปไหนหรือ”
 
 
พระชายารองวางมือลง ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง ทอดสายตาว่างเปล่ามองลงไปที่พื้น ไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่
 
 
กระดูกนิ้วก้อยมือขวาของชุ่ยเหลียนถูกทุบจนแหลก พอเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาจนดั่งสนั่นแล้วก็เจ็บจนใจจะขาด แต่องครักษ์ยังทุบนิ้วนางข้างขวาของนางต่อไป โดยไม่ได้แสดงอาการสงสารออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงร้องโหยหวนของชุ่ยเหลียนดังขึ้นอีกครั้ง ดังสนั่นไปทั่วจวน ทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวมาก
 
 
สาวใช้ของพระชายารองยืนขาสั่นอ่อนแรง นางอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ล้มลงข้างๆ ตัวสาวใช้นางหนึ่ง เห็นภาพน่าอนาถใจของชุ่ยเหลียนเช่นนั้น สาวใช้ในจวนของนาวสนมก็พากันกลัวจนตัวสั่น และตอนที่ทุกคนกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น แม่บ้านคนเก่าคนแก่ยังมาเป็นลมล้มพับมาบนตัวนางอีก นางตกใจจนกรีดร้องโวยวาย
 
 
ผู้คนตกใจเสียงร้องของนางจนหัวใจแทบจะหลุดออกมา ต่างพากันมองมาตามเสียง สาวใช้ตกใจขีดสุด ยังคงกรีดร้องอย่างขาดสติ เมื่อไม่มีที่พิง ร่างของสาวใช้แก่ก็ล้มลงกับพื้น
 
 
เมื่อเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ อ๋องฉีก็หรี่ตาลงอย่างมีเลิศนัย
 
 
สาวใช้แก่พยายามจะยันตัวขึ้นหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถยืนจากพื้นได้ นางเงยหน้ามองอ๋องฉีอย่างหวาดกลัว และประจวบสบตาพอดีกับสายตาอันโหดร้ายของท่านอ๋อง ใจของนางเต้นระรัวกว่าเดิม ตอนนี้นางไม่มีแม้แต่แรงจะยันตัวขึ้น นางจึงลุกนั่งที่พื้นเสียเลย
 
 
ทางนั้นเป็นเสียงกรีดร้องของชุ่ยเหลียน ทางนี้ก็เป็นเสียงกรีดร้องของสาวใช้ ทุกคนในจวนต่างหวาดกลัวกันมากขึ้น โดยเฉพาะสาวใช้ในจวนของพระชายารอง ต่างพากันเป็นลมล้มพับตามกันไป
 
 
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ อ๋องฉีเริ่มสงสัยบางอย่าง น้ำเสียงของท่านแข็งกระด้างขึ้น ป่าวประกาศกับข้าทาสบริวารว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครั้ง หากใครพูดความจริงออกมา ข้าก็จะไว้ชีวิตผู้นั้น”
 
 
แผนการของพระชายารองมีเพียงชุ่ยเหลียนและสาวใช้เก่าแก่รู้เพียงสองคนเท่านั้น คนอื่นที่เหลือไม่รู้อะไรเลย ได้ยินคำของท่านอ๋อง ก็พากันมองกันไปมองกันมา แล้วคุกเข่าขอร้องโดยพร้อมกัน “ท่านอ๋องไว้ชีวิตข้าด้วย พวกข้าน้อยไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเลยเจ้าค่ะ”
 
 
ด้านชุ่ยเหลียนที่ถูกทุบกระดูกอย่างต่อเนื่อง ก็สลบไปในที่สุด แต่คราวนี้ไม่ต้องรอคำสั่งจากท่านอ๋อง องครักษ์ไปเอาน้ำเย็นมาหนึ่งถัง และสาดลงไปบนตัวนางทันที
 
 
ชุ่ยเหลียนสะดุ้งตื่นขึ้น นิ้วของนางทำนางเจ็บจนจะขาดใจ
 
 
แต่หากอ๋องฉีไม่ได้สั่งให้หยุด องครักษ์ก็หยุดไม่ได้ เมื่อเห็นนางฟื้นขึ้นมา ก็เริ่มทุบนิ้งกลางขวาของนางทันที และก็เหมือนสองนิ้วที่ผ่านมา ทุบครั้งเดียวกระดูกนิ้วก็แหลกละเอียดทันที
 
 
ชุ่ยเหลียนเจ็บจนไม่มีแรงจะร้องออกมา มีแค่ร่างกายนางที่สั่นไม่หยุด
 
 
องครักษ์ยกค้อนขึ้นอีกครั้ง
 
 
ชุ่ยเหลียนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นางพูดแบบเสียไม่ได้ว่า “ข้ายอมแล้ว ข้ายอมพูดแล้วเจ้าค่ะ”
 
 
องครักษ์ยอมหยุดมือ แล้วยืดตัวยืนตรง
 
 
เมื่อแม่บ้านเก่าแก่ได้ยินดังนั้น จึงตะโกนขึ้นว่า “นังชุ่ยเหลียน เจ้าอย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ!”
 
 
อ๋องฉีมองนางด้วยสีหน้าอำมหิต
 
 
สาวใช้เก่าแก่กลัวจนหัวหด
 
 
“เจ้ากล้ามากนะที่กล้าโวยวายต่อหน้าเจ้านาย ส่งคนมา โบยนางสักสิบทีให้นางหุบปากซะ” ท่านอ๋องสั่งอย่างเย็นชา
 
 
ครั้งก่อนที่โดนโบยสิบครั้งก็แทบจะทำนางตายแล้ว ครั้งนี้ท่านอ๋องสั่งด้วยความโกรธ เห็นทีนางจะทนไม่ได้ คงตายก่อนจะถูกโบยครบด้วยซ้ำ สาวใช้แก่กลัวจนตัวสั่น
 
 
องครักษ์มาเอาตัวนางวางไว้กับพื้น และเริ่มโบยนางทันที
 
 
คนของพระชายารองถูกลงโทษคนแล้วคนเล่า ต่อให้คนโง่แค่ไหนก็พอจะเดาออกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างพากันกลัวจนถอยห่างออกจากพวกนางกันหมด
 
 
เหล่านางรับใช้และข้าทาสพวกนี้ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ความกลัวตอนแรกก็มากอยู่แล้ว กลับทวีคูณเพิ่มไปอีก พรึ่บ พรึ่บ ทั้งหมดพากันคุกเข่าอ้อนวอน
 
 
“ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย พวกข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
 
 
เสียงอ้อนวอน และเสียงโบยดังขึ้นสลับกัน ทำให้ทุกคนต่างกลัวจนถึงขึดสุด ต่างพากันก้มหัวด้วยความกลัว กลัวว่าคนต่อไปจะเป็นตัวเอง
 
 
หลังโบยเสร็จสิบครั้งแล้ว สาวใช้แก่คนนั้นก็เกือบจะหมดลมหายใจ
 
 
แต่อ๋องฉีไม่แม้แต่จะมองนางสักนิด เขาพูดกับชุ่ยเหลียนว่า “พูดมา ใครเป็นคนบงการให้เจ้าทำ”
 
 
จนถึงตอนนี้แล้ว ชุ่ยเหลียนรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น กระดูกนิ้วของนางโดนทุบจนแหลกละเอียด นางไม่อยากต้องเจอกับความรู้สึกที่นิ้วทั้งสิบโดนทุบจนแหลกละเอียดแบบนั้นอีกแล้ว นางคิดดีแล้ว จึงพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ ไม่มีใครบงการข้าเลย เป็นข้าเองที่สั่งให้หลิวเซียงวางยาลงไปในน้ำชาเจ้าค่ะ”
 
 
“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้” อ๋องฉีตะเบ็งเสียงถาม

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset