ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 195-1 ทำการค้าขาย

 
 
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วออกพระราชโองการด้วยน้ำเสียงนิ่ง “สั่งให้เฮ่อเหลี่ยนมาที่ตำหนัก”
 
 
พระราชโองการได้ถูกส่งไปที่จวนมหาเสนาบดีอย่างรวดเร็ว
 
 
เฮ่อเหลี่ยนเพิ่งตื่น ยังไม่ได้ลุกจากเตียง
 
 
ร่างกายสะท้านด้วยความหนาวเล็กน้อย แล้วรีบลุกขึ้น แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วถามผู้ติดตามคนสนิทว่า “กงกงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการนั้นบอกว่าอย่างไรบ้าง”
 
 
“กงกงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการมาอย่างยิ้มแย้มขอรับ น่าจะต้องมีเรื่องดีอย่างแน่นอน” ผู้ติดตามคนสนิทตอบด้วยสีหน้าที่ดีใจเป็นที่สุด
 
 
เฮ่อเหลี่ยนได้ฟังดังนั้นก็เดินออกมาจากจวนอย่างอารมณ์ดี แล้วมาพบกงกงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการ เมื่อมาถึงตรงหน้าก็โค้งคำนับ แล้วบอกว่า “ขออภัยด้วยที่ทำให้กงกงรอนาน”
 
 
“ไม่เป็นไร พระราชโองการนี้เร่งด่วนนัก คุณชายใหญ่จะมาช้าไปหน่อยก็ไม่แปลก ตอนนี้ได้โปรดตามข้าไปที่พระราชวังเพื่อพบฝ่าบาทเถิด”
 
 
เฮ่อเหลี่ยนตอบรับ พร้อมก้าวขึ้นไปข้างหน้า แล้วหยิบตั๋วแลกเงินในแขนเสื้อขึ้นมายัดใส่มือของกงกงอย่างไม่แสดงอาการอะไร แล้วผละออกมาเดินอยู่ข้างๆ พร้อมกระซิบถามว่า “กงกงรู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทเรียกข้าด้วยเรื่องอันใดกัน”
 
 
กงกงรีบเก็บตั๋วแลกเงินเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วยิ้มตอบด้วยน้ำเสียงเล็กๆว่า “ที่หลินเฉิงเกิดโรคระบาดขึ้น ต้องการขุนนางไปช่วยจัดการ ท่านมหาเสนาบดีเสนอชื่อของคุณชายใหญ่ด้วยตนเอง ถ้าหากว่าเรื่องเลวร้ายนี้จัดการได้โดยดี อนาคตของคุณชายก็จะก้าวไกลแน่นอน”
 
 
คำพูดของเขา ทำให้เฮ่อเหลี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก การจัดการกับโรคระบาด เป็นเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตาย เหตุใดมหาเสนาบดีถึงได้เสนอชื่อของเขา หรือคิดกลับกัน ที่มหาเสนาบดีทำแบบนี้จะต้องเป็นประโยชน์กับเขาอย่างแน่นอน ส่วนตนนั้นก็แค่ทำตามก็พอแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ อารมณ์ก็กลับมาเป็นปกติ แล้วเดินตามกงกงไปอย่างหน้าชื่นตาบาน แล้วพยายามหาเรื่องคุยใกล้ชิดกับเขาตลอดทาง
 
 
กงกงภายนอกดูเหมือนจะเกรงใจ แต่แท้จริงภายในใจกลับมีใจคิดดูถูก เฮ่อเหลี่ยนก็แค่คนไม่มีสมองคนหนึ่ง อาศัยที่ตนเองมีพ่อเป็นมหาเสนาบดี เลยได้ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ มา แต่ก็ยังไม่ยอมทำให้ดีอีก เลยถูกข้าราชการพลเรือนไปจับได้ที่หอนางโลม ทำให้เกิดเรื่องโด่งดังไปทั่วเมือง ถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้ามหาเสนาบดีและน้องสาวที่เป็นพระสนมเอกอยู่ เกรงว่าฮ่องเต้คงจัดการเขาไปนานแล้ว ไม่มีการให้โอกาสออกมาแก้ตัวเช่นนี้อีกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังไม่รู้อีกว่าเรื่องโรคระบาดนี้ไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้น ถ้าทำไม่ดี ก็ไม่แน่ว่าชีวิตของเขาจะมาจบลงที่หลินเฉิงนี่แหละ
 
 
กงกงทำได้แค่คิด แต่ก็ยังแสร้งทำหน้าดังเดิม กงกงยังคงเออออตามถ้อยคำเรื่อยไปของเขาไปตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูวังหลวงอย่างรวดเร็ว
 
 
เฮ่อเหลี่ยนจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย ก้มหน้าเดินตลอดทาง จนมาถึงพระราชตำหนัก หลังจากที่คราวะเสร็จเรียบร้อย ก็คุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างเรียบร้อย
 
 
ฮ่องเต้ตรัสว่า “เฮ่อเหลี่ยน มีรายงานแจ้งมาว่า หลินเฉิงเกิดโรคระบาดขึ้น ข้าต้องการให้ขุนนางของราชสำนักไปจัดการ มหาเสนาบดีเสนอชื่อของเจ้าด้วยตนเอง เจ้ายินยอมหรือไม่”
 
 
เฮ่อเหลี่ยนตอบรับไปอย่างไม่ได้คิด “การทำเพื่อราชสำนักเป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
 
 
คำพูดนี้ทำให้ความตึงเครียดของฝ่าบาทกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย สีหน้าก็ดีขึ้น และตรัสว่า“ดี เราจะให้หมอหลวงติดตามเจ้าไปห้าคน จงลุกขึ้น มุ่งหน้าไปที่หลินเฉิง แล้วข้าจะออกพระราชโองการตามไป พร้อมแจ้งให้ขุนนางทั้งหมดที่เมืองหลินเฉิงให้ฟังคำสั่งของเจ้า ถ้าหากมีผู้ใดไม่ยินยอม ก็สามารถประหารก่อนถวายรายงานได้”
 
 
เฮ่อเหลี่ยนกระแทกศีรษะที่พื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก “กระหม่อมรับคำสั่ง”
 
 
ขุนนางทั้งหลายต่างก็ตกใจ แต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลเหมือนกัน อย่างไรเสียการจัดการเรื่องโรคระบาดนั้นเป็นเรื่องใหญ่ การที่ฮ่องเต้ให้อำนาจที่มากขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร
 
 
มีเพียงแต่อ๋องฉีที่ขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่เฮ่อเหลี่ยนด้วยสายตาที่แหลมคม
 
 
เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ครั้งนี้เขาไม่ได้มีความเกรงกลัวใดๆ แต่กลับเป็นความได้ใจเสียมากกว่า
 
 
เมื่อกำหนดพระราชโองการเรียบร้อยแล้ว ก็เลิกออกว่าราชการ ขุนนางทั้งหมดเดินออกจากตำหนักจินหลวน และพากันทักทายเฮ่อเหลี่ยน
 
 
เฮ่อเหลี่ยนไม่เคยได้รับการยอมรับขนาดนี้มาก่อน สีหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจ
 
 
อ๋องฉีกลับเดินผ่านเขาไปอย่างหน้าตาเฉย เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ว่าไม่ได้แสดงออกมา
 
 
เฮ่อจางรู้ว่าลูกของตนเองนั้นเป็นเช่นไร เกรงก็แต่เขาจะได้ใจจนเผยธาตุแท้ออกมา จึงรีบเดินออกไปก่อน
 
 
เฮ่อเหลี่ยนทักทายเหล่าขุนนางเป็นระยะๆ แล้วรีบเดินตามเฮ่อจางไป
 
 
เมื่อเดินออกจากพระราชวังมาแล้ว ก็ขึ้นรถม้ากลับจวน หลังจากนั้น เฮ่อจางได้พาเฮ่อเหลี่ยนไปที่ห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเขาบ้าง หนึ่งชั่วยามผ่านไป เฮ่อเหลี่ยนเดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดีฮัมเพลงเดินกลับเรือนของตนไป
 
 
หลังจากที่เขาเดินไปแล้ว เฮ่อจางนั่งคิดหนักอยู่ที่ห้องหนังสือ แล้วพูดลอยๆ ออกมาว่า “จัดองครักษ์เงายี่สิบนายตามไปช่วยคุณชายใหญ่อีกแรง ในยามคับขันก็ลงมือได้เลย”
 
 
ไม่มีคนแสดงตัวออกมา แต่มีเสียงดังตอบกลับมาว่า “ขอรับ นายท่าน”
 
 
อ๋องฉีกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องหนังสือ แม้แต่อาหารกลางวันก็ไม่กิน และจนกระทั่งฟ้ามืดถึงจะออกมา
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยุ่งราวกับลูกข่าง กว่าจะได้ยินข่าวนี้ ก็ล่วงเลยไปสามวันแล้ว และหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้เขียนจดหมายมาให้นางหนึ่งฉบับ ในจดหมายนอกจากจะเขียน ถึงเรื่องที่เขาความคิดถึงและอาวรณ์แล้ว ยังบอกนางอีกว่า ที่ตนรีบเขียนจดหมายฉบับนี้ให้นางภายในสามวันนั้น เป็นเพราะกลัวว่า เมื่อนางทราบข่าวโรคระบาดในหลินเฉิงแล้วจะเป็นกังวล แล้วยังบอกอีกว่าตอนนี้ตนสบายดีทุกอย่าง ให้นางไม่ต้องเป็นห่วงเขาอีก แล้วก็ไม่ต้องคิดที่จะมาช่วยเขาด้วย ต่อไปเขาก็จะเขียนจดหมายมาให้นางสามวันครั้งเหมือนเดิม
 
 
จดหมายเขียนมาด้วยลายมือเรียบร้อย และดูตั้งใจเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนหลายครั้งก่อนที่ลายมือดูยุ่งเหยิง จึงน่าจะไม่ใช่เขียนอย่างมักง่ายให้เสร็จๆ ไปหรอก
 
 
นางถือจดหมายฉบับนี้ ไปที่จวนอ๋องฉี พระชายาฉีอ่านแล้ว ก็คลายกังวลลง กล่าวว่า “เซวียนเอ๋อร์ปลอดภัยก็ดีแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็ยื่นชุดแต่งงานที่ตนถักได้ครึ่งหนึ่งในมือส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวดู “ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ไม่เป็นอุปสรรคต่องานแต่งของพวกเจ้าแน่นอน”
 
 
ผ่านไปเดือนครึ่ง มันฝรั่งที่ปลูกไว้ก็ใกล้จะได้ที่แล้ว ในขณะที่คนเมืองเป่ยเฉิงกลัวว่าจะไม่มีงานทำ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้จัดคนไปหาบน้ำมารดน้ำต้นไม้ แล้วบอกกับพวกเขาว่างานนี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อมันฝรั่งนั้นเก็บเกี่ยวได้
 
 
ครอบครัวที่มีคนแก่และเด็กจะดำเนินชีวิตต่อไปได้ ผู้คนที่ทำงานก็ส่งเสียงร้องดีใจจน แทบอยากจะคุกเข่าให้เมิ่งเชี่ยนโยว
 
 
เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ไปหลายวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้รับจดหมายจากหวงฝู่อี้เซวียนอีก ในจดหมายก็ได้แต่บอกว่าตนไม่ได้เป็นอะไร ให้นางสบายใจ
 
 
ส่วนเฮ่อเหลี่ยนก็ได้ส่งจดหมายให้แก่ฮ่องเต้ด้วยม้าเร็วเช่นกัน บอกว่าโรคระบาดนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มีสถานที่พักของผู้ประสบภัยแห่งหนึ่ง ผู้คนในนั้นเกือบจะตายทั้งหมด เขาจึงใช้มาตรการ โดยการแยกคนที่ติดเชื้อออกไป ให้พวกเขาไปรับผิดชอบเอง ส่วนคนที่เหลือก็ต้องตรวจสอบอย่างรัดกุม เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อต่อไป
 
 
หลังจากที่ฮ่องเต้ฟังจบ ก็ชมเขาต่อหน้าขุนนางทั้งหลายอย่างไม่ขาดสาย พูดออกมาเลยว่าเขาทำได้ดี รอให้ควบคุมโรคระบาดได้แล้ว ก็จะเลื่อนตำแหน่งให้เขาหลังจากกลับมา
 
 
ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต่างชื่นชมยินดีกับเฮ่อจางอย่างสอพลอ
 
 
เฮ่อจางลูบเครา แล้วพยักหน้ายิ้มรับ ใบหน้ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
 
 
มันฝรั่งปลูกเสร็จหมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเหวินเปียวและเหล่าองครักษ์ลับเป็นคนจัดการ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ว่างอีกแล้ว จึงไปหาเฝิงจิ้งซูและเฝิงจิ้งเหวิน แล้วออกใบสั่งยา ให้ร้านยาเต๋อเหรินส่งยามาให้นางคันรถหนึ่ง แล้วสั่งให้คนในจวนเอายามาบดให้ละเอียด นางก็ผสมเม็ดยาได้เป็นจำนวนมาก
 
 
แล้วก็ผ่านไปอีกสามวัน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับจดหมายจากหวงฝู่อี้เซวียน คิ้วก็เริ่มขมวดขึ้น
 
 
อีกหนึ่งวันผ่านไป ก็ยังไม่ได้รับข่าวสารอะไร สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มไม่ดีแล้ว คนในจวนไม่เคยเห็นนางทำหน้าแบบนี้มาก่อน เมื่ออยู่ต่อหน้านาง ก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เวลาเดินก็ไม่กล้าทำเสียงดัง
 

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset