ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 195-2 ทำการค้าขาย

 
 
วันที่ห้า เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตื่นจากฝันในขณะที่ฟ้ายังไม่สว่าง คลุมเสื้อแล้วลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูโดยที่แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ได้ใส่ แล้วออกคำสั่งกับห้องข้างๆ ว่า “ชิงหลวน จูหลีเก็บของ แล้วตามข้าไปที่หลินเฉิง”
 
 
เมื่อนางเปิดประตูออกมา ชิงหลวนกับจูหลีก็ได้ยินเสียงแล้ว เมื่อนางออกคำสั่ง ทั้งสองคนก็ลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเสร็จ ก็หันหลังเดินเท้าเปล่าไปที่ข้างกล่อง เปิดฝาออก แล้วหยิบเสื้อออกมาหลายตัว เก็บใส่ในกระเป๋า ครั้งนี้ถึงใส่รองเท้าไปพลาง และออกคำสั่งชิงหลวนไปพลางว่า “ไปเรียกกัวเฟยให้นำองครักษ์ลับมายี่สิบนายแล้วไปกับข้า”
 
 
ชิงหลวนตอบรับ แล้วไปที่เรือนบ่าวรับใช้ กัวเฟยตกใจตื่นขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหลวนแล้ว ก็เตรียมตัวในทันที
 
 
เหวินเปียวก็ได้ยินคำพูดของชิงหลวนด้วยเช่นกัน หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ตามมาที่จวน
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกมาพร้อมกับถุงสัมภาระและเม็ดยาทั้งหมด ครั้นเห็นเหวินเปียว จึงรีบออกคำสั่งว่า “ขอฝากเจ้าดูแลเรื่องที่บ้านด้วย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ล่ะก็ ก็ไปขอความช่วยเหลือจากพระชายาฉีหรือว่าใต้เท้าเปาก็ได้” เมื่อพูดจบ เหวินเปียวไม่ทันได้ตอบรับ นางก็เดินออกนอกลานบ้านไปแล้ว
 
 
เมื่อออกจากจวนมา กัวเฟยได้นำองครักษ์ลับมารอที่ด้านนอกแล้ว
 
 
พวกนางขึ้นขี่ม้า แล้วควบม้ามาจนถึงประตูเมือง
 
 
ฟ้ายังไม่สว่าง ประตูเมืองจึงยังไม่ได้เปิด ที่หน้าประตูเงียบสงัด
 
 
พอทหารเฝ้าประตูเห็นคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้ามุ่งหน้ามา ก็ยื่นมือออกห้าม “หยุด ประตูเมืองยังไม่เปิด ห้ามออกจากเมือง”
 
 
เมื่อมองไปที่ท้องฟ้า แสงฟ้ายังรุ่งสาง กว่าประตูจะเปิดก็ต้องอีกสักพักหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวใจร้อน จึงบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “ข้ามีเรื่องด่วน สามารถผ่อนปรนให้พวกข้าออกจากเมืองได้หรือไม่”
 
 
เห็นว่านางสวมใส่เสื้อผ้าดูดีทีเดียว แต่ลักษณะกลับไม่เหมือนขุนนางหรือข้าราชการ จึงน่าจะต้องเป็นคุณหนูของเศรษฐีบ้านไหนที่มีธุระต้องออกไปแน่นอน ทหารตอบกลับไปอย่างแข็งกร้าวว่า “คนที่จะออกจากเมืองทุกคนก็พูดแบบนี้ ถ้าหากว่าปล่อยให้ออกไปกันหมดง่ายๆ พวกเราจะเฝ้าประตูเมืองเพื่อการใดกัน”
 
 
การเฝ้าประตูเมืองเป็นหน้าที่ของพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาจดื้อดึงฝ่าออกไปได้ ขณะที่ร้อนใจอยู่นั้น ชิงหลวนก็ควบม้าไปขึ้นมาข้างหน้า เอาป้ายคาดเอวจวนอ๋องฉีแสดงให้ทหารคนนั้น “พวกเราเป็นคนของจวนอ๋องฉี มีธุระที่จะต้องออกนอกเมือง รีบเปิดประตูเมืองให้เราออกไปเดี๋ยวนี้”
 
 
ครั้นทหารเห็นชัดแล้วว่าเป็นป้ายคาดเอวของจวนอ๋องฉีจริงๆ ก็ตกใจจนเข่าอ่อนไปหมดทันที แล้วรีบพยักหน้าขอโทษอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ เลยมองพวกท่านไม่ออก ขอให้ทุกท่านโปรดให้อภัยด้วย”
 
 
“อย่าพูดมาก เปิดประตูเมืองเร็วเข้า ถ้าหากไม่ทันการณ์ ข้าจะตัดหัวเจ้า!”จูหลีทำหน้าดุดันแล้วกล่าวตำหนิทหารผู้นั้น
 
 
ทหารไม่กล้าที่จะพูดต่อ แล้วรีบบอกให้ทหารอีกคนเอากลอนคล้องประตูเมืองออก เพื่อ ปล่อยพวกเขาออกจากเมืองไป
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวนำหน้าควบม้าออกไป
 
 
และประตูเมืองอันหนักอึ้งก็ปิดลงอีกครั้ง
 
 
บนประตูเมืองมีคนใส่เสื้อสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ หลังจากเห็นพวกนางออกจากเมืองไป ก็ปล่อยสัญญาณลับขึ้นบนท้องฟ้า หัวหน้าคนเฝ้าเมืองที่อยู่ทางด้านข้างก็โค้งคำนับ และยืนยู่ข้างกายเขาด้วยความนอบน้อม
 
 
“ทำได้ไม่เลว หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะรายงานท่านมหาเสนาบดีให้มอบรางวัลแก่เจ้า” คนเสื้อดำพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม พร้อมด้วยไอสังหาร
 
 
หัวหน้าคนเฝ้าประตูดีใจ พูดขอบคุณไม่หยุด
 
 
“จำไว้ เรื่องวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด ถ้าหากว่าแพร่งพรายออกไป ตระกูลของเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว” คนเสื้อดำพูดจบ ก็เดินลงมาจากกำแพงเมือง
 
 
หัวหน้าคนเฝ้าประตูก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว มองเขาที่เดินออกไป ก็เกิดความรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
 
 
ทหารด้านข้างก็เข้ามารายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “หัว…หัวหน้า…”
 
 
หัวหน้ายืดหลังตรง แล้วสั่งพวกที่อยู่บนประตูเมือง “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ปิดปากให้สนิทด้วย มิเช่นนั้นจะโดนประหารโดยไม่รู้ตัว”
 
 
เหล่าทหารตอบรับอย่างเกรงกลัว
 
 

 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปที่เมืองหลินเฉิง ผ่านไปหนึ่งวัน ทั้งคนและม้าต่างก็เหนื่อยและหมดแรง
 
 
รู้สึกได้ว่าความเร็วของทุกคนเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงสถานที่ที่เป็นป่า เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดึงบังเ**ยนหยุดม้า แล้วสั่งว่า “ลงจากม้ามาพักกันเถอะ กินอาหารแห้งเสียหน่อย หลังจากนี้หนึ่งชั่วยามก็ค่อย…” พูดยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกตัวได้ แล้วพูดไปทางป่าว่า “เจ้าคือผู้ใด จงแสดงตนออกมาเถิด”
 
 
เมื่อพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากในป่า แล้วก็มีคนค่อยๆ เดินออกมา “แม่นางเมิ่ง ไม่ได้เจอกันเสียนานเลย”
 
 
ขึ้นนั่งบนหลังม้า ประเมินดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา “คุณชายเหวินเอ้อร์ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
 
 
เหวินเอ้อร์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “แม่นางเมิ่ง ตั้งแต่ที่จากเมื่อปีก่อน ข้าก็คิดถึงเจ้าเป็นอย่างมาก ลงจากหลังม้ามาคุยกันเสียหน่อยเป็นอย่างไร”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ขยับ “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณชายเอ้อร์คิดถึง แต่ว่าวันนี้ข้ามีเรื่องด่วน จำต้องรีบไป ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันจะดีกว่า”
 
 
สีหน้าของเหวินเอ้อร์ไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น “แม่นางเมิ่งออกจากเมืองมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ก็คงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเป็นแน่ถือโอกาสนี้พักกันเสียหน่อย พวกเราก็จะได้คุยเรื่องค้าขายกันด้วย”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้าตกลง “ก็ดี ข้าก็รู้สึกเหนื่อยจริงๆ พักเสียหน่อยดีกว่า”
 
 
เมื่อพูดจบ ก็ลงจากม้า เดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ทางอีกฝั่งแล้วนั่งลง แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณชายเหวินเอ้อร์จะคุยเรื่องค้าขายอันใดกัน”
 
 
กวาดสายตามองดูคนที่อยู่บนหลังม้าแว่บหนึ่ง เหวินเอ้อร์ก็หัวเราะแล้วถามว่า “แม่นางเมิ่ง บ่าวรับใช้ของเจ้าไม่พักหรือ”
 
 
“ทุกคนลงจากม้ามา พักเสีย กินอาหารแห้งเสียหน่อยเถิด ข้ากับนายน้อยเหวินเอ้อร์เป็นเพื่อนเก่ากัน เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายใดหรอก” แม่นางเมิ่งออกคำสั่ง
 
 
ชิงหลวนกับจูหลีมองหน้ากัน ลงจากม้า แล้วเดินมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ยืนประกบข้างเมิ่งเชี่ยนโยว
 
 
กัวเฟยและนายองครักษ์ลับทั้งยี่สิบนายก็ลงจากม้า แล้วยืนอยู่ที่ม้าไม่ขยับไปไหน
 
 
“ดูเหมือนคนของแม่นางเมิ่งจะไม่ค่อยไว้ใจข้าเสียเท่าใด” เหวินเอ้อร์พูดแล้วหัวเราะ
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “แน่นอน ดูจากประวัติของคุณชายเหวินเอ้อร์เมื่อก่อนนี้ พวกเขาไม่วางใจนั้นก็สมควรแล้ว”
 
 
เหวินเอ้อร์หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อก่อนนี้ข้าผิดเอง แต่ว่าครั้งนี้ข้าอยากคุยเรื่องค้าขายกับแม่นางเมิ่งด้วยจากใจจริง”
 
 
ดูเหมือนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเหนื่อยล้ามากจริงๆ ร่างเริ่มเอนกายลงไปพิงที่ต้นไม้อย่างสบาย แล้วพูดด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “คุณชายเหวินเอ้อร์อยากคุยเรื่องการค้าอันใด เชิญพูดเถิด”
 
 
เหวินเอ้อร์มองไปที่นาง แววตาเผยความชื่นชมอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “เรื่องค้าขายที่ข้าจะคุย แม่นางเมิ่งก็รู้ตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงถามอีกกัน”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวคลายสีหน้ายิ้มลง แล้วสีหน้าก็ถมึงทึงขึ้น น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าใด “คุณชายเหวินเอ้อร์อย่าล้อข้าเล่นไป ข้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีความสามารถอ่านใจคนได้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคิดจะคุยเรื่องอะไร”
 
 
สีหน้ายิ้มแย้มของเหวินเอ้อร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แล้วประกบมือขอโทษ “แม่นางเมิ่งอย่าเพิ่งโกรธไป เป็นความผิดของเหวินเอ้อร์เอง ข้าขออภัยกับเจ้าด้วย”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมองเขาออก “คุณชายเหวินเอ้อร์ไม่ใช่คนเล่นลิ้น แต่ตอนนี้กลับพูดแต่เรื่องไร้สาระ ไม่ใช่ว่าจะมากีดกันไม่ให้ข้าไปหลินเฉิง เพื่อที่จะยื้อเวลาอย่างนั้นสินะ”
 
 
เหวินเอ้อร์ชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็กลับมาทำตัวตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว “แม่นางเมิ่งคิดมากเกินไปแล้ว ข้าอยากคุยเรื่องค้าขายกับเจ้าจริงๆ เจ้าจะไปหลินเฉิงหรือไม่นั้นจะเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางที่เขาชะงักไปเล็กน้อย ในใจก็ขรึมลง ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับอี้เซวียนจริงๆ มิเช่นนั้นดูจากนิสัยของเหวินเอ้อร์แล้วไม่น่าจะคุยไร้สาระกับนางแบบนี้ เพียงแค่ไม่รู้ว่าเหวินเอ้อร์คนนี้มาเอง หรือว่าร่วมมือกับเฮ่อจางกันแน่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างหลัง การจัดการกับเขาให้เร็วที่สุด ก็เป็นเรื่องยุ่งยากนัก
 
 
ในใจมีความคิดมากมาย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาท่าทีใดๆ แม้แต่น้อย และยังคงถามด้วยสีหน้าที่จริงจังดังเดิม “เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายเหวินเอ้อร์ก็รีบพูดเถิด ข้าคนนี้ไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น ถ้าหากว่ารีบมากๆ อาจจะลงไม้ลงมือกับเจ้าก็เป็นได้”
 
 
คิดไม่ถึงว่านางจะพูดแบบนี้ เหวินเอ้อร์ก็ชะงักไปอีกครั้ง แล้วหัวเราะว่า “ข้อต่อรองที่ข้าจะคุยด้วยมีอยู่สามเรื่อง เรื่องแรกคือ ข้าต้องการจัดการสารเลวเหวินซื่อนั่น หวังว่าท่านจะไม่ยื่นมือเข้ามาขัดขวาง”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดหรือตอบรับอะไร แล้วถามต่อ “อย่างที่สองล่ะ”
 
 
มองไปที่ชิงหลวนกับจูหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเหวินเอ้อร์ก็พูดว่า “อย่างที่สองข้าชอบคนรับใช้ทั้งสองคนนี้ของเจ้า แม่นางเมิ่งพอจะเมตตาให้ข้าสักคนได้หรือไม่”
 
 
“แล้วอะไรอีก”
 
 
“อย่างสุดท้ายก็คือ เจ้าต้องกลับไปที่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะเอาเด็กในท้องของเฝิงจิ้งเหวินออก”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้อต่อรองทั้งสามข้อของคุณชายเหวินเอ้อร์ไม่ได้ยาก แต่ว่า ข้าช่วยเจ้าทำเรื่องพวกนี้ แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใดเล่า”
 
 
เหวินเอ้อร์ให้ข้อเสนอว่า “ประโยชน์น่ะมี แต่ว่าแม่นางเมิ่งจะต้องตอบตกลงกับข้อเสนอทั้งสามข้อนี้ก่อน”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย “คุณชายเหวินเอ้อร์ก็รู้ว่าข้าเป็นคนทำการค้า เจ้าเคยเห็นแม่ค้าคนไหนทำการค้าขายแล้วยอมเสียเปรียบกันเล่า”
 
 
“ข้าเหวินเอ้อร์ขอสาบานต่อสวรรค์ แม่นางเมิ่งทำการค้าขายกับข้า จะต้องไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน”
 
 
“อ้อ หากว่าเป็นเช่นนั้นก็ลองพูดให้ข้าฟังหน่อย ดูสิว่าคุ้มหรือไม่”
 
 
เหวินเอ้อร์ยิ้มท่ามกลางความมืด แล้วหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “เอาชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียนมาแลกเป็นเช่นไร”

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset