ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 229 โลหิตล้างจวนเฮ่อ

 
 
พรึ่บ เสียงอ๋องฉีลุกขึ้นยืน ถามอย่างตกใจด้วยเสียงที่ดุดัน “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
 
 
ร่างกายของหมอหลวงเจียงสั่นเทาโดยสัญชาตญาณ ควบคุมเสียงของตัวเองไม่ได้อีก จึงพูดอีกรอบด้วยเสียงสั่นเครือ
 
 
อ๋องฉีกระแทกนั่งกลับที่เก้าอี้ อี้เซวียนเคยบอกเขาไว้แล้วว่าชีวิตนี้จะแต่งงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวแค่เพียงคนเดียว ถ้าหากนางมีบุตรยาก เช่นนั้นจวนอ๋องฉีของเขาก็…อ๋องฉีไม่กล้าคิดต่อไป และไม่ปรารถนาที่จะคิดต่อไปอีกด้วย จึงปิดตาอย่างทุกข์ระทม สีหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเมื่อครู่
 
 
ราวกับหวงฝู่อี้เซวียนคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ตั้งแต่แรก อาการบนใบหน้าไม่มีการสะทกสะท้านใดๆ ยังคงนิ่งขรึมและถามด้วยเสียงที่นุ่มนวล “แล้วอย่างอื่นล่ะ ตัวคนมิได้ปัญหาใหญ่โตใช่หรือไม่”
 
 
ปฏิกิริยาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับอยู่เหนือความคาดหมายของหมอหลวงเจียง เขาส่ายศีรษะ ตอบตามข้อเท็จจริง “ไม่มีขอรับ เพียงแค่นอนพักฟื้นอย่างดี ผ่านไปครึ่งปีร่างกายของแม่นางเมิ่งก็ไร้ซึ่งอันตรายแล้วขอรับ”
 
 
“ขอบพระคุณหมอหลวงเจียงมากขอรับ ต่อไปอาจจะต้องรบกวนท่านมาบ่อยๆ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่พูด หมอหลวงเจียงก็ต้องมาจับชีพจรทุกวันอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงรีบพูด “ซื่อจื่อเกรงใจไปแล้วขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ ก็สมควรแล้วขอรับ”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะ “สาวใช้และลูกน้องของโยวเอ๋อร์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ภายในเรือนอีกเรือน รบกวนหมอหลวงเจียงไปตรวจดูชีพจรของพวกเขาด้วยตัวเองอีกครั้งเสียหน่อย พยายามรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ด้วยสุดแรง อี้เซวียนจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
 
 
ตอนที่ข้ามมาที่ห้องรับแขก หมอหลวงเจียงก็ได้เห็นอีกเรือนหนึ่งมีบ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ แล้ว พอได้ยินดังนั้น จึงยืนขึ้น พูด “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ ข้าจะไปตรวจดูเดี๋ยวนี้ขอรับ”
 
 
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
 
 
หมอหลวงเจียงรีบสาวเท้าเดินออกไป
 
 
ภายในห้องรับแขกเงียบสงัด
 
 
ผ่านไปนาน อ๋องฉีถึงจะกัดฟันถามขึ้น “ใครทำ”
 
 
“เฮ่อเหลี่ยนกับเหวินเอ้อร์ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเสร็จ ก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูด “เสด็จพ่อ ท่านต้องดูแลภายในจวนให้ดี ข้าจะออกไปสักหน่อย”
 
 
อ๋องฉีก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ไม่ต้อง ข้าไปเอง”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเขา เห็นรอบตัวเขาแผ่ไอของสัตว์ป่าดุร้าย ก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจมีลูกได้ทิ่มแทงใจเขา จึงมิได้ห้ามปราม พูดว่า “องครักษ์ลับสามพันนายอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะรีบสั่งคนให้ระดมพลมา ท่านพาพวกเขาไปเถิดขอรับ”
 
 
เรื่องขององครักษ์ลับ หลายปีมานี้อ๋องฉีแต่เพียงได้ยิน ไม่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ว่า ในปีนั้นแม่ทัพอาวุโสสามารถเลือกคนจากผู้คนนับไม่ถ้วนออกมาสามพันนาย เพื่อฝึกฝนในการคุ้มกันเซวียนเอ๋อร์ได้ ฝีมือจะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน และน่าจะแข็งแกร่งกว่าองครักษ์ในจวนของตนมาก จึงพยักหน้า รับคำ “ดี”
 
 
“ให้พวกเขาไปอย่างเอิกเกริกนะขอรับ ไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานะของพวกเขาอีกต่อไป รอให้เรื่องนี้ผ่านไป ข้าจะให้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงได้โดยชอบธรรม ถ้าหากมีคนไม่พอใจ ตัวข้ามีแผนรับมือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
 
 
คนที่จะไม่พอใจได้ก็มีแต่เพียงฮ่องเต้เท่านั้น ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน อ๋องฉียังเป็นกังวลบ้าง ทว่า ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เมิ่งเชี่ยนโยวถูกดูหมิ่นว่าเป็นปิศาจสิงร่าง และฮ่องเต้กลับเชื่อแล้วนั้น ในใจของอ๋องฉีก็ผิดหวังต่อพระเชษฐาคนนี้เป็นอย่างมาก เขาเข้าใจแล้วว่า พอนั่งตำแหน่งนั้นนานเกินไป ก็สูญสิ้นความสัมพันธ์เลือดเนื้อเชื้อไขใดๆ อีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องสำรวมเก็บเขี้ยวเล็บและทำตัวเป็นอ๋องที่ง่ายๆ สบายๆ คนหนึ่งอีก จึงพยักหน้าและรับคำ
 
 
สองพ่อลูกเดินออกไปนอกห้องรับแขกในเวลาเดียวกัน
 
 
อ๋องฉีเข้าไปในเรือนของตัวเอง เปลี่ยนเป็นชุดราชการประจำตำแหน่งอ๋อง
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนก็มาในเรือนที่มีบ่าวเข้าออก สั่งกับองครักษ์ลับคนหนึ่งให้ไปส่งสารถึงเถ้าแก่ของเหลาจวี้เสียน โดยสั่งให้เขารีบส่งสารแก่องครักษ์ลับทั้งหมดว่า ให้มารวมตัวกันที่หน้าประตูจวนอ๋องหลังจากเวลาหนึ่งก้านธูป
 
 
อ๋องฉีสวมใส่ชุดอย่างเป็นระเบียบ เดินออกจากเรือน บ่าวภายในเรือนเห็นแล้วก็ต่างพากันประหลาดใจ โดยปกติอ๋องฉีจะสวมใส่เสื้อชุดทางการเมื่อเข้าร่วมหารือราชการเช้า เหตุใดวันนี้ใกล้จะพลบค่ำแล้ว อ๋องฉีกลับสวมชุดทางการ ไม่รู้ว่าต้องการจะไปทำอะไร
 
 
สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งเครียด รอบกายมีไอสังหารแผ่ซ่าน ครั้นเดินออกไปนอกจวน ผู้ดูแลจวนที่กำลังออกมาสั่งบ่าวรับใช้ให้ต้มน้ำร้อนพอดี เห็นเงาด้านหลังของเขา ก็รู้สึกราวกับเห็นเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่นำทหารบุกเข้าพระราชวัง เบื้องหน้าก็มืดสลัวชั่วขณะ กว่าจะรอให้ได้สติกลับมา ไหนเลยจะมีเงากายของอ๋องฉีอีก
 
 
การเคลื่อนไหวของพวกองครักษ์ลับเร็วมาก เมื่อได้สัญญาณจากเถ้าแก่ ไม่ถึงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปก็มารวมตัวกันที่หน้าประตูจวนอ๋องโดยพร้อมเพรียงแล้ว
 
 
การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมทำให้คนที่อยู่รอบข้างตื่นตระหนก แต่ละคนส่งคนออกมาโผล่หัวสอดส่องการเคลื่อนไหวของทางด้านนี้
 
 
แน่นอนว่าก็ทำให้คนภายในจวนตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน พวกบ่าวรับใช้พากันพูดวิพากษ์วิจารณ์ จนดังไปถึงหูของหลิงหลง และย่อมไปถึงหูของพระชายาฉีด้วย
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวกับคนของนางล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูก็รู้ว่าถูกคนวางกลอุบายลอบสังหาร พระชายาฉีใช้นิ้วเท้าหัวแม่โป้งคิด ก็รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ ได้ยินคำพูดของหลิงหลง ความตกใจแต่เพียงน้อยก็ไม่มี สอดขอบผ้าห่มให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมิดชิด แล้วพูด “ปล่อยท่านอ๋องไปเถิด ไม่ชำระแค้นครั้งนี้ ในใจนี้ของข้าก็อัดอั้นเจียนตายเหมือนกัน”
 
 
แผ่นหลังของอ๋องฉียืดตรง ภายในเสียงที่สงบนิ่งมีรังสีสังหารไร้ขอบเขต พูดกับเหล่าองครักษ์ลับทุกคน “วันนี้ พวกเจ้าฟังคำสั่งของข้า ตามข้าไปล้างแค้นให้แก่นายของพวกเจ้า”
 
 
“ขอรับ ท่านอ๋อง!” องครักษ์ลับสามพันนายรับคำเสียงกระหึ่มสะท้านฟ้า ก้องกังวานจนทำให้ในใจของคนที่มาลอบดูต่างไหวหวั่น ตกใจจนรีบกระวีกระวาดปิดประตูใหญ่ของจวนตัวเอง ปราดเข้าไปรายงานต่อเจ้านายของตัวเองทันควัน
 
 
สิบกว่าปีก่อน อ๋องฉีสั่งคนให้ฆ่าบ่าวรับใช้ที่ปกป้องพระชายาฉีที่ขี้ขลาดหนีเอาชีวิตรอด เรื่องที่เส้นทางของประตูจวนอ๋องนองไปด้วยเลือดแดงฉานได้ปรากฏขึ้นบนหัวของทุกคนอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าวันนี้ใครจะต้องเป็นผู้โชคร้ายเสียแล้ว ในใจทั้งหวาดหวั่นพรั่นพรึงและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก จึงสั่งคนให้รีบไปสืบอีกครั้ง
 
 
อ๋องฉีไม่ได้ขี่ม้า สวมชุดราชการ สีหน้าบึ้งตึง สาวเท้ายาวๆ มุ่งไปด้านหน้า องครักษ์ลับสามพันคนก็ก้าวเดินตามหลังไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
 
 
พอถึงเวลาค่ำ คนเดินสัญจรบนถนนใหญ่มีน้อยมาก มีแต่เพียงคนเดินสัญจรไม่กี่คนที่เห็นเป็นเงาดำทึมๆ เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา และเห็นแต่ละคนล้วนแผ่รังสีสังหาร จึงตกใจจนต้องรีบไปหลบอยู่ด้านข้าง
 
 
ผ่านถนนไปสองสาย ก็มาถึงจวนเฮ่อ
 
 
ประตูใหญ่ของจวนเฮ่อปิดสนิท ภายในจวนไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
 
 
อ๋องฉีโบกมือ ส่งสัญญาณให้องครักษ์ลับส่วนหนึ่งรุดเข้าไปข้างหน้า แล้วกระแทกชนประตูใหญ่ของจวนเฮ่อ
 
 
พลธนูแถวหนึ่งจากภายในกำแพงโผล่ออกมา ศรแต่ละดอกง้างบนสายคันธนู อยู่ในท่าที่เตรียมเล็งไปที่พวกเขา
 
 
อ๋องฉีเพียงแค่กวาดตามอง แล้วละสายตาออกราวกับไม่เห็นการมีอยู่ของพวกเขา แล้วพูดกับด้านในของประตู “เฮ่อจาง เจ้าคิดว่าแค่พลธนูพวกนี้จะต้านข้าไหวหรือ”
 
 
ภายในประตูมีเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายของเฮ่อจางดังออกมา “อ๋องฉี พลธนูเหล่านี้ของข้าล้วนเป็นพลธนูเก่งกาจหาตัวจับยาก หากท่านไม่เชื่อ ก็สามารถลองดูได้ ดูว่าคนของท่านเก่ง หรือพลธนูของข้าเก่งกว่ากัน”
 
 
ภายในเสียงของอ๋องฉีเต็มไปด้วยความดูแคลน “เฮ่อจาง เจ้ากับข้ารู้จักกันมาก็ไม่ใช่วันสองวันแล้ว ความสามารถของข้า เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ คนที่ข้าคิดจะกำจัด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครที่สามารถหนีรอดไปได้เลยนะ”
 
 
ก็เพราะว่ารู้ ข้าถึงได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างไรล่ะ เฮ่อจางพูดในใจ แน่นอนว่าคำพูดที่ทำลายความกล้าหาญของตัวเองเช่นนี้ไม่ได้พูดออกมา เดิมทีเขารอข่าวดีอยู่ในบ้าน แต่ว่าจนกระทั่งฟ้ามืดเฮ่อเหลี่ยนก็ยังไม่กลับมา เขาก็รู้ว่าพวกเขาพลาดแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าเฮ่อเหลี่ยนจะไม่กลับมาอีก คนผมขาวอย่างตัวเองต้องส่งศพคนผมดำ ภายใต้ความเจ็บปวดจนแทบขาดใจนั้น ก็แอบระดมพลธนูทั้งหมดที่เตรียมไว้ในที่ลับ เพื่อเตรียมรับมือกับหวงฝู่อี้เซวียนที่จะมาหาเหมือนกับปลาตายที่หลุดเข้ามาในแห แต่เขานึกไม่ถึงว่า กลับเป็นอ๋องฉีที่มาด้วยตัวเอง ในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นอย่างทวีคูณ
 
 
เสียงของอ๋องฉีดังเข้าหูของเขาอีกครั้ง “เห็นแก่ความรอบคอบ หากเจ้ายอมรับความตายแต่โดยดี ข้าก็จะเหลือศพให้เจ้าโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะให้เจ้าตายโดยที่ไร้ร่างฝัง”
 
 
เฮ่อจางเป็นมหาเสนาบดีมาหลายปี ทำเรื่องชั่วร้ายไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรประโยคนี้เป็นสิ่งที่ตัวเองพูดกับคนอื่น ไม่เคยนึกเลยว่าวันนี้จะเป็นตัวเองที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้เสียเอง จึงเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้าอยู่นาน และพูดขึ้น “เป็นคำพูดที่อวดดียิ่งนัก รอเจ้าผ่านด่านพลธนูให้ได้แล้วค่อยว่ากันเถิด”
 
 
พูดจบ ก็สั่งพลธนู “ยิงได้!”
 
 
ศรธนูนับไม่ถ้วนพร้อมเสียงลมพุ่งตรงมาที่อ๋องฉีและเหล่าองครักษ์ลับ
 
 
ถ้าหากพาทหารองครักษ์ของจวนมา ธนูดั่งห่าฝนครั้งนี้ต้องทำให้พวกเขาบาดเจ็บและตายนับไม่ถ้วน แต่วันนี้ที่มาคือองครักษ์ลับ ตั้งแต่ที่พลธนูโผล่ออกมา ทุกคนก็เตรียมความพร้อมอย่างดีแล้ว เมื่อลูกศรถูกปล่อยออกมา คนข้างหน้าก็พากันกระโดดขึ้น และใช้กำลังภายในทำให้ศรที่กำลังเข้ามาตรงหน้าลอยออกไป องครักษ์ลับด้านหลังก็ถอยออกไปอีกสองก้าว ให้พวกเขาได้มีระยะถอย
 
 
มีธนูสองดอกลอยพุ่งมาที่อ๋องฉีอย่างรวดเร็ว
 
 
อ๋องฉีไม่ได้ขยับ และตาก็ไม่ได้กะพริบ ใช้กำลังภายใน โบกมือปัดศรนั้นร่วงหล่นลงพื้น แล้วสั่งด้วยเสียงเย็นชา “พังประตูใหญ่!”
 
 
เหล่าพลธนูเห็นลูกศรที่กระจายออกไปไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว มือเท้าก็เริ่มชุลมุนทำให้การเคลื่อนไหวที่จะง้างธนูอีกครั้งช้าลงเล็กน้อย องครักษ์ลับประมาณสิบคนก็สบโอกาสนี้กระโดดลอยขึ้นไปเหนือกำแพง ในมือมีแสงประกายที่เย็นยะเยือกผ่านไป ปาดคอของพลธนูโดยฉับพลัน
 
 
พลธนูเหล่านี้เชี่ยวชาญการยิงธนู แต่การต่อสู้ในระยะประชิดไม่ได้มีความสามารถพอที่จะต่อกรได้เลย ครู่เดียวก็ตายราบเป็นหน้ากอง
 
 
เฮ่อจางยืนอยู่ภายในเรือน มองไม่เห็นสถานการณ์ด้านนอก แต่เมื่อเห็นพลธนูถูกโจมตีครั้งเดียวและถึงแก่ความตาย มือเท้าวุ่นวาย และรีบโบกมือส่งสัญญาณให้แก่ทหารรักษาการณ์ภายในจวนสามร้อยนายที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเองเข้าไปช่วยเหลือ
 
 
ทหารรักษาการณ์ของจวนส่วนหนึ่งรุดไปด้านหน้า ต้านประตูใหญ่ที่กำลังจะถูกพังออกอย่างสุดชีวิต และทหารรักษาการณ์ของจวนอีกส่วนหนึ่งถืออาวุธหลากหลายชนิดเพื่อปะทะกับองครักษ์ลับที่อยู่บนกำแพง กวัดแกว่งฆ่าฟันอย่างอลหม่าน
 
 
องครักษ์ลับสิบกว่าคนข้ามกำแพงเข้ามาภายในจวน ปะปนกับทหารรักษาการณ์ของจวน
 
 
องครักษ์ลับที่เหลือรุดมาด้านหน้า ออกแรงช่วยกระแทกประตูใหญ่
 
 
ประตูใหญ่รับแรงกระแทกมาเช่นนี้ไม่ไหว เสียง โครม ดังขึ้นประตูพังล้มเข้ามาภายในจวน ทับทหารรักษาการณ์ที่ต้านอยู่ด้านในประตูตาย
 
 
ครั้งนี้ก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกแล้ว อ๋องฉีก็นำองครักษ์ลับที่เหลือก้าวยาวเดินเข้ามาภายในจวน
 
 
องครักษ์ลับที่อยู่บนกำแพงจัดการพลธนูทั้งหมดแล้ว ทยอยกันกระโดดลงมา ปะปนสู้รบกับพวกทหารรักษาการณ์
 
 
ถ้าจะให้พูดดีหน่อย ทหารรักษาการณ์ของจวนเฮ่อก็คือคนที่คุ้มครองความปลอดภัยของทุกคนภายในจวน แต่พูดอย่างแย่ก็คือคนเฝ้าจวนดีๆ นี่เอง ความสามารถมีไม่เท่าไร จึงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าองครักษ์ลับเป็นธรรมดา ในช่วงเวลาพริบตาเดียวทหารรักษาการณ์สามร้อยนายก็ล้วนนอนเป็นศพเรียงรายอยู่ตรงหน้าเฮ่อจางทั้งหมด
 
 
สีหน้าของเฮ่อจางเลิ่กลั่กไปชั่วขณะ พลันทำสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง
 
 
อ๋องฉียืนอยู่หน้าเฮ่อจางที่มีองครักษ์ลับล้อมคุ้มกันอยู่ด้านใน ยิ้มอย่างเยือกเย็น สั่งกับองครักษ์ลับ “นอกจากคนของตระกูลเฮ่อ ที่เหลือก็ไม่เอาไว้แม้แต่คนเดียว”
 
 
เสียงสั่งนี้ออกไป สีหน้าของเฮ่อจางเปลี่ยนไปโดยแท้จริง อ๋องฉีนี่มันจะข้าล้างนี่นา จึงรีบร้องเสียงดัง “บังอาจ!”
 
 
คนที่ตอบเขาคือเสียงรับคำของเหล่าองครักษ์ลับ
 
 
องครักษ์ลับหลายร้อยคนแยกย้ายออกไปทั่วสารทิศ ภายในจวนก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องตกใจทันที เพียงแต่ว่า เวลาเพียงพริบตาเดียว เสียงเหล่านี้ก็หายไปแล้ว
 
 
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มีองครักษ์ลับสองคนหิ้วหลานชายสองคนของเฮ่อจางที่ตกใจจนร่างกายอ่อนชาไปหมด โยนมาตรงหน้าอ๋องฉี
 
 
หลานทั้งสองคนนี้อายุสิบหก สิบเจ็ดปีแล้ว เก่งกาจกว่าเฮ่อเหลี่ยนมาก เป็นสมบัติล้ำค่าของเฮ่อจาง ในทุกๆ วันเขาจะรักและเอ็นดูอย่างมาก เห็นพวกเขาในเวลานี้ตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เฮ่อจางก็เจ็บปวดใจเป็นที่สุด จึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้าปล่อยพวกเขาไป พวกเรามีอะไรก็คุยกันดีๆ”
 
 
เท้าหนึ่งของอ๋องฉีเหยียบลงบนกายคนหนึ่ง กล่าวเหน็บแนม “ตอนนี้เจ้ายังมีคุณสมบัติพอที่คุยกับข้าอีกหรือ”
 
 
เฮ่อจางถูกพูดย้อนยอก
 
 
หลานที่ถูกอ๋องฉีเหยียบเจ็บปวดจนร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง “ท่านปู่ ช่วยข้าด้วยขอรับ!”
 
 
ภายในเรือนไร้เสียงอันใด น่าจะเป็นเพราะพวกเขาฆ่าล้างจนหมดแล้ว เฮ่อจางรู้ว่าวันนี้ตัวเองหลบหนีได้ยาก จึงเอ่ยปาก ภายในเสียงมีการขอร้องอ้อนวอน “เจ้าปล่อยพวกเขาเถิด ข้าจะเอาชีวิตนี้แลกกับเจ้า”
 
 
อ๋องฉีเงยหน้ามองไปที่เขา มุมปากค่อยๆ เลิ่กขึ้นและเผยอออก เผยรอยยิ้มที่มืดทึมราวสัตว์โหยเลือด ยื่นมือออก องครักษ์ลับคนหนึ่งก็หยิบดาบที่อยู่บนพื้นเล่มหนึ่งส่งให้เขาอย่างนอบน้อม
 
 
ตามองเฮ่อเหลี่ยน ยกดาบขึ้นอย่างช้าๆ
 
 
เฮ่อจางรู้ว่าเขาจะทำอะไร เบิกตาโพล่งด้วยความพรั่นพรึง ยื่นมือออกไปห้ามโดยสัญชาตญาณ “อย่านะ!”
 
 
ดาบในมือของอ๋องฉีปักลงกลางอกของคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
 
 
คนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ได้แม้แต่ส่งเสียงกระอักออกมา ศีรษะเอนไป สิ้นลมหายใจ
 
 
เฮ่อจางปวดใจจนเลือดกระอักออกมาจากปากอึกใหญ่
 
 
หลานอีกคนหนึ่งตกใจจนคลานไปทางเฮ่อจางไม่หยุด
 
 
อ๋องฉีไม่ได้ขวางไว้ แต่ทันทีที่เขาเพิ่งจะถึงตรงหน้าของเฮ่อจาง และเฮ่อจางก็กำลังยื่นมือออกไปเตรียมจะดึงเขา มีดในมือก็ลอยพุ่งไป แทงตรงเข้าที่หลังเขาอย่างนิ่งสนิท
 
 
เฮ่อจางมองร่างกายที่แข็งทื่อของหลานตัวเองตาค้าง มือที่ยืนออกไปก็ร่วงตกลง ศีรษะก้มต่ำลง พร้อมสิ้นลมหายใจไปอีกเช่นกัน
 
 
เลือดกระอักออกจากปากของเฮ่อจางอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายโซซัดโซเซไม่หยุด ตะโกนร้องด้วยความเดือดดาล “ข้ากับเจ้ายังไม่จบ!”
 
 
อ๋องฉีกลับไม่ได้สนใจเขา หันตัวเดินออกไปด้านนอก สั่งด้วยเสียงเยือกเย็น “ไม่ไว้ชีวิตใครทั้งสิ้น!”

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset