ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 359 เล่ห์กล

สิ้นคำของนาง หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะออกมา ลูบหัวนาง พร้อมปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม “อย่าเสียใจไปเลย ไม่ต้องสนว่าเจ้าจะเป็นลูกแท้ๆ หรือถูกเก็บมาเลี้ยง ตำแหน่งของเจ้าในใจข้าไม่มีวันเปลี่ยนไป”
 
 
คำพูดลึกซึ้งกินใจเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการชื่นชมจากเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับถูกนางกลอกตาใส่ พร้อมทำเสียงคลื่นไส้ “พูดหวานใส่ข้าให้มันน้อยๆ หน่อย ข้ายังไม่รู้อีกหรือว่าในใจเจ้าน่ะคิดอะไรอยู่ ฟังนะ นี่บ้านของข้า หากเจ้ายังกล้าทำกับข้าเช่นนั้น ข้าจะให้พี่รองเอามีดมาไล่ฟันเจ้าออกจากบ้าน”
 
 
พูดจบ ก็หันหลังลงม้าไปอย่างคล่องแคล่ว ไปทักทายเมิ่งฉีที่มีอาการเช่นเดียวกัน
 
 
รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนแข็งทื่ออยู่บนหน้า คลำจมูกตนเองอย่างเบื่อหน่าย และลงจากม้าตามลงมา
 
 
สองคนเดินนำ หนึ่งคนเดินตาม สามชีวิตเดินเข้ามาในบ้าน เดินมายังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน ถามบ่าวรับใช้จึงได้รู้ว่าเมิ่งซื่อพาแม่นมไปยังเรือนของนางแล้ว
 
 
ทั้งสามหันหลัง เดินมายังเรือนของเมิ่งซื่อเช่นเดียวกัน ยังไม่ทันเข้ามา ก็ได้ยินเสียงร่าเริงของหวังเยียนว่า “ท่านแม่ เด็กตั้งสองคน ท่านดูแลไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ ให้ข้าย้ายเข้ามาดูแลกับท่านเถิด”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งฉี ตบบ่าเขา แสดงออกถึงความเห็นใจแบบเงียบๆ
 
 
เมิ่งฉีหน้าขรึมลง
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนตัวแข็งทื่อ
 
 
มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวเท่านั้นที่ยังดูปกติดี พูดด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านแม่ อย่างไรข้าก็เป็นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วเพิ่งกลับบ้าน ท่านจะแสดงท่าทีว่ายินดีหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ”
 
 
เมิ่งซื่อตอบอย่างไม่เกรงใจว่า “แม่เห็นเจ้ามาตั้งหลายปีแล้ว ทำเอาข้าเบื่อหน้าเต็มทน เจ้าไปหาที่ชอบที่ชอบอยู่เถิด อย่ามาขัดขวางแม่ดูแลดวงใจน้อยๆ ของแม่”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป
 
 
เมิ่งฉีรู้สึกถึงความยุติธรรม หลายปีมานี้แม่ลำเอียงไปทางน้องเล็กมากกว่า บัดนี้ตำแหน่งของนางก็ไม่ต่างกับตนเท่าใด
 
 
เซิ่งเอ๋อร์วิ่งออกมา เงยใบหน้าไร้เดียงสาพูดว่า “ท่านอา ท่านอา ถึงท่านย่าไม่รักท่านแล้ว แต่เซิ่งเอ๋อร์รักท่านอานะ”
 
 
ถือว่าไม่เสียแรงที่รักเจ้าตัวน้อยนี่ เมิ่งเชี่ยนโยวสบายใจขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพร้อมลูบหัวเขาเล็กน้อย “ได้สิ จากนี้อาจะอยู่กับเซิ่งเอ๋อร์ไปตลอด”
 
 
“อย่างนั้นท่านอายกน้องให้ข้าคนหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ” ถามด้วยเสียงเล็กๆ ไร้เดียงสา
 
 
บัดนี้สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวซีดลงจริงๆ
 
 
เมิงฉีหัวเราะพร้อมยืดเอวขึ้น ชูนิ้วโป้งให้ลูกชายตัวเอง
 
 
เซิ่งเอ๋อร์กะพริบตาใส ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นน่าขันอย่างไร จึงได้ทำเอาเมิ่งฉีหัวเราะได้เช่นนี้
 
 
เมิ่งซื่อไม่มองมาทางพวกเขาอีก หวังเยียนเองก็ไม่มีเวลามาสนใจทั้งสามคน หากยังอยู่ต่อไปก็คงน่าเบื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับทันที เดินกลับเรือนของตนด้วยความไม่พอใจเหมือนอย่างเด็กๆ กระโดดขึ้นเตียงเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าพร้อมยิ้ม เดินมานั่งข้างเตียง วางมือลงบนตัวของนางหวังจะปลอบโยน
 
 
คิดไม่ถึงว่า เมิ่งเชี่ยนโยวจะทำท่าราวกับว่าตกใจกลัว ม้วนตัวในผ้าห่มแน่นกว่าเดิม แล้วพลิกตัวไปอีกด้านของเตียงอย่างคล่องตัว ออกห่างจากเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา พูดกับเขาอย่างระวังตัวว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนอึ้งไป จากนั้นจึงได้คิดได้ว่านางคงจะถูกตนรังแกจนกลัวไปแล้ว จึงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างอดไม่ได้ ยื่นมือใหญ่ออกไป จากนั้นก็ดึงคนพร้อมผ้าห่มมาไว้ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างง่ายดาย จงใจถามว่า “ข้าอยากทำอะไร ซื่อจื่อเฟยไม่รู้หรือ”
 
 
พักไปวันเดียว บัดนี้เอวของเมิ่งเชี่ยนโยวยังปวดอยู่ นางตกใจกลัว ยื่นมือออกมาทุบเขา “หากเจ้าคิดจะทำอะไรบ้าๆ ล่ะก็ ข้าจะหนีออกจากบ้าน”
 
 
ถึงจะเป็นคำที่พูดออกมายามกลัว แต่กลับทำให้สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนไป
 
 
ความเจ็บปวดครั้งตอนที่นางหายตัวไปแปดเดือนถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ใช้มือข้างหนึ่งปลดเข็มขัดของตนเอง กัดฟันพูดว่า “เห็นทีสามีอย่างข้ายังไม่ได้ทำให้เจ้าพอใจ เจ้าจึงคิดจะหนีออกจากบ้านอีก”
 
 
บัดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้สติกลับมา แต่เมื่อกำลังจะดิ้นรนนั้น ก็ได้ถูกหวงฝู่อี้เซวียนมัดไว้จนไม่สามารถขยับได้แม่แต่น้อย
 
 
ราวกับว่าเขาต้องการจะลงโทษนาง รังแกนางครานี้หวงฝู่อี้เซวียนใช้วิธีการต่างๆ บังคับให้นางขอร้อง สาบาน ว่าตนจะอยู่ข้างกายเขาไปตลอด
 
 
มีหรือเมิ่งเชี่ยนโยวจะยอมโดยง่าย อย่างน้อยชาติที่แล้วนางก็ได้ชื่อว่าเป็นนักฆ่าดาวเด่น ไม่เคยถูกใครบังคับ จึงกัดฟัน ไม่พูดไม่จา
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนมีความอดทนสูง เขาค่อยๆ ใช้แรงกับนาง ทำให้ตนเองพอใจไปด้วย พร้อมกับทำโทษนางไปด้วย
 
 
“คนเลว!”
 
 
“เจ้าบ้า!”
 
 
“ออกไปนะ! ”
 
 
หลังจากคำด่าเป็นพรวนแล้ว น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ค่อยๆ กลายเป็นคำร้องขอและสาบาน
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงยิ้มมุมปากอย่างน่ากลัว ภายในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปลว่าหากไม่ได้ดั่งใจจะไม่หยุดพักเด็ดขาด “โยวเอ๋อร์ ข้าเคยพูดแล้วว่าห้ามพูดเรื่องจะทิ้งข้าไปเป็นอันขาด เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหลือแรงแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังปล่อยให้เขาทำตามใจนั้น ก็ใช้แรงทั้งหมดพยักหน้าตกลง พูดด้วยเสียงเบาราวกับเสียงแมลงวันว่า “อี้เซวียน ได้อี้เซวียน ข้าจะจำไว้ ข้าจำได้แล้วจริงๆ จากนี้ข้าไม่กล้าพูดเช่นนี้อีกแล้ว”
 
 
“หืม?” น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยความอันตรายที่คาดไม่ถึง ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจนใจสั่น รีบแก้ตัวว่า “ข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีกเด็ดขาด”
 
 
เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว ทั้งร่างกายก็สุขสมใจแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวไปแต่โดยดี
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหมดแรงลงบนเตียง ไม่มีแรงแม้แต่จะคิดเรื่องที่ว่าจะไม่ทำให้เขาโกรธอีก ผล็อยหลับไปในทันที
 
 
มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ที่กำลังหลับสนิทของนาง หวงฝู่อี้เซวียโน้มลงจูบหน้าผากของนางด้วยความรัก พึมพำเสียงเบาว่า “โยวเอ๋อร์ ชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน ทุกภพทุกชาติไป ข้าจะผูกติดกับเจ้าไปตลอดกาล”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับสนิทไปแล้ว ไม่ได้ยินคำของเขา แต่ร่างกายกลับมุดเข้ามาในอกเขาโดยสัญชาตญาณ
 
 
ค่อยๆ ขยับร่างออก สวมใส่เสื้อผ้า จากนั้นก็ไปนำน้ำอุ่นมาจากครัว เช็ดเนื้อตัวให้นางเรียบร้อยแล้วก็ห่มผ้าให้ ส่วนตัวเองก็หยิบหนังสือการแพทย์มาจากกระเป๋า นั่งลงบนเสื่อนิ่มข้างหน้าต่าง ค่อยๆ เปิดอ่านหนังสืออย่างช้าๆ
 
 

 
 
ณ จวนอ๋อง
 
 
เมื่อเด็กๆ จากไปแล้ว ดวงใจของพระชายาราวกับถูกควักออกไป ถอนหายใจเข้าถอนหายใจออกทั้งวี่ทั้งวัน นั่งไม่เป็นสุข หลิงหลงและสาวใช้อีกคนมองหน้ากัน ไม่รู้จะปลอบใจเช่นไร
 
 
ส่วนอ๋องฉีก็กลับไปนั่งนิ่งในห้องหนังสือดังเคย แต่ในหัวกลับคิดถึงแต่รอยยิ้มของเด็กๆ
 
 
เสียงถอนหายใจ ดังออกมาจากห้องหนังสือไม่หยุด พ่อบ้านตกใจเหลือเกิน ในใจคิดว่าท่านอ๋องเป็นอะไรไป พบปัญหาใดเข้าแล้วหรือ เสียงถอนหายใจหลายปีมานี้รวมกันยังไม่เท่ากับของวันนี้เลย
 
 
บรรยากาศภายในจวนอ๋องเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
 
 

 
 
แต่เมิ่งซื่อกลับดีใจเสียจนไม่อยากหลับไม่อยากนอน อยากเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กๆ ไปตลอด หลายวันมาแล้วที่ท่านอ๋องคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กๆ นางไม่มีโอกาสได้อุ้มเด็กๆ เลย บัดนี้โอกาสมาแล้ว เด็กทั้งสองอยู่กับนาง นางอยากจะกอดเมื่อไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาแย่ง นางดีใจเสียเหลือเกิน
 
 
แม่นมทั้งสองแปลกใจมาก เกิดมาเพิ่งเคยเห็นผู้ใดหลงหลานถึงเพียงนี้ คราแรกที่พวกนางถูกเรียกตัวมาเป็นแม่นมในจวนอ๋อง ยังเป็นกังวลอยู่ ว่าหากซื่อจื่อเฟยคลอดลูกสาวออกมาคนในบ้านคงจะไม่ดีใจกัน แต่ไม่กล้าเอาอารมณ์ไปลงที่ซื่อจื่อเฟย จึงมาลงที่พวกนาง หากทำไม่ดีอาจจะสูญเสียชีวิตไปเลยก็ได้ แต่คิดไม่ถึงว่า ไม่เพียงแต่พระชายาจะไม่มีการไม่ยินดี แต่ฝั่งบ้านแม่ของซื่อจื่อเฟยก็ยินดีเสียเหลือเกิน ทำให้ปฏิบัติตัวกับพวกนางดียิ่ง ได้รับการตอบแทนดีเหลือเกิน
 
 
เด็กทั้งสองเป็นที่รัก ตำแหน่งของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถูกลดทอนลง ราวกับว่านางจะมาแย่งเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น เมิ่งซื่อเห็นนางอยู่กับเด็กๆ เมื่อไร ก็จะต้องหาวิธีมากำจัดนางออกไป
 
 
“เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนอี้เซวียนไป”
 
 
“เจ้าไปเดินเล่นไป”
 
 
“แม่อยากกินอาหารที่เจ้าทำ เจ้าทำเยอะๆ หน่อย ให้ทุกคนกินอิ่มหนำสำราญ”
 
 
“พี่สะใภ้เจ้าไม่ว่าง เจ้าพาเซิ่งเอ๋อร์ไปเล่นข้างนอกไป”
 
 
…….
 
 
คำพูดต่างๆ นานาไม่หมดไม่สิ้น มีมาไม่ซ้ำกัน
 
 
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ว่าในใจแม่ของตนมีคนอื่นแล้ว จึงไม่พอใจ ประท้วงว่า “ท่านแม่ นี่เป็นลูกสาวของข้านะ ควรให้ข้าดูแลเองมิใช่หรือเจ้าคะ”
 
 
“เจ้าดูแลเป็นหรือ”
 
 
“เจ้ารู้หรือว่าต้องดูแลอย่างไร”
 
 
“เจ้ารู้หรือว่าตอนลูกร้อง ตอนลูกหัวเราะพวกเขาต้องการอะไร”
 
 
คำถามยาวเหยียดโถมเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป
 
 
เมิ่งซื่อโบกมือด้วยความรำคาญ “ไปๆๆ มีอะไรทำก็ไปทำ อย่ามาขวางข้าดูแลเด็กๆ”
 
 
ถูกไล่ออกมาอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ แต่ก็จนปัญญา
 
 
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับดีใจกว่าใคร ไม่สนใจสิ่งอื่นยิ่งกว่าเดิม
 
 
พริบตาเดียวสามวันผ่านไปแล้ว เด็กทั้งสองดูโตขึ้นไม่น้อย เวลาตื่นนอนเริ่มนานขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งซื่อเองก็ชอบใจยิ่งกว่าเดิม อุ้มไว้ในอกไม่ยอมวาง ทำเอาแม่นมคิดว่าการมีอยู่ของตนนั้นเป็นเพียงการประดับเท่านั้น
 
 
เช้าตรู่ของวันที่สี่ หลังจากที่ทุกคนตื่นนอน กำลังเก็บของอยู่ ยังไม่ได้กินอาหารเช้า นายประตูก็วิ่ง ตึก ตึก ตึก มายังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว น้ำเสียงมีความตระหนก รายงานด้วยเสียงหอบเหนื่อยว่า “นายท่าน ท่านอ๋องฉีและพระชายามาขอรับ! ”
 
 
มองตากับหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย ทั้งสองยืนขึ้นพร้อมกันพร้อมเดินออกไปด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้วยกังวลใจไปด้วย “เสด็จพ่อและเสด็จแม่มาเช้าเพียงนี้ มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือ”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนพอจะเดาได้บ้างแล้ว จึงได้พ่นออกมาสองคำว่า “เด็กๆ”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป แล้วก็คิดขึ้นมาได้ จากนั้นก็ไม่อยากเชื่อ “เจ้าบอกว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่มาหาเด็กๆ อย่างนั้นหรือ”
 
 
หันไปมองนางเล็กน้อย ยื่นมือไปลูบหัวนาง “เจ้าคิดในแง่ดีเกินไปเสียแล้ว ดูทีคงจะมาแย่งเด็กๆ ไปแน่”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินสะดุดทันที เกือบจะล้มลงกับพื้นแล้ว ยังดีที่หวงฝู่อี้เซวียนคว้าไว้ได้ทัน เมื่อยืนมั่งคงแล้ว ก็เบิกตาโต ถามด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “มา มาแย่งเด็กๆ ไป ไม่ ไม่ขนาดนั้นหรอกกระมัง”
 
 
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
 
 
ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตู
 
 
ท่านอ๋องฉียืนเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ข้างรถม้าด้วยสีหน้าปกติ แต่พระชายากลับชะเง้อมองดูด้านในด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้รีบเดินเข้าไปหา คว้าแขนของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้อยู่ในจวนหลายวัน แม่คิดถึงเจ้า มาเร็ว กลับไปเก็บของ กลับไปพร้อมแม่เถิด”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนปิดปากหัวเราะ ในใจแอบยกนิ้วโป้งให้ท่านแม่ของตน รู้ดีว่าหากดื้อรั้นมาแย่งเด็กๆ ไปอาจจะไม่สำเร็จ จึงได้หันมาขอร้องอีกคน บอกว่าคิดถึงโยวเอ๋อร์ เพราะหากแม่ของเด็กๆ จะไปแล้ว เด็กๆ ยังจะอยู่ที่นี่ได้อีกหรือ
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติกลับมา อยากจะทุบหน้าผากตัวเองสักที สติจะได้กลับคืนมาบ้าง ปกติแล้วไม่คิดเลยว่าแม่สามีและแม่ของตนจะเป็นคนมีเล่ห์กลเช่นนี้ เหตุใดเมื่อนางมีลูกแล้วทุกคนกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไปได้
 
 
ยิ้มและเดินเข้ามา โอบแขนของพระชายาเอาไว้ พูดว่า “เสด็จแม่ อากาศยังเย็นเช่นนี้ ท่านมาตั้งแต่เช้าตรู่จะเป็นหวัดเอานะเจ้าคะ เข้าบ้านดื่มน้ำร้อนให้ร่างกายอบอุ่นก่อนเถิด”
 
 
พระชายาไม่ได้ปฏิเสธ เดินตามนางเข้ามาในบ้าน แต่ท่านอ๋องฉีกลับยืนอยู่กับที่
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนจึงทำได้เพียงอยู่ตรงนั้นกับเขา
 
 
เมื่อเมิ่งซื่อได้รับรายงานแล้ว จึงได้ออกมาต้อนรับ เห็นร่างของพระชายาเดินยิ้มมาแต่ไกล “เด็กน้อยทั้งสองเพิ่งจะตื่น ท่านมาดูกับข้าสิ”
 
 
พระชายาเร่งฝีเท้า อยากจะบินไปให้ถึงข้างกายเด็กน้อยโดยเร็ว
 
 
เมิ่งซื่อยังไม่เข้าใจการมาของพระชายา จึงได้เอาแต่พูดว่าเด็กทั้งสองนั้นน่ารักเพียงใด
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบเบ้ปากอยู่ผู้เดียว เด็กทั้งสองเพิ่งออกจากจวนอ๋องมาได้สามวัน จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างไรกัน แต่แม่ของตนกลับพูดอย่างมีความสุข แม่สามีก็ฟังอย่างมีความสุข ไม่สนใจนาง เดินเข้าไปในห้องกันสองคน
 
 
คิดเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามเข้าไปด้วย หากเป็นเช่นตอนนี้ แม่ของตนไม่มีทางให้ตนไปเด็ดขาด ส่วนแม่สามีก็คงบังคับให้ได้ อีกครู่หากแย่งชิงกันขึ้นมา คนที่ลำบากก็คือตัวเอง
 
 
ในห้องพระชายาได้พบกับหลานๆ ที่นางคิดถึงทุกคืนวัน ยื่นมือออกมาอุ้มเด็กคนหนึ่งทันที จูบไปบนหน้าผากด้วยความยินดี ปากพูดว่าดวงใจน้อยไม่หยุด
 
 
เมิ่งซื่ออุ้มอีกคนขึ้นมา เดินขึ้นมาคู่กับนาง ถามด้วยความสุขว่า “ท่านดูสิ เด็กน้อยเริ่มโตกันแล้ว ยิ่งโตยิ่งสวย”
 
 
พระชายาพยักหน้า “จริงด้วย โชคดีที่บ้านของชิ่นจยาดูแลแม่ลูกได้อย่างดีเช่นนี้ ลำบากแย่เลย วันนี้ที่เราและท่านอ๋องมาก็เพื่อจะมารับพวกนางกลับไปนี่ล่ะ”

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset