ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 393 จบบริบูรณ์ (2)

หวงฝู่ซวิ่นผู้น่าสงสาร คิดว่าตนเองนั้นอยู่ห่างๆ หนูน้อยทั้งสองคนก็รอดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะหนีไม่พ้น หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดจบลง กลับมาถึงตงกงได้ไม่ทันไร ก็โดนหมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมา จับตรวจทั้งภายในภายนอกอย่างละเอียด เมื่อเขารู้ว่าเพราะอะไรนั้น ก็ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงใด เขาจะไม่เข้าไปเหยียบจวนอ๋องฉีอีกเป็นอันขาด   
 
 
ไทเฮาได้ยินคำปฏิเสธที่ไร้เยื่อใยของอ๋องฉี ก็รู้ทันทีว่าความคิดที่ตนจะเอาหนูน้อยสองคนนี้เข้าวังนั้นอย่าหวังอีกเลย จึงยอมอ่อนข้อให้ แล้วออกคำสั่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อจากนี้ทุกๆ สิบวันพวกเจ้าต้องพาเด็กมาหาข้าที่ตำหนัก แบบนี้คงได้กระมัง”  
 
 
แบบนี้ค่อยรับได้หน่อย ท่านอ๋องฉีพยักหน้าตอบรับ   
 
 
และช่วงที่น่าสนใจที่สุดของงานเลี้ยงวันเกิดก็คือการเสี่ยงทาย ว่ากันว่าถ้าวันนี้พวกนางจับได้อะไร ภายหลังเด็กน้อยจะประสบความสำเร็จในด้านนั้น   
 
 
จวนอ๋องได้สั่งให้คนไปเตรียมของเอาไว้มากมาย ทั้งของล้ำค่า อุปกรณ์เครื่องเขียน ยาชนิดต่างๆ จอบขวานเสียมพลั่ว(ที่เป็นของเล่น) อุปกรณ์ถักทอ ขนาดไทเฮากับฮ่องเต้ยังเตรียมของเล่นที่เด็กๆ ชอบจากในวังมาวางไว้ด้วยกัน ดูสิว่าหนูน้อยทั้งสองจะเลือกหยิบอะไร   
 
 
เอาตัวหนูน้อยทั้งสองไปวางไว้ที่บริเวณของเหล่านั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมองไปที่พวกนาง  
 
 
หวงฝู่เย่าเย่ว์ผู้เป็นน้องก็เริ่มขยับ แล้วปีนไปที่จอบขวานเสียมพลั่วอย่างตั้งใจ แล้วก็หยิบสิ่งเหล่านั้นมากอดไว้ที่อกของตนเอง ยิ้มให้กับทุกคน   
 
 
ทุกคนก็พร้อมใจกันบอกว่าดี   
 
 
ส่วนคนพี่หวงฝู่สือเมิ่งก็ขยับ แล้วเดินโซเซไปที่ตรงหน้ายาชนิดต่างๆ แล้วหยิบเอามาไว้ที่ตรงหน้า หลังจากนั้นก็หยิบพวกเงินทองของล้ำค่ามาวางไว้ที่ตรงหน้าอีก แล้วเงยหน้าขึ้น หัวเราะให้กับทุกคน   
 
 
ท่านอ๋องฉีก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ   
 
 
ทุกคนต่างร่วมแสดงความยินดี   
 
 
พิธีเสี่ยงทายจบลง หลังจากทุกคนกินอาหารเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับไป   
 
 
เด็กน้อยทั้งสองเล่นกันสนุกสนานเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เมิ่งเส้ากับพวกไปไหนทั้งนั้น   
 
 
ทั้งหมดเคยอยู่ที่จวนอ๋องมาก่อน จึงไม่ได้เกร็งอะไร พระชายาฉีจึงเกลี้ยกล่อมเมิ่งซื่อให้อนุญาตเด็กเหล่านี้อยู่ที่นี่ต่อ  
 
 
เมิ่งซื่อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ   
 
 
แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็มีความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาในหัว   
 
 
วันที่สอง พอกลับไปหนานเฉิง จึงไปปรึกษากับเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งเอ้อิ๋นและเมิ่งซื่อว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะบอกพวกท่านเจ้าค่ะ”  
 
 
“พูดมาสิ” เมิ่งจงจวี่ลูบเคราสีขาวของตนแล้วพูด   
 
 
“ตอนนี้พี่เมิ่งเหริน พี่เมิ่งอี้ แล้วก็พี่รองต่างก็อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ใยพวกท่านกับพี่ใหญ่ไม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันเล่า เช่นนี้ ครอบครัวของพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยได้บ่อยขึ้นแล้ว”   
 
 
เมิ่งจงจวี่ส่ายหน้าคัดค้าน เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่เห็นด้วย   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ให้พวกท่านมาอยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้เพียงเพราะอยากให้พวกเราครอบครัวได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น แต่เป็นเพราะอยากให้ลูกหลานของพวกเรานั้นได้ดิบได้ดี ตระกูลเมิ่งของพวกเรา นอกจากพี่เมิ่งเหรินที่ประสบความสำเร็จ ถ้านับไปอีก หลายปีที่ผ่านมาก็มีแค่ท่านคนเดียวที่ได้เป็นบัณฑิต ไม่ได้หมายความว่าคนที่เหลือจะไม่ฉลาด แต่เป็นเพราะทรัพยากรทางบ้านนอกนั้นไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอาจารย์ ไม่เคยมีผู้มีความรู้คนไหนกลับไปสอนที่บ้านเกิดเลยสักคน แต่ในเมืองหลวงไม่เหมือนกัน เส้าเอ๋อร์ และยังลูกหลานที่กำลังจะมีในภายภาคหน้า จะได้มีการศึกษาที่ดี แล้วจะประสบความสำเร็จอีกด้วย จะได้นำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลเมิ่งของพวกเราเจ้าค่ะ”   
 
 
คำพูดนี้ กระแทกเข้าไปในใจของเมิ่งจงจวี่ มาอยู่เมืองหลวงเพื่อความสุขสบายอะไร เขาล้วนไม่สน เขาขอแค่ลูกหลานตระกูลเมิ่งนั้นได้ดิบได้ดี เมื่อเขาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้   
 
 
เห็นท่าทางกังวลของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดเสริมอีกว่า “ข้ารู้ว่าท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านคุ้นชินกับการอยู่บ้านนอก ไม่เคยชินกับการอยู่ในเมืองหลวง แต่พอดีที่พวกเรามีจวนอยู่นอกเมือง ที่พวกท่านเคยไปดู จวนนั้นใหญ่โต ให้พวกเราทั้งครอบครัวมาอยู่ก็ไม่มีปัญหา ถัดจากจวนมาก็เป็นพืชสวนไร่นา ไม่ต่างจากบ้านนอกของพวกเราเลย พวกท่านยังสามารถเชิญชวนญาติสนิทมิตรสหาย แล้วก็คนในหมู่บ้านมาพำนักอยู่ในจวนของเราก็ยังได้ หรือว่าถ้าท่านคิดถึงบ้านมาก ก็ยังสามารถกลับบ้านนอกไปอยู่ได้เป็นครั้งคราวด้วย”  
 
 
เมิ่งซื่อกับเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่ได้ติดอะไร อย่างไรเสียเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีและภรรยา อีกทั้งเมิ่งเจี๋ยก็อยู่ที่เมืองหลวง   
 
 
เมิ่งต้าจินและภรรยานั้นคิดหนัก เพราะว่าตอนนี้เมิ่งต้าจินรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ถ้าหากว่าเขาไปแล้ว ชาวบ้านจะทำเยี่ยงไร   
 
 
ทุกคนก็นิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ก็เลยไม่ได้พูดอะไรมาก ให้พวกเขาไตร่ตรองเอาเอง  
 
 
คิดอยู่หลายวัน เมิ่งจงจวี่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ อีกนิดที่บ้านนอกก็จะเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกแล้ว เมิ่งต้าจินบอกว่าจะขอกลับบ้านก่อน แล้วค่อยคิดดูอีกที ถ้าหากว่าตัดสินใจได้แล้ว จะส่งจดหมายมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยว   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวทำได้แค่พยักหน้าตอบรับ แต่ขอให้เมิ่งเส้าอยู่ที่เมืองหลวง รับปากว่าจะหาอาจารย์ดีๆ มาสอนเขา   
 
 
แม้ว่าเมิ่งเสียนกับภรรยาจะตัดใจไม่ลง แต่ก็คงต้องยอมเพื่ออนาคตที่ดีของเมิ่งเส้า หลังจากกำชับเมิ่งเส้าอยู่ยกใหญ่ ก็กลับบ้านนอกไปพร้อมกับครอบครัว   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้หวงฝู่อี้เซวียนไปหาตี้ซือ ให้เขามาสอนเมิ่งเส้าด้วย  
 
 
ตี้ซือก็ตอบรับ สอนเขากับหงเอ๋อร์สองคน ในทุกวันกัวเฟยจะต้องควบรถม้าไปส่งเมิ่งเส้า ตอนเย็นก็จะไปรับไปส่งตรงเวลา บางทีก็ไปจวนอ๋อง บางทีก็ไปหนานเฉิง   
 
 
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ก็มาถึงวันแต่งงานของหวงฝู่อวี้และเจียงจิ่น   
 
 
จวนอ๋องฉีก็คึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าหวงฝู่อี้เซวียนดูแลหวงฝู่อวี้เหมือนกับน้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา ไม่สิ ยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เสียอีก ดังนั้น คนที่รู้งานทั้งหลายต่างก็เข้ามาฉวยโอกาสตรงนี้เพื่อมาประจบประแจงเป็นธรรมดา   
 
 
เจียงจิ่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง หลังจากแต่งงานแล้ว ไม่เพียงแต่ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการเรื่องในจวนเท่านั้น บางทีก็ไปช่วยหวงฝู่อวี้ทำการค้าด้วย ส่วนหมอหลวงเจียง ก็ไม่ได้กลับไปรับราชการที่สำนักหมอหลวง แต่ไปแปะป้ายชื่อตนไว้ที่ร้านยาเต๋อเหริน แล้วตรวจโรคที่ร้านยาเต๋อเหรินอยู่บ่อยๆ ส่วนเวลาที่เหลือก็ชอบไปที่จวนอ๋องหารือเรื่องวิชาแพทย์ต่างๆ กับเมิ่งเชี่ยนโยว ทุกวันมีความสุขเป็นอย่างมาก   
 
 
ผ่านไปอีกสามเดือน เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ให้คนมาส่งจดหมาย บอกว่าเมิ่งจงจวี่ตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่เมืองหลวงแล้ว เมิ่งต้าจินก็ได้ออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านตามมาด้วย ส่วนโรงงานและที่นาของที่บ้านนั้นก็มอบหมายให้หัวหน้าตระกูลเมิ่งเป็นคนจัดการ ในทุกปีคนของตระกูลเมิ่งขอกำไรแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น อีกสามส่วนก็เหลือไว้ให้กับลูกหลานตระกูลเมิ่งครอบครัวอื่น   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นอย่างมาก ส่งคนไปที่จวนนอกเมือง ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย รอวันที่ทั้งครอบครัวมากันพร้อมหน้า   
 
 
ผ่านไปครึ่งเดือน ตระกูลเมิ่งก็มาถึงเมืองหลวง หลังจากที่รถม้าเข้าเขตเมืองหลวงแล้วนั้น รถม้าของเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งต้าจินกับภรรยา และเมิ่งซานถงก็มุ่งหน้าไปที่จวนนอกเมืองนั้นทันที ส่วนเมิ่งเอ้ออิ๋นกับภรรยา เมิ่งเสียนกับภรรยายังอยู่ที่หนานเฉิง   
 
 
หนึ่งปีผ่านไป เจียงจิ่นก็มีลูกชายหนึ่งคน ตั้งชื่อว่าหวงฝู่เฮ่า นี่เป็นหลานชายคนแรกของจวนอ๋อง คนในจวนต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ดูแลดีเท่ากับหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่านอ๋องฉีคาดหวังกับเขาค่อนข้างสูง ถึงขั้นบอกไว้ว่าจะไม่เลี้ยงเขาให้กลายเป็นหวงฝู่อวี้คนที่สองเด็ดขาด  
 
 
หวงฝู่อวี้ฟังแล้วก็รู้สึกระคาย เหมือนข้าแล้วเยี่ยงไร ตอนนี้กิจการของจวนข้าก็จัดการได้ดีมิใช่หรือ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เพราะดูเหมือนว่าท่านอ๋องฉีจะเสพติดการตีคน ไม่พอใจเมื่อไร ก็จะหยิบท่อนไม้นั้นไล่ตีไปทั่วจวน   
 
 
จวนอ๋องฉีนั้นดีและเงียบสงบ ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี นี่เป็นสิ่งที่ขุนนางชั้นสูงต่างก็อิจฉา แต่ว่า สี่ปีผ่านไป ความเงียบสงบนั้นก็ได้หายไปด้วย เพราะขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอยู่ภายใต้ความกดดันนั้น จึงได้เพิ่มยาหายากลงไปในใบสั่งยาเพื่อปลุกเร้ากำหนัด ส่วนเหวินซื่อก็กลายเป็นคนที่ช่วยนางสลับยาคุมที่หวงฝู่อี้เซวียนกิน สุดท้ายจึงทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์ หวงฝู่อี้เซวียนโกรธมากเสียจนแทบจะพังร้านยาเต๋อเหรินกันเลยทีเดียว   
 
 
ท่ามกลางความเป็นความตายของเหวินซื่อนั้น ก็ได้แต่ภาวนาว่าครั้งนี้ขอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกชายเสียทีเถิด อย่าให้เขาได้เดือดร้อนไปด้วยเลย เขารับไม่ไหวแน่กับความเดือดร้อนนั้น ยังดีที่สวรรค์เมตตาตอบรับคำขอของเขา หลังจากนั้นเก้าเดือน เมิ่งเชี่ยนโยวก็คลอดเด็กผู้ชายที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ออกมา ตั้งชื่อให้ว่าหวงฝู่รุ่ย หลังจากที่เหวินซื่อได้ข่าว ก็ดีใจกระโดดโลดเต้น ถ้าหากว่าคนที่ไม่รู้ คงนึกว่าภรรยาของเขาคลอดลูกเสียอีก  
 
 
ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังคลอดลูกอยู่นั้น จู่ๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจจนเป็นลมล้มไปอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ดีหน่อย อยู่จนถึงตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวคลอดเสร็จ แต่พอได้ยินว่าเป็นเด็กผู้ชาย ถึงได้โล่งใจหลับตาหงายหลังลงกองกับพื้น   
 
 
ตัวซื่อจื่อเฟยคลอดลูกเองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ซื่อจื่อเองกลับเป็นลมล้มไป เลยเกิดหัวข้อถกเถียงกันขึ้นมาในเมืองหลวง บ้างก็อิจฉา บ้างก็ริษยา บ้างก็เอาเป็นแบบอย่าง บ้างก็เอาเป็นเรื่องตลก ต่างก็พูดกันไป   
 
 
แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น วางงานราชการทุกอย่างลงเหมือนกับครั้งแรก คอยดูแลประคบประหงมจนครบเดือน ไม่ได้ลงโทษเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับพูดกับนางด้วยท่าทีดุดัน จริงจัง ตั้งใจ มองตาไม่กะพริบ ใช้ตนเองเป็นเดิมพัน พูดออกมาว่า “ถ้าหากว่าเจ้ายังกล้าปิดบังข้าอีก ใช้วิธีเช่นนี้เพื่อมีลูก ข้าจะออกจากบ้าน แล้วไม่กลับมาอีกตลอดชีวิต”  
 
 
การมีลูกเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ตอนนี้มีทั้งลูกสาวลูกชายครบแล้ว นางไม่ยอมมีอีกแน่ หลังจากคืนนั้นก็ใช้วิธียั่วยวนหวงฝู่อี้เซวียนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน กระซิบข้างหูสัญญากับเขาว่าต่อไปนี้ไม่ว่าเรื่องใดก็จะไม่ปิดบังเขาอีก   
 
 
หลานสาว หลานชายมีพร้อม ท่านอ๋องฉีพอใจแล้ว นับแต่นี้ต่อไป ก็คอยอยู่จวนดูแลลูกหลาน ไม่ได้สนใจเรื่องในราชสำนักอีก   
 
 
สิบปีผ่านไป ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ หวงฝู่ซวิ่นขึ้นครองแทน มีหวงฝู่อี้เซวียนคอยช่วยเหลือ จึงนำสันติภาพและความสุขสวัสดิ์เจริญรุ่งเรืองมาสู่ปวงชนรัฐอู่ได้อย่างแท้จริง  
 
 
(จบบริบูรณ์)  

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset