ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 50 ปล้นคน

เมิ่งเชี่ยนโยวกลิ้งหลบไปบนพื้น แล้วกระโดดลุกขึ้นมา
 
 
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนตกตะลึง จ้องมองนางดวงตาที่เบิกกว้าง ถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “เจ้าไม่ได้สลบไปหรือ”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มเย็นชา ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ยกเท้าข้างหนึ่งเตะไปที่จุดสำคัญตรงกลางระหว่างตัวของขายคนที่ถามแทน
 
 
ชายคนนั้นร้องอย่างเจ็บปวด เอามือกุมจุดสำคัญนั้นไว้แล้วร้องโอดโอย
 
 
นักโทษทุกคนตกใจตื่นจากเสียงหวีดร้อง ต่างก็ตื่นขึ้นมีสติครบถ้วน แล้วพากันลุกขึ้นมาเกาะลูกกรงที่หน้าห้องขังเหม่อมองมาทางด้านนี้
 
 
ชายที่เหลืออีกสองคนตกใจนิ่งไปจนลืมวิ่งหนี
 
 
พัศดีกลับมีความรู้สึกไว เดินถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง แล้วล็อกประตูห้องขังเสียงดัง “คลิก”
 
 
ชายสองคนนั้นจึงรู้สึกตัว หมุนตัวกลับไปด้วยความตื่นตระหนก เขย่าประตูห้องขังแล้วร้องอย่างตกใจว่า “ปล่อยเราออกไป!”
 
 
พัศดีแกว่งลูกกุญแจที่อยู่ในมือ กล่าวกับสองคนนั้นอย่างไม่สนใจว่า “ผู้ดูแลที่คุมขังสั่งให้พวกเจ้าทำธุระให้เสร็จในคืนนี้”
 
 
“แต่ แต่ว่า แต่ว่านาง…” ชายคนหนึ่งชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดจาอึกๆ อักๆ
 
 
“กลัวอะไร นางเป็นเพียงหญิงบ้านป่าเท่านั้น เมื่อครู่นี้จางลิ่วไม่รู้จักระวัง จนเข้าทางของนางเท่านั้น พวกเจ้าเป็นชายร่างใหญ่โตถึงสองคนจะต่อกรกับนางไม่ไหวเชียวหรือ” พัศดีกล่าวยุยงเสี้ยมสอน
 
 
ผู้ชายสองคนนั้นกลืนก้อนเหนียวๆ ลงคอ ค่อนข้างลังเลอยู่บ้าง
 
 
พัศดีกล่าวตำหนิขึ้น “ถ้าไม่กลัวว่าเบื้องบนจะกล่าวโทษลงมา พวกเรารับผิดชอบไม่ไหว เรื่องดีเช่นนี้จะมาถึงมือพวกเจ้าได้หรือ เร็วๆ เข้า ข้ายังต้องกลับไปรายงานอีก”
 
 
เหล่านักโทษพอได้ยินแล้วก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็รู้สึกเสียใจแทนเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้ไปล่วงเกินใต้เท้าท่านใดมา ถึงต้องมามีสภาพเช่นนี้ เห็นท่าทางของชายทั้งสองคนนั้นแล้วก็รู้ว่าจะต้องลงมือได้สำเร็จแน่นอน แม่นางผู้นี้ต้องโดนทำลายแล้ว
 
 
เมื่อชายทั้งสองได้ยินคำพูดของพัศดีก็มองหน้าปลุกใจกัน แล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับเมิ่งเชี่ยนโยว
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยิ้มเบาๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกัน หรือว่าจะเข้ามาทีละคน”
 
 
พัศดียิ้มลามกหยาบโลน “ที่แท้ก็เป็นพวกสัปดน ปากดีนี่ พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจแล้ว เข้าไปพร้อมกันเลย…” ยังพูดไม่จบก็มีโลหะที่สะท้อนแสงมันปลาบพุ่งเฉียดลำคอของเขาไป ก็คือกริชเล่มหนึ่งที่ปักลงบนผนังคุกด้านตรงข้ามนั่นเอง
 
 
พัศดีตกใจจนล้มนั่งบนพื้น รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่อุ่นๆ ไหลออกมา พอเอามือไปลูบดู กลับกลายเป็นเลือดสดๆ ตกใจจนแทบจะหมดสติลงไป
 
 
นักโทษที่มองดูอยู่ก็ตกใจเช่นกัน ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นปรบมือแล้วส่งเสียงโห่ร้องว่าดีๆ กันมากมาย
 
 
ชายสองคนที่อยู่ในห้องขังก็ตกใจแทบแย่ สองขาสั่นระริก
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูก เดินก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง
 
 
สองคนนั้นตกใจเดินถอยหลังสองก้าว กำเสื้อผ้าของตัวเองแน่น ถามอย่างระแวดระวังว่า “เจ้า เจ้าจะทำอะไร”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา ถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
 
 
“พวกเราไม่เกี่ยว” ชายคนหนึ่งรีบโบกไม้โบกมือพูดขึ้นอย่างลนลาน “พวกเขาให้พวกเรามา”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวลากเสียงคำว่า “อ๋อ” ให้ยาวขึ้น
 
 
ชายสองคนนั้นถอนหายใจโล่งอก
 
 
จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะคอกถามเสียงดังว่า “ถ้าหากวันนี้ไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นแม่นางคนอื่น เรื่องนี้จะเกี่ยวกับพวกเจ้าแล้วใช่ไหม”
 
 
“เอ่อ เอ่อ เอ่อ…” ชายสองคนนั้นกะพริบตาถี่ๆ กระอึกกระอักพูดไม่เป็นคำ
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงเหอะอย่างเย็นชา
 
 
ชายสองคนนั้นตกใจจนแทบจะทรุดกายลงคุกเข่าขอร้อง
 
 
นักโทษในบริเวณนั้นต่างก็ส่งเสียงคำรามดังขึ้นมาว่า “พวกนั้นที่เทียบไม่ได้แม้แต่กับหมูและหมาปล่อยไปไม่ได้”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินบีบเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง “ได้ยินแล้วใช่ไหม ที่ทุกคนบอกข้าว่าห้ามปล่อยพวกเจ้าไป”
 
 
ชายสองคนนั้นถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้ว อยู่ๆ ก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น มองหน้ากันแล้วพุ่งเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวระวังไว้แต่แรกแล้ว นางหลบออกอย่างรวดเร็ว แล้วถีบไปที่ตัวของทั้งคู่ที่กำลังเสียหลัก
 
 
ชายทั้งสองคนศีรษะโขกกำแพง แล้วกระเด็นกลับมา ล้มลงบนพื้น ดวงตาทั้งดูกลอกไปมา แล้วหมดสติไปพร้อมกัน
 
 
พัศดีชี้นางด้วยความหวาดผวา “เจ้า เจ้า…”
 
 
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างขึ้นภายในเรือนจำอีกครั้ง น้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวายของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหน”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับเสียงใส “ข้าอยู่นี่!”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนและคนอีกหลายคนรีบเดินเข้ามาถึงหน้าห้องขัง แล้วใช้แรงดึงกุญแจห้องขังออก
 
 
กุญแจห้องขังถูกเขาดึงออก
 
 
แล้วเดินก้าวอาดๆ เข้ามาในห้องขัง หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างร้อนรนว่า “โยวเอ๋อร์ เป็นอะไรไหม”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบางๆ พร้อมกับสั่นศีรษะ “ไม่เป็นอะไร”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนสำรวจตรวจตรานางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด พอเห็นนางดูไม่เหมือนคนที่เกิดเรื่องจริงๆ ใบหน้าที่ซีดขาวของเขาก็มีสีเลือดเช่นเดิม “ข้าตกใจแทบแย่ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเบาๆ กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นอะไร แต่ว่ามีคนเกิดเรื่องขึ้น”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้าไปมองเป็นเชิงบอกใบ้
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้มองเห็นคนสามคนที่นอนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “พวกเขา…” จู่ ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ บรรยากาศรอบตัวก็เต็มไปด้วยความดุดันขึ้นทันที “พวกเขากล้า…”
 
 
ผู้ดูแลที่คุมขังตกใจจนจำไม่ได้ว่าบิดามารดาของตนนั้นเป็นใครแล้ว “ตึง” เสียงคุกเข่าลงกับพื้น “ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยไม่ทราบว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนของท่าน ถ้าหากทราบแล้วล่ะก็ ถึงข้ามีความบังอาจมากสักเท่าใดก็มิกล้าทำเช่นนี้ต่อนาง”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากห้องขัง แล้วเตะไปที่ตัวของผู้ดูแลที่คุมขังด้วยความโมโห “สมควรตาย ใครใช้ให้เจ้าทำเช่นนี้”
 
 
แรงเตะด้วยความโมโหของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นจะหนักมากเพียงใดไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ผู้ดูแลที่คุมขังถูกเตะจนกลิ้งกับพื้นไปหลายตลบ แต่ก็รีบลุกขึ้นมาคุกเข่าเรียบร้อย ตอบความจริงด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “เป็นคุณชายใหญ่เฮ่อขอรับ มอบตั๋วเงินให้ข้าน้อยห้าสิบตำลึง ให้ข้าน้อยพาคนมาทำลายนาง” พูดจบแล้วก็รีบก้มหน้าขอร้องอย่างลนลาน “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วยขอรับ คุณชายใหญ่บอกว่านางเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ข้าน้อยเกิดความโลภจึงได้ทำเช่นนั้น”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนโมโหแล้วเตะเข้าไปอีกที คราวนี้ผู้ดูแลที่คุมขังกระเสือกกระสนอยู่นานแต่ก็ลุกไม่ขึ้น
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนโอบตัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะพานางออกไปข้างนอก
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งเขาไว้ ชี้ไปที่กริชที่ติดอยู่ผนังห้องขังแล้วกล่าวว่า “กริชของข้ายังอยู่ในนั้น”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกใส่ผู้ดูแลที่คุมขังว่า “ยังไม่กลิ้งไปเอาออกมาอีก!”
 
 
ผู้ดูแลที่คุมขังทั้งกลิ้งทั้งคลานไปจนถึงพัศดีที่บาดเจ็บอยู่ แล้วเอาลูกกุญแจที่อยู่บนตัวเขาออกมาด้วยอาการสั่นสะท้าน พยายามลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องขัง แล้วดึงกริชที่ปักบนผนังลงมา แล้วส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยอาการตัวสั่นงันงก
 
 
“ขอบใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ แล้วรับมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
 
 
ทว่าผู้ดูแลที่คุมขังกลับทำเหมือนว่าได้ยินเสียงเรียกเอาชีวิต เขาตกใจหงายเงิบลงบนพื้น
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองเขากับพัศดีที่บาดเจ็บแวบหนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “พวกคนที่เข้ามาพร้อมกับข้าล่ะ”
 
 
น้ำเสียงของผู้ดูแลที่คุมขังสั่นสะท้านจบแทบพูดไม่เป็นคำ “อยู่ อยู่ในห้องไต่สวนข้างๆ”
 
 
“พาพวกข้าไป!” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเสียงด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
 
 
ผู้ดูแลที่คุมขังกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คิดจะลุกขึ้นยืน แต่ทว่าสองขาอ่อนเปลี้ยไปหมด ลุกขึ้นไม่ได้เลย
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองคนที่แต่งตัวเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่ง
 
 
ผู้ติดตามเข้าใจความนัย จึงเดินขึ้นมาหิ้วผู้ดูแลที่คุมขังอย่างง่ายดาย แล้วพาเดินไปห้องไต่สวนยังทิศทางที่เขาชี้บอก
 
 
พัศดีพอเห็นเงาของทุกคนเดินออกไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็เหลือกขึ้น ตกใจจนหมดสติไปจนสิ้น
 
 
ทุกคนที่อยู่ในคุกต่างก็ตกตะลึงจากฉากนี้ เงียบสนิทไม่มีเสียงใดลอดออกมา จนกระทั่งมองไม่เห็นร่างของคนเหล่านั้นแล้ว จึงส่งเสียงถกกันขึ้นราวกับหม้อที่เดือดปุดๆ “โอ้เทวดาฟ้าดิน นั่นเป็นถึงผู้หญิงของซื่อจื่อ คราวนี้ผู้ดูแลที่คุมขังซวยแน่แล้ว”
 
 
“มิใช่แค่ผู้ดูแลที่คุมขัง คุณชายใหญ่คนนั้นก็ไม่รอด เจ้าคอยดูเถอะ ครั้งนี้ถ้าเขาไม่ตายก็ต้องโดนถลกหนัง”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนกับคนอื่นไม่ได้ยินเสียงถกเถียงกันของเหล่านักโทษ เดินจนมาถึงห้องไต่สววน
 
 
พอเห็นสภาพภายในนั้น หัวใจเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม
 
 
กัวเฟยและคนอื่นถูกโบยจนเนื้อหลุด นอนอยู่บนพื้นที่มีคราบเลือดและเศษชิ้นเนื้อเปรอะเปื้อน ไม่ขยับเขยื้อน
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนเกรี้ยวกราด ไอสังหารแผ่ออกมารอบตัว ผู้ดูแลที่คุมขังครองสติไว้ไม่อยู่หมดสติลงไป
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปหลายก้าว นั่งยองๆ ลงข้างกัวเฟย ใช้มือไปอังที่จมูกลองตรวจดูลมหายใจของเขาดู รู้สึกว่าเขายังมีลมหายใจอยู่อย่างเบาบาง กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เขายังหายใจอยู่”
 
 
พูดจบก็ลองตรวจลมหายใจของทุกคนตามลำดับ พอรู้ว่ายังไม่ตายจึงพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เร็วเข้า ส่งพวกเขาไปที่ร้านยาเต๋อเหริน ไปหาเหวินซื่อ”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ ออกคำสั่งว่า “รีบส่งไปยังร้านยาเต๋อเหรินเร็ว”
 
 
เบื้องหลังมีคนรูปร่างแข็งแรงที่แต่งกายเหมือนผู้ติดตามเดินออกมาหลายคน แล้วเคลื่อนย้ายทุกคนออกไปด้านนอกด้วยความระมัดระวัง
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนติดตามที่หิ้วคอผู้ดูแลที่คุมขังคนนั้นว่า “ดึกแล้ว เถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหรินต้องไม่อยู่ที่นั่นเป็นแน่ เจ้าไปตามเขาที่จวนบอกว่าให้รีบไปโดยเร็ว ข้ากับโยวเอ๋อร์จะตามไปอีกที”
 
 
ผู้ติดตามขานรับคำสั่งแล้วก็รีบออกไปทันที
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูแผ่นหลังของผู้ติดตามที่กำลังเดินออกไปแล้วหรี่ดวงตา
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางของนางแล้วจึงกล่าวว่า “พวกเขาเป็นคนที่เสด็จแม่มอบให้ข้า ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนที่อยู่ด้านหลังอีกคนว่า “ทำให้ผู้ดูแลที่คุมขังตื่น”
 
 
คนผู้นั้นขานรับคำสั่ง หันมองซ้ายมองขวา พอเห็นในห้องไต่สวนมีถังน้ำวางอยู่ใบหนึ่งก็เดินเข้าไปยกถังน้ำมา แล้วสาดไปที่ใบหน้าของผู้ดูแลที่คุมขังจนหมด
 
 
ผู้ดูแลที่คุมขังได้สติเพราะน้ำที่เย็นเฉียบ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ ก็ตกใจจนต้องรีบลุกขึ้นมาคลานเข่าขอร้องอ้อนวอน “ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตด้วย ซื่อจื่อได้โปดไว้ชีวิตด้วยขอรับ”
 
 
“คุมตัวเขาไปที่จวนอ๋อง เอาไปขังไว้” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม
 
 
คนผู้นั้นขานรับคำสั่ง ดึงตัวผู้ดูแลที่คุมขังที่กำลังจะหมดสติลงไปอีกครั้งพาเดินออกไปข้างนอก
 
 
แววตาของหวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกผิด กล่าวโทษตัวเองต่อเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ขอโทษนะ ข้ามาช้าไป…”
 
 
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างเคร่งขรึม ยกมือขึ้นยับยั้งไม่ให้เขาพูดต่อ “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย พวกเรารีบตามไปดูพวกกัวเฟยที่ร้านยาเต๋อเหรินก่อน”
 
 
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องไต่สวน
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
 
 
เหล่าพัศดีที่อยู่เวรเฝ้าคุกคืนนี้ต่างก็ตกใจกันไปหมดแล้ว ต่างก็คุกเข่าบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า ได้แต่ฟังเสียงย่ำเท้าของพวกเขาที่เดินห่างออกไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน
 
 
ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินออกจากประตูใหญ่ของเรือนจำไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงเกือกเท้าม้าดังขึ้นมา ข้างหลังยังมีขบวนทหารวิ่งตามมาอีก
 
 
คนที่ขี่ม้ามาถึงตรงหน้าของทั้งสองแล้วกุมบังเ**ยนไว้ถามขึ้นเสียงดังว่า “ใครกันที่บังอาจเช่นนี้ กล้ามาปล้นคนในคุกกลางดึก”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาบังเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ตอบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เป็นข้า!”
 
 
คนที่อยู่บนม้าก็คือผู้บัญชาการโต้วที่เป็นคนจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นตอนกลางวันนั่นเอง คืนนี้เป็นเวรเฝ้าของเขา กำลังพาทหารออกลาดตระเวนอยู่ภายในเมืองพอดี พอได้ยินพัศดีมารายงานว่ามีคนปล้นคุกก็รีบพาทหารบึ่งมาที่นี่ทันที เผอิญเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาต่อหน้าต่อตาจึงตะโกนถามขึ้น พอได้ยินว่าเป็นเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนที่เป็นคนตอบก็ชะงัก จากนั้นก็ประเมินท่าทีของเขาอย่างละเอียด
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่อยู่ในราชสำนัก ดังนั้นพวกขุนนางที่รู้จักเขาจึงมีไม่มาก แต่ว่าใบหน้าของเขานั้นคล้ายคลึงกับอ๋องฉีมาก ผู้บัญชาการโต้วมองดูอย่างละเอียด แล้วก็สะดุ้ง ถามหยั่งเชิงว่า “ซื่อ ซื่อจื่อ”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหึขึ้นจมูกเบาๆ
 
 
ผู้บัญชาการโต้วรีบลงจากม้าทันที แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ข้าน้อยผู้บัญชาการโต้วแห่งกองกำลังปัญจทิศรักษานครอันเลื่องชื่อเข้าพบซื่อจื่อขอรับ”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สั่งให้เขาลุกขึ้น แต่กลับถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ผู้บัญชาการโต้ว ช่างบังอาจจริงๆ แม้แต่คนของข้ายังกล้าจับเชียวหรือ”
 
 
ผู้บัญชาการโต้วหวาดหวั่นในใจมากขึ้น ถามขึ้นอย่างลนลานว่า “ซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
 
 
“เงยหน้าขึ้นมา ดูว่านางเป็นใคร”
 
 
ผู้บัญชาการโต้วเงยหน้าขึ้น ในตอนที่เห็นชัดว่าแม่นางที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือเมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความรู้สึกปั่นป่วนขึ้นในอก ยั่งไม่ได้พูดออกไปในทันที ผ่านไปนานหลายอึดใจจึงเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบากว่า “นาง นาง…”
 
 
“นางเป็นหญิงในดวงใจของข้า เจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด แต่กลับฟังคำพูดปลุกปั่นของเฮ่อเหลี่ยน จับนางเขาคุกโดยพลการ อีกทั้งยังเห็นชอบให้คนทำร้ายนาง เจ้าคิดว่า เจ้าควรรับโทษเช่นไร”
 
 
ในใจของนางกองโต้วนั้นประหวั่นพรั่นพรึงโดยไม่ต้องบอกก็รู้ เบิกตากว้างขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อสายตา อยู่ๆ ก็นึกถึงข่าวคราวจากเมืองหลวง ที่บอกว่าซื่อจื่อทำอย่างไรบ้างเพื่อหญิงชาวบ้านที่มาจากชนบทคนหนึ่ง หรือว่า
 
 
พอนึกถึงตรงนี้ก็มีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของนางกองโต้ว รู้สึกเสียววาบที่ลำคอของตน ยกมือขึ้นมาลูบลำคอของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดแก้ต่างว่า “เรียนซื่อจื่อขอรับ ข้าน้อยไม่ทราบว่านางเป็นนางในดวงใจของท่าน นางทำผิดกฎหมาย ข้าน้อยก็จับนางตามกฎหมาย มิได้ทำผิดที่ใด”
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหึขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ถามว่า “เช่นนั้นหรือ”
 
 
ในน้ำเสียงนั้นเจือความกดดันและเย็นเฉียบ ทำให้ผู้บัญชาการโต้วรู้สึกเสียวสันหลังจนเหงื่อไหลออกมา รีบตอบกลับอย่างหวาดหวั่นทันทีว่า “ถ้อยคำที่ข้าน้อยกล่าวเป็นความจริงทุกคำ ไม่มีสิ่งใดปิดบังแม้แต่น้อย”
 
 
“เด็กๆ!” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนที่อยู่ข้างหลัง “พาผู้บัญชาการโต้วไปดูในเรือนจำ!”
 
 
คนที่อยู่ข้างหลังขานรับคำสั่ง บอกเป็นนัยให้ผู้บัญชาการโต้วตามเข้าไป
 
 
ผู้บัญชาการโต้วไม่เข้าใจ หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความสงสัย
 
 
บนใบหน้าอันเคร่งขรึมของหวงฝู่อี้เซวียนนอกจากมีความโกรธแล้ว ยังมีสีหน้าราวกับต้องการฆ่าคนก็ไม่ปาน
 
 
ผู้บัญชาการโต้วจึงไม่กล้าเอ่ยถาม ก้มหน้าก้มตาเดินตามคนผู้นั้นเข้าไปยังเรือนจำ ในตอนที่เห็นสภาพภายในนั้นก็รู้สึกโมโห จนมีความคิดที่จะฆ่าผู้ดูแลที่คุมขังที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ใครกันที่ให้ความกล้าเช่นนั้นแก่เขา กล้าทำเรื่องแบบนั้นขึ้นมาได้ เป็นเช่นนี้แล้วแม้แต่เข้าก็ไม่สามารถอธิบายได้
 
 
เดินตามคนผู้คนออกมาด้วยอาการตื่นตระหนก แม้แต่ข้อแก้ตัวผู้บัญชาการโต้วยังไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนถามเขาเสียงเย็นว่า “ผู้บัญชาการโต้ว เจ้าปล่อยให้ลูกน้อยกระทำการอุกอาจเช่นนี้ เจ้าว่าถ้าหากเสด็จลุงทรงทราบเรื่องนี้ จะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
 
 
—————————-

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset