ข้ามเวลาล่าฝัน – บทที่ 5 ตอนที่ 2

‘น-น่ากลัว’

 

เด็กโรงเรียนอาชีวะนี่มันคนละเรื่องกันเลย เด็กคนที่นั่งข้าง ๆ เขาเอาบุหรี่มาโรงเรียนตั้งแต่วันที่สอง อีกคนก็เอาแต่ถามหาที่ซื้อเหล้าอย่างสนุกสนาน ทุกอย่างแปลกใหม่และน่ากลัวสำหรับเขา ราวกับว่าถ้าเขาปริปากพูดออกไปเขาจะต้องถูกต่อยเข้าแน่ ๆ

 

และก็มีเรื่องนี้ด้วย

 

“เฮ้ย เปลี่ยนที่กัน” เด็กคนหนึ่งที่ดูหน้าตาดุดันมาขอแลกที่กับเดมยัง แน่นอนว่าเขาได้แต่เก็บกระเป๋าและย้ายไปนั่งด้านหน้าอย่างเงียบ ๆ

 

“ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย” เขาได้ยินเสียงไล่หลังมา

 

ตอนนั้นเองที่เดมยังหวนนึกถึงนรกในตอนมัธยมต้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่สิ คราวนี้มันอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าก็ได้ เพราะมีสายตาของเพื่อนนักเลงคอยดูถูกอยู่ตลอด

 

ทำไมเขาถึงได้เลือกมาเรียนที่โรงเรียนอาชีวะกันนะ? เขาน่าจะเลือกเรียนต่อโรงเรียนสายสามัญ ถ้าทำแบบนั้นอาจจะยังพอหาเพื่อนได้บ้างก็ได้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“เอ๋ เหี้ย แค่ 500 วอน เอาจริงดิ?”

 

“ไปไกลตีนไป”

 

คนรอบ ๆ ตัวเขาสบถคำหยาบกันเป็นเรื่องปกติ แค่ได้ยินก็ทำให้เขาเสียวสันหลังแล้ว เพราะตัวเขาเองไม่เคยพูดสบถมาก่อนเลย

 

‘ต้องใช้ชีวิตอีกสามปีเหมือนเมื่อก่อนเหรอ?’ เขาคิด

 

สามปีที่โดนรังแกในวัยประถม สามปีที่โดนรังแกในวัยมัธยมต้น นี่เขาต้องมาใช้ชีวิตที่ถูกรังแกในช่วงมัธยมปลายอีกเหรอ

 

“รู้ที่เก็บเวลดี ๆ ปะ? ดันกระดูกที่ 8 แม่งอย่างขยะ คนโคตรเยอะ” เด็กคนหนึ่งบ่น

 

“ก็บอกว่ามันไม่มีที่ไหนดีกว่านั้นแล้ว”

 

เขาได้ยินเด็กกลุ่มหนึ่งพูดเรื่องเกมที่ด้านหลังของเขา พวกนั้นพูดเรื่องเกมที่เขาเล่นอยู่ แถมเขายังรู้ด้วยว่ามีที่เก็บเลเวลที่ดีกว่า ถ้าเขาพูดออกไปตอนนี้… เขาจะเป็นเพื่อนกับพวกนั้นได้รึเปล่านะ

 

แต่เขาก็ไม่กล้าจะทักออกไป เพราะเขากลัวจะถูกเมินใส่หลังเข้าไปคุยด้วย ที่สำคัญคือเด็กพวกนั้นดูหน้าตาเหมือนนักเลง พวกนั้นต้องเมินเขาแน่ ๆ ถ้าเขาเข้าไปคุยด้วย

 

‘อ่า ไว้ทีหลังแล้วกัน…’ เขาคิดหาข้ออ้างขึ้นในหัวตัวเอง

 

เดมยังรู้ดีว่ามันไม่มี ‘ทีหลัง’ แต่การจะหลุดพ้นจากการถูกกลั่นแกล้งมาตลอด 6 ปีนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันเป็นไปไม่ได้ เขาคิดและคิดและคิด ก่อนจะพบว่าพลังงานในตัวเองค่อย ๆ เหือดหายไป…

 

“นี่” เขาได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลัง มีคนเรียกเพื่อนเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เขาแล้วล่ะ

 

“เออ เดมยัง ปะ?”

 

“เอ๋ อ่ะ?”

 

มีคนเรียกชื่อเขา? ไม่มีใครเรียกชื่อเขามานานมาก เดมยังหันกลับไปมองอย่างตกใจ และที่ด้านหลังของเขาก็มีเด็กตัวสูงคนหนึ่งยืนอยู่ ฮาน มารุ ใช่ไหม? เขาจำได้เพราะชื่อแปลก ๆ นั่น

 

‘หมอนี่เองก็ดูเหมือนเป็นนักเลง…’ เดมยังเริ่มกังวลขึ้นมา

 

* * *

 

[หมอนี่เองก็ดูเหมือนเป็นนักเลง…]

 

และแล้วกล่องข้อความก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง มารุได้แต่กลั้นขำหลังเห็นกล่องคำพูดนั้น มันมีส่วนไหนของเขาที่ดูเหมือนเป็นนักเลงกัน?

 

“ปาร์ค เดมยัง ใช่ไหม?” เขาถาม

 

“อ่า ใช่”

 

“เล่นเวิลด์แครชปะ?”

 

World Crash เป็นชื่อของเกมที่เด็กอีกกลุ่มกำลังพูดถึงกันอยู่ และแน่นอนว่ามารุเองก็เคยเล่นเช่นกัน ทำไมจะไม่เคยเล่นล่ะ? เพราะเกมน่ะแทบจะเป็นอย่างเดียวที่เขาทำให้ช่วงวัยเรียนเลย ถึงจะไม่ค่อยได้เล่นเกมที่ว่านี้มากเท่าไหร่ก็ตาม

 

“อ่า เล่น” เดมยังตอบ

 

“เลเวลเท่าไหร่ละ?”

 

“ฉันเหรอ? 23น่ะ”

 

พระเจ้า เกมเพิ่งเปิดมาได้แค่ 3 วันแท้ ๆ แต่เลเวล 23 เข้าไปแล้ว? หมอนี่มันเล่นมากแค่ไหนกันเนี่ย

 

“นี่” มารุหันไปเรียกเด็กที่คุยกันอยู่ใกล้ ๆ “พวกนายก็เล่นเวิลด์แครชใช่ปะ?”

 

“แน่สิ กำลังคุยกันอยู่เลยเนี่ย” เด็กคนหนึ่งตอบมา

 

“เลเวลเท่าไหร่กัน?”

 

“15”

 

“พวกนายล่ะ?” มารุถามอีกสองคน

 

“16”

 

“14”

 

พวกเขาล้วนเลเวลต่ำกว่าเดมยัง เอาล่ะ เท่านี้มารุก็จัดฉากให้อย่างสวยงามแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเดมยังเปิดปากพูด

* * *

 

เดมยังรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ ทั้งสามคนหันมามองที่เขา

 

‘หรือว่านี่…’ เขาหันไปมองที่มารุ ที่กำลังส่ายหัวไปทางทั้งสามคน หรือว่าหมอนี่ กำลังช่วยเรา? ทำไมล่ะ? ไม่มีเหตุผลให้ต้องช่วยแท้ ๆ

 

‘อะ คงคิดจะทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกแน่ ๆ’ เรื่องราวเริ่มกระจ่างขึ้น มันคิดจะแกล้งเป็นเพื่อนกับเขาก่อนจะโยนเขาทิ้งออกจากลุ่ม เขาโดนแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

 

‘แน่นอนว่ามันต้องเป็นแบบนั้น’ เดมยังหันไปมองทางมารุ ที่ยังคงทำท่าทางชี้ไปทางกลุ่มสามคน

 

‘แก… เลิกทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะ’

* * *

 

[แก… เลิกทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะ]

 

มารุเห็นกล่องข้อความผุดขึ้นบนหัวของเดมยังหลังจากที่เขาหันไปสบตากับเด็กหนุ่ม นั่นคือความคิดของเด็กหนุ่มในตอนนี้ ด้วยสีหน้าท่าทางหมดอาลัยนั้น มารุไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรกับท่าทางนั้น เขาเพียงแต่คิดสงสาร เพราะไม่รู้ว่าเดมยังต้องเจอเรื่องราวลำบากมามากมายขนาดไหนถึงได้กลายเป็นคนที่ขี้ระแวงขนาดนี้

 

ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เขาจะต้องกลายเป็นคนไม่เข้าสังคมแน่ ๆ มารุเองก็คงไม่คิดจะยุ่งถ้าเจ้าตัวไม่อยากให้ยุ่ง แต่มันจะเป็นแบบนั้นรึเปล่านะ?

 

“นี่” เขาเรียก

 

“อ-อะไร?”

 

“ที่อยู่แบบนี้เพราะชอบอยู่คนเดียวเหรอ?”

 

เขายื่นหน้าไปพูดใกล้ ๆ เพื่อกันคนอื่นได้ยิน เดมยังตอบกลับมาด้วยความเกรี้ยวกราด

 

“แกล้อฉันเหรอ?” เขากล่าว ฟังดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบที่ถูกพูดใส่แบบนั้น

 

มารุหันไปมองด้านหลัง เด็กทั้งสามคนยังหันมามองทางนี้อยู่

 

“ฉันไม่ได้มายุ่งไม่เข้าเรื่องใช่ไหม?”

 

“หา?”

 

“ฉันนึกว่านายอยากพูดกับพวกนั้น? ถ้าเข้าใจผิดก็ขอโทษทีแล้วกัน”

 

“…”

 

“ถ้าแค่อยากจะตั้งใจเรียนเฉย ๆ ฉันก็ขอโทษด้วย”

 

ดวงตาของเดมยังสั่นเครือ มารุรู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มแค่อยากจะมีเพื่อน

 

“แต่… ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ทำไมไม่ลองไปคุยดูก่อนล่ะ?”

* * *

 

เดมยังหันหน้าหนีออกจากมารุ มารุพูดถูก เขารู้ดีว่ามารุแค่หวังดี และที่เขาทำท่าทางโกรธใส่ก็ทำไปทั้งที่รู้ตัวเองดี

 

กลุ่มเด็กสามคนนั้นจะเริ่มหมดความสนใจในไม่ช้า ถ้าเขายังคงนั่งอยู่เฉย ๆ แบบนี้

 

‘เข้าไปคุยด้วยคงได้ใช่ไหม? พวกนั้นจะไม่ปฏิบัติกับเราแปลก ๆ อีกใช่ไหม? ไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหม?’ ความวิตกกังวลมหาศาลไหลผ่านเข้ามาในหัวของเขา เขาเองก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่นี่

 

‘แย่ล่ะ’ ราวกับว่าเขาลืมวิธีการที่จะพูดไป เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนัก ๆ รอบตัวเขา อ่า จะต้องโดนล้ออีกแน่ ๆ เลย

“จะเตรียมเข้ารับการฝึกรึไง? จะกังวลอะไรนักหนา? พวกนั้นก็เด็กเหมือนกัน แค่ไปคุยเรื่องเกม เลิกห่วงว่าต้องวางตัวยังไง แค่เข้าไปพูดก็พอ” นั่นคือคำพูดที่มารุบอกกับเดมยัง เดมยังไม่เข้าใจว่าการฝึกที่ว่านี่คืออะไร แต่ก็เข้าใจส่วนที่เหลือได้

 

คำพูดนั้นทำให้เดมยังกล้าขึ้นมา

 

“ดันกระดูก 8 น่ะก็ดีหรอก แต่ยังมีที่อื่นที่ดีกว่านะ” เขาตัดสินใจที่จะพูดต่อจากที่ค้างไว้

 

“จริงดิ?” มีเสียงตอบรับเกิดขึ้นทันที

 

“แกเองก็เล่นเวิลด์แครชด้วยเหรอ?”

 

“เลเวลเท่าไหร่แล้ว?”

 

จริงด้วย นี่คือการคุยกันสินะ มันไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เดมยังเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset