ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 61: เจ้ากำลังดึงดูดปัญหา

“เจ้าใช้เหรียญสื่อสารนี้ยังไง?” เฉินเฉินถามอย่างเย็นชาพร้อมขมวดคิ้ว
 
หวังเฟิงส่ายหัวไม่หยุดและมีสภาพจนปัญญาทางอย่างสมบูรณ์
 
“ช่างมันเถอะ ข้าจะอัดเจ้าให้ตาย แบบนั้นก็ได้ผลเหมือนกัน”
 
เฉินเฉินโยนเหรียญสื่อสารทิ้งแล้วอัดหวังเฟิงจนถึงจุดที่เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
 
“คนๆนี้อยากจะอัดข้าให้ตายจริงๆ!”
 
ในขณะที่ถูกอัด หวังเฟิงก็เริ่มสติเลือนราง และรู้สึกว่าเฉินเฉินอยากจะฆ่าเขาแล้วไปเข้าร่วมเป็นศิษย์สำนักอู๋ซินจริงๆ
 
‘มีคนที่โหดร้ายขนาดนี้อยู่ในโลกด้วยหรอ!? เขาช่างขี้รังแกจริงๆ!’
 
หวังเฟิงสบถอยู่ในใจ แต่ก็อดที่จะร้องขอความเมตตาออกมาไม่ได้
 
“ท่านผู้สืบทอด ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!
 
“ข้าจะไม่ต่อสู้อีกแล้ว! ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”
 
เสียงอ้อนวอนขอความเมตตาของเขาดังก้องไปทั้งจัตุรัส ศิษย์ภายในและภายนอกแอบรู้สึกสะใจอยู่ข้างใน ณ เวลานี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้จดจำเฉินเฉิน ในฐานะผู้สืบทอดและนักบุญแห่งสำนักเทียนหยุน
 
อย่างไรก็ตามสายตาของซุนเทียนกังและเจ้าเสี่ยวหยานั้นมีความกังวลอยู่ การต่อสู้นี่มันทำให้รู้สะใจอยู่ก็จริงแต่ถ้าหวังเฟิงตอบโต้หล่ะ? เฉินเฉินจะฆ่าเขาได้จริงๆหรอ?
 
ครู่ต่อมา ในที่สุดเฉินเฉินก็หยุดลงแล้วลากหวังเฟิงมา
 
“ศิษย์พี่เฉิน… พี่อยากจะ…”
 
จ้าวเสี่ยวหยาเรียกเขาว่าศิษย์พี่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องหายากสำหรับเธอ แล้วมันก็ไม่มีร่องรอยความเป็นห่วงอยู่ในน้ำเสียงของเธอด้วย
 
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เจ้านี่กล้ามารังแกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน ต่อให้เขามาจากสำนักอู๋ซิน ข้าก็ไม่อนุญาต! ถ้าสำนักอู๋ซินอยากจะลงโทษสำนักเทียนหยุนจริงๆ ข้าก็จะไม่ใช้ทรัพยากรของสำนักในการชดเชยบทลงโทษ”
 
หลังจากที่เฉินเฉินพูดเรื่องที่ยุติธรรมพวกนี้ออกมา เขาก็ไม่ได้หันหลังกลับ แล้วเอาหลังเผชิญหน้ากับฝูงชนแทน
 
“ศิษย์พี่เฉินเฉิน ท่านจะรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวหรอคะ? แต่ว่า…” มู่หลงหยุนหลานพึมพำ สายตาของเธอเปล่งประกาย ณ เวลานี้ เธอรู้สึกตื้นตันจริงๆและหวังว่าเธอจะสามารถเสนอตัวเพื่อเขาได้
 
‘ศิษย์พี่อาจจะเป็นผู้สืบทอดแต่สำนักก็น่าจะยังลงโทษเขาที่ทำเรื่องแบบนี้ใช่ไหม?’
 
ศิษย์ภายในและภายนอกคนอื่นๆก็ดูรู้สึกผิดในตอนที่พวกเขาได้ฟัง
 
ผู้สืบทอดควรจะได้ฝึกตนอย่างสงบสุขในยอดเขาหลักและไม่ต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเขาก็ยังออกมาที่สำนักภายนอกแล้วยืนหยัดเพื่อทุกคนโดยไม่ลังเล
 
ความชอบธรรมนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นไหว
 

 
ในตอนที่ออกมาจากยอดเขาเทียนฉิน เฉินเฉินก็ผ่อนคลายร่างกายของเขา เขารู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหลังจากที่แกล้งทำตัวให้ดูน่ายกย่องเป็นเวลานานขนาดนั้น
 
“ตอนนี้ฉันน่าจะสร้างความประทับใจที่ดีให้กับพวกเขาได้แล้วใช่ไหม? ฮ่าฮ่า! การเป็นผู้สืบทอดที่ทุกคนเคารพนับถือก็รู้สึกสนุกดีนะ!”
 
หลังจากหัวเราะแล้วพึมพำกับตัวเอง เฉินเฉินก็ยกมือขึ้นแล้วมองหวังเฟิง ที่ถูกอัดจนหน้าบวมปูดไปหมด
 
“เห้อ ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจนะ? ในสำนักเทียนหยุน มีแค่ข้าเท่านั้นที่จะทำตัวไร้กฎได้ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”
 
ในขณะที่สายหัว เฉินเฉินก็ลากหวังเฟิงที่หมดสติไปแล้วตรงไปที่ยอดเขาหลัก
 
การซ้อมเขาจนน่วมอย่างเดียวมันยังไม่พอ เขาต้องทำการล้างสมองด้วย
 
มันคงจะดีที่สุดถ้าเขาไม่พิการไปซะก่อน
 

 
สิบห้านาทีต่อมา เฉินเฉินก็ลากหวังเฟิงเข้าไปในสวนของยอดเขาหลัก จากนั้นก็ทิ้งเขาไว้กลางตำหนัก
 
หลังจากนั้น เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางแล้วเอนพิงอย่างสบายๆ ถ้าตอนนี้เขามีบุหรี่อยู่ เขาคงจะดูเหมือนเจ้าพ่อ
 
“เซียงเอ๋อ ไปเอาเห็ดหลินจือสีม่วงมาให้เจ้านี่หน่อย”
 
เฉินเฉินสะบัดมือและทำเป็นเหมือนคีบบุหรี่อยู่ในมือ
 
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา หูเซียงเอ๋อที่อยู่ข้างๆก็มองหวังเฟิงด้วยความเห็นใจ เธอรู้ว่าเจ้านายของเธอกำลังจะสอนบทเรียนให้เขา…
 
โดยปกติ หลังจากที่ถูกซ้อมมานั้น หัวก็จะค่อนข้างสับสน และด้วยเหตุนั้นเองจึงโดนหลอกได้ง่ายมาก เหมือนกับหูเซียงเอ๋อในตอนที่หลุดพ้นจากการถูกขังอยู่สองสามวัน
 
หลังจากเอาเห็ดหลินจือสีม่วงส่วนนึงให้หวังเฟิง หูเซียงเอ๋อก็ไปยืนอยู่ข้างหลังเฉินเฉินในฐานะฉากหลังอย่างรู้งาน
 
ไม่นานนัก เสียงไอก็ดังขึ้น
 
ผลของเห็ดหลินจือสีม่วงนั้นรวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานก่อนที่หวังเฟิงจะได้สติกลับมา อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาเห็นเฉินเฉิน เขาก็นึกถึงฉากน่ากลัวที่เขาถูกเล่นงานก่อนหน้านี้แล้วคุกเข่าคำนับขอความเมตตา
 
“ท่านผู้สืบทอด โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
 
“เจ้าจะร้อนรนอะไรขนาดนั้น? นั่งลงก่อนสิ”
 
เฉินเฉินชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ถัดจากเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง เหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
 
หวังเฟิงยิ้มแล้วไปนั่งเก้าอี้อย่างหวาดกลัว ณ จุดนี้ ถ้าเฉินเฉินพูดดังขึ้นอีกเล็กน้อย เขาคงจะสะดุ้งแล้วคุกเข่าขอความเมตตาในทันที
 
“เซียงเอ๋อ ไปรินน้ำชาให้คุณหวังซักแก้วซิ” เฉินเฉินบอกด้วยรอยยิ้ม
 
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียงเอ๋อก็เดินไปหาหวังเฟิงเพื่อรินน้ำชาให้เขาในทันที
 
หวังเฟิงดูสับสนเล็กน้อยในตอนที่เห็นแบบนี้ เขาครุ่นคิด ‘หรือว่าเฉินเฉินจะรู้ตัวแล้วว่าเขาใจร้อนเกินไปแล้วอยากจะขอโทษสำหรับการกระทำของเขา?’
 
ในทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ความโกรธในใจเขาก็ปะทุขึ้นเหมือนกับภูเขาไฟระเบิด!
 
‘ตอนนี้มันสายเกินกว่าที่จะยอมรับความผิดของเจ้าแล้ว!’
 
ในขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีแก้แค้น เฉินเฉินก็ตะคอกสุดเสียงขึ้นมาอย่างกระทันหัน!
 
“หวังเฟิง! ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันยังไม่รู้ตัวอีกสินะ!”
 
เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้ หวังเฟิงก็สะดุ้งจากเก้าอี้ในทันทีเหมือนกับนกขี้ตกใจ แล้วลงไปคุกเข่า
 
“ท่านผู้สืบทอด โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
 
ความคิดที่จะแก้แค้นของเขาหายไปหมดในทันที
 
เฉินเฉินเย้ยหยันแล้วจิบชาเข้าไป
 
“ไว้ชีวิตเจ้าแล้วได้ประโยชน์อะไร? ข้าไม่ใช่คนที่อยากฆ่าเจ้าซักหน่อย”
 
หวังเฟิงเหงื่อแตกพลั่กในตอนที่เขาได้ยินแบบนี้
 
‘ถ้าเฉินเฉินไม่อยากฆ่าข้า ก็หมายความว่าคนของสำนักเทียนหยุนอยากฆ่าข้าแทนใช่ไหม?’
 
ในขณะที่เขาอยู่ในสภาพพูดไม่ออก เฉินเฉินก็ถามขึ้นมาคำถามนึง
 
“หวังเฟิง ขอถามตรงๆเลยนะ เจ้าคิดว่าอนาคตสำหรับสำนักเทียนหยุนและอู๋ซินจะเป็นยังไง?”
 
หวังเฟิงตกตะลึงไม่กล้าที่จะตอบคำถาม
 
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา เฉินเฉินก็พูดต่ออย่างใจเย็น “เจ้าคงจะรู้ดีว่าสำนักอู๋ซินวางแผนจะทำอะไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีสองทางเลือกสำหรับอนาคตของสำนักเทียนหยุนและอู๋ซิน ทางเลือกแรกคงจะเป็นการที่สำนักเทียนหยุนถูกสำนักอู๋ซินกำจัดจนราบคาบ
 
“ส่วนทางเลือกที่สอง สำนักเทียนหยุนจะถูกสำนักอู๋ซินยึดไปและกลายเป็นสาขานึงของสำนักอู๋ซิน ในขณะที่ผู้อาวุโสระดับสูงจะถูกจัดตำแหน่งเพื่อให้ไปรับใช้ในเมืองหลวง จากนั้นคนของสำนักอู๋ซินก็จะเข้ามาปกครอง
 
“ในส่วนของผลลัพธ์แรก สำนักเทียนหยุนจะต้องทำการต่อต้านกลับไปบ้างอย่างแน่นอน ไม่ว่าพวกเราจะอ่อนแอแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น เจ้าคงปฏิเสธไม่ได้สินะว่าเจ้าจะได้รับความสูญเสียในตอนที่เวลามาถึง?”
 
หวังเฟิงยิ้มอย่างอึดอัดใจแล้วตอบกลับ “แน่นอน ข้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น มันคงจะดีที่สุดถ้าสำนักเทียนหยุนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอู๋ซินอย่างสันติ…”
 
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ยิ้มอย่างเย็นชา
 
เขาถาม “เจ้าคิดจริงๆหรอว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดถ้าสำนักเทียนหยุนกลายเป็นส่วนนึงของสำนักอู๋ซินอย่างสันติ…”
 
หวังเฟิงดูตึงเครียดขึ้นมาในทันทีหลังจากที่ได้ฟังคำพูดนี้ ความสับสนปรากฎขึ้นบนหน้าของเขา
 
เพื่อเป็นการตีเหล็กในตอนที่มันร้อน เฉินเฉินจึงพูดต่อ “หวังเฟิง ข้าขอถามเจ้าหน่อยนะ เจ้าได้ล่วงเกินคนในสำนักเทียนหยุนมาถึงขนาดนี้ ถ้าในอนาคตสำนักเทียนหยุนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอู๋ซินขึ้นมาจริงๆ เจ้าสำนักก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซิน ในขณะที่เจ้าเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา แล้วมันจะต้องใช้ความพยายามซักเท่าไหร่กันเชียวในการที่พวกเขาจะฆ่าศิษย์ธรรมดาอย่างเจ้า?”
 
ใบหน้าของหวังเฟิงซีดเผือด
 
มันฟังดูมีเหตุผลจริงๆ สำนักเทียนหยุนมีแรงจูงใจในการฆ่าเขาสำหรับความประพฤติชั่วร้ายทั้งหมดที่เขาเคยทำมาในอดีต
 
เฉินเฉินพยายามหลอกล่อเขาต่อ
 
“แล้วคิดว่าสำนักอู๋ซินจะทำอะไรในทันทีหลังจากที่เข้ามาในสำนักเทียนหยุนเข้ามาหล่ะ? แน่นอนว่าพวกเขาจะพยายามเข้าใกล้ทุกคนและเอาชนะใจพวกเขาใช่ไหมหล่ะ? แม้กระทั่งตัวเจ้าในตอนนี้เองก็พยายามทำอยู่ไม่ใช่หรอ?
 
“ข้าพนันเลยว่าสำนักอู๋ซินได้คิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว พวกเขาอยากให้เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าถูกเกลียดชังมากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็จะฆ่าเจ้าแล้วทุกคนในสำนักอู๋ซินก็จะถูกโกรธน้อยลง ซึ่งแบบนั้นมันจะทำให้ปกครองสำนักเทียนหยุนได้ง่ายกว่า”
 
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าของหวังเฟิงก็ยิ่งซีดหนักขึ้นไปอีก
 
อันที่จริง มันเป็นไปตามที่เฉินเฉินพูด สำนักอู๋ซินได้แนะนำให้หวังเฟิงก่อความวุ่นวายและสร้างความไม่พอใจในสำนักเทียนหยุนจริงๆ…
 
‘พวกเขาวางแผนจะให้ข้าเป็นกันชนในตอนที่เวลามาถึงและใช้ข้าเป็นเครื่องมือรับความโกรธของสำนักเทียนหยุนเพื่อให้ตัวเองเอาชนะใจพวกเขาได้ง่ายขึ้นอย่างนั้นสินะ?’
 
หลังจากที่มาคิดทบทวนดูดีๆ หวังเฟิงก็อดตัวสั่นไม่ได้ในขณะที่เหงื่อไหลท่วมบนหน้าผากของเขา
 
ในตอนที่หูเซียงเอ๋อเห็นท่าทีของหวังเฟิง เธอก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ มันเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าคนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้นั้นกำลังถูกเจ้านายของเธอล่อลวง
 
“อา!”
 
เฉินเฉินเดินเข้าไปหาหวังเฟิง แล้วช่วยพยุงเขาขึ้นมา แถมยังปัดฝุ่นออกจากตัวเขาให้ด้วย
 
“หวังเฟิง ถึงแม้ว่าสำนักอู๋ซินจะไม่ได้คิดแบบนั้นและผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเอาคืนเจ้า เจ้าก็ยังต้องคิดให้ดีนะว่าเจ้าได้อะไรจากสำนักเทียนหยุนไปมากขนาดไหนในช่วงหลายปีมานี้”
 
“เหมือนที่เขาว่ากันว่า คนที่ถูกยุยงนั้นไม่ควรถูกกล่าวโทษ เจ้าเป็นศิษย์ไร้ประโยชน์ที่อยู่ระดับฝึกพลังปราณขั้นที่หก เจ้าจะสามารถเก็บรักษาหินวิญญาณมากมายขนาดนั้นได้หรอ? ซักวันนึงเจ้าอาจจะถูกฆ่าตายในป่าก็ได้นะ…
 
“หวังเฟิง ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เจ้าได้ตายแน่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เจ้ากำลังดึงดูดปัญหามาให้ตัวเอง!”
 
เมื่อได้ฟังดังนี้ หวังเฟิงก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
 
ถ้าเป็นไปตามีที่เฉินเฉินพูด เขาได้ตายจริงๆแน่
 
ณ ตอนนี้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยวิธีการที่ทำให้เขาตายได้ทุกรูปแบบ และในขณะที่เขาคิดถึงมันมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตใจของเขาก็รับไม่ไหวอีกต่อไป
 
จิตใจของเขาได้พังทลายแล้ว

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

Type: Author:
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!” เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที “ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?” “ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!” เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว! เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ! การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ! ‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง “มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!” หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน? ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’ “อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง” นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้ “ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ” อะไรนะ?! เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง ‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา “ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่” เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย ‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน? นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้! ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา “รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ” เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้ ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน… “เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!” เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since. Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.” Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”

Options

not work with dark mode
Reset