คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 23 ภูเขาซวงถ่า

“เปล่า ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้ ตอนนั้นข้าร้อนใจ คิดเพียงแค่ตั๊กแตนตัวนี้ใกล้จะวางไข่ ศิษย์พี่หยวนถงอยากได้ตั๊กแตนหน้าหยกตัวเล็กอย่างมาก ดังนั้น จึง…จึงเลอะเลือนไปชั่วขณะ ทิ้งเจ้าไว้และหนีไป” หวาซีพยายามปฏิเสธ ท่าทางสัตย์ซื่อ บวกกับใบหน้าจริงใจ ทำให้เกิดความเชื่อถือได้จริงๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาทิ้งนางไว้แล้วหนีไปหรือไม่ จินเฟยเหยากลับคิดว่าความจริงใจที่คนผู้นี้แสดงออกมาเป็นของปลอม ให้ความรู้สึกเหมือนนางตอนหลอกลวงคน คลับคล้ายอย่างยิ่ง จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว  เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร เรื่องนี้จะแล้วกันไปแบบนี้หรือ?”

หวาซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลังเลอยู่บ้าง นานมากจึงได้เอ่ยออกมา “ข้าชดใช้เป็นไข่แมวบินได้ให้เจ้าเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้ข้าไม่มีอยู่ในมือ ต้องนำไข่ของสัตว์ภูติอื่นไปแลกเปลี่ยนกับศิษย์พี่ อีกหลายวันข้าจะไปจับสิงโตวารีหยก ใช้ลูกสิงโตวารีหยกแลกเปลี่ยนกับแมวบินได้ให้เจ้า ทว่าข้ามีคนไม่พอ ดังนั้น เจ้าสะดวกไปด้วยกันกับข้าหรือไม่?”

“หา? เจ้าคิดจะหลอกข้าไปใช้แรงงาน?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างไม่พอใจ เจ้าหมอนี่เห็นนางเป็นคนโง่หรือ?

หวาซีโบกไม้โบกมือเอ่ยอธิบายว่า “ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายถึงให้เจ้าช่วยเหลือในยามจำเป็น ถึงตอนนั้นข้าจะแบ่งลูกสิงโตวารีหยกให้เจ้าตัวหนึ่ง จากนั้นก็แลกเปลี่ยนแมวบินได้มาให้เจ้าตัวหนึ่ง”

“ข้าไม่ไป เจ้านำแมวบินได้ตัวหนึ่งมาให้ข้าก็พอ ข้าไม่ไปเสียอย่าง” จินเฟยเหยาปฏิเสธ

เห็นจินเฟยเหยามีท่าทางเด็ดขาด เขาเริ่มยุ่งยากใจขึ้นมา “แมวบินได้ถึงจะสวยงาม และขับขี่ได้ ทว่ากลับไม่มีพลังโจมตี ส่วนสิงโตวารีหยกตัวหนึ่งราคาหลายพันศิลาวิญญาณ หาเงินได้มากกว่าภารกิจที่เจ้ารับเสียอีก เจ้าก็ถือว่ารับภารกิจเพิ่มอีกครั้งเถอะ”

“ไม่ไป เจ้าเห็นว่าข้าโง่หรือ สิงโตวารีหยกเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสาม ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายจึงสามารถไปล่ามันได้ เราสองคนจะไปเป็นอาหารให้มันหรือ?” ถึงราคาหลายพันศิลาวิญญาณจะฟังดูเยอะ ทว่านางไม่ติดกับดักนี้หรอก เทียบกับศิลาวิญญาณแล้วชีวิตน้อยๆ สำคัญกว่ามาก

หวาซีพลันยิ้มอย่างเจิดจรัสอย่างกะทันหัน “เจ้าวางใจเถอะ พวกเราไปจับลูก ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับมัน ข้ารู้ว่ามีสิงโตวารีหยกตัวหนึ่ง หลายวันนี้ใกล้จะออกลูกแล้ว ถึงตอนนั้นล่อแม่สิงโตวารีหยกออกไป พวกเราก็สามารถนำลูกไปได้”

“ผู้ใดจะเป็นคนชักนำสิงโตวารีหยกไป?” ปัญหานี้ต้องถามให้แน่ใจก่อน จินเฟยเหยาหรี่ตามองเขา

ข้ากับศิษย์พี่อีกคน พวกเจ้าเพียงแค่ตั้งใจเฝ้าระวังรอบด้าน จากนั้นคนอื่นๆ ก็เข้าไปในถ้ำหยิบลูกสิงโตวารีหยก เพราะมีเพียงข้าที่รู้ว่าสิงโตวารีหยกตัวนี้อยู่ที่ใด ดังนั้นข้าต้องได้สองตัว แต่ละครั้งสิงโตวารีหยกจะให้กำเนิดลูกอย่างน้อยที่สุดสองตัว อย่างมากที่สุดมีห้าหกตัว ถึงตอนนั้นก็ได้แต่ดูโชคแล้ว ต่อให้มีเพียงตัวเดียว ข้าก็จะให้เจ้า แมวบินได้ที่ติดค้างเจ้าไว้ขอเวลาให้ข้าสักหน่อย ข้าจะคิดหาวิธี” หวาซีมีสีหน้าจริงใจ ยินดีมอบผลประโยชน์ที่เขาได้รับทั้งหมดให้แก่จินเฟยเหยา

นิ้วของจินเฟยเหยาเคาะบนโต๊ะเบาๆ ก้มหน้าลงครุ่นคิด หวาซีเองก็ไม่เร่งรัดนาง เพียงรอคอยคำตอบของนางอย่างสงบ

จินเฟยเหยาใคร่ครวญอย่างละเอียด เรื่องนี้ดูเหมือนจะคุ้มค่า อีกทั้งหัวหน้ากลุ่มของพวกเขายังไม่กลับมา ตนเองสามารถรับภารกิจได้ตามสบาย ถ้าได้ลูกสิงโตวารีหยกตัวหนึ่งจริงๆ ก็ไม่เลว เพียงแต่เหตุใดเขาจึงทำเรื่องที่ดีขนาดนี้ให้นางอย่างใจกว้าง อีกทั้งฟังจากคำพูดของเขาน่าจะเรียกคนไปไม่น้อยไม่ใช่แค่นางคนเดียว ทว่านางยังคิดไม่ออก นางยากจนถึงปานนี้จะมีอะไรให้เขาวางแผนหลอกลวง

จินเฟยเหยาทนความยั่วยวนของแมวบินได้และสิงโตวารีหยกไม่ไหว ตัดสินใจไปลองเสี่ยงดู ถ้าไม่ไหวจริงๆ ตนเองยังสามารถอาศัยเวทหนีไฟนรกหลบหนีได้

“ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้า เมื่อไหร่หรือ ข้าจะได้เตรียมตัวให้พร้อม”

เห็นจินเฟยเหยาตกลง หวาซีก็ยิ้มอย่างเบิกบานสุดๆ นำยันต์ชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก “สหายเซียนจิน นี่คือยันต์สื่อสารของข้า ตอนไปข้าจะแจ้งเจ้าล่วงหน้า น่าจะไม่นานนัก ไม่กี่วันนี้ล่ะ”

จินเฟยเหยารับยันต์มาอย่างยินดี ใช้พลังวิญญาณกวาดดูเบาๆ พบว่าด้านบนไม่มีการรับรู้อะไรจึงซุกเก็บไว้

ทั้งสองคนพูดคุยกันดีๆ ครู่หนึ่ง จึงได้ต่างคนต่างแยกย้ายจากไป เห็นหวาซีเดินไปไกลแล้ว จินเฟยเหยาก็เดินเข้าไปในร้านงานคนกลางแห่งหนึ่ง นำศิลาวิญญาณสองก้อนออกมา สอบถามเรื่องของสำนักชิงโซ่วกับคนในร้าน ครึ่งชั่วยามต่อมา ตอนนางออกมาจากร้านงานคนกลาง ก็สอบถามสภาพการณ์ของสำนักชิงโซ่วได้ถึงเจ็ดแปดส่วน จากที่ร้านงานคนกลางรู้ สำนักนี้มีลักษณะเหมือนหวาซี เป็นสำนักที่เที่ยงธรรม จัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุผล มีชื่อเสียงในทางที่ดี และทั้งสำนักนอกจากเวทมนตร์พื้นฐานทั่วไปก็เพียงอาศัยเวทขับขี่สัตว์ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างในสำนัก ในตัวของแต่ละคนมีสัตว์ปิศาจอย่างน้อยที่สุดสิบชนิด

เมื่อชื่อเสียงของสำนักดีงามขนาดนี้คาดว่าปกติคนที่ดูแลศิษย์น่าจะเข้มงวดอย่างยิ่ง จินเฟยเหยาวางใจมากขึ้น หลังจากซื้อเคล็ดพลังวิเศษที่ร้านหนังสือ นางก็กลับมายังเรือนที่สี่สิบสี่

พวกเวิงเหล่าไม่อยู่ในเรือนนานแล้ว ในห้องข้างชั้นสองที่สูงกว่ากำแพงก็มืดมิด คนเหล่านี้ต่อให้อยู่ในบ้าน ก็ย่อมต้องฝึกบำเพ็ญอยู่ในห้อง จินเฟยเหยาไม่ได้ไปรบกวนอีก ทว่ากลับไปพักผ่อนในเรือนของตนเอง

หลายวันต่อมา นางอยู่ในเรือนเล็กของตนเอง เรียนรู้เวทมนตร์ในตำราเคล็ดพลังวิเศษคร่าวๆ ก่อน ภายใต้สภาพฝืนใจใช้เวทมนตร์ในตำราเคล็ดพลังวิเศษ นางปลูกเมล็ดหญ้าวิญญาณที่ซื้อมาทั้งหมดลงไป ขณะใช้หลังมืออันสกปรกเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก มองเห็นยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งลอยมา สั่นไม่หยุดอยู่ในเขตป้องกัน

นางหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงลงมาแล้วใช้มือฉีก ขณะเดียวกันกับที่ยันต์ถ่ายทอดเสียงกลายเป็นเถ้าถ่าน เสียงของหวาซีก็ดังขึ้น

สามวันต่อมา จินเฟยเหยาแต่งกายทะมัดทะแมงยืนอยู่ตรงสถานที่ซึ่งนัดกันไว้ มองผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ไม่ไกลนักต่อแถวใช้วงเวทส่งตัว รอจนเบื่อหน่าย นางจึงพินิจดูว่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นสวมอะไรพกพาอาวุธเวทเช่นใด

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินคนเรียกนาง พอจินเฟยเหยาหันหน้าไปมองก็อดขมวดคิ้วนิดๆ ไม่ได้

หวาซีพาคนมากลุ่มหนึ่ง แอบนับเงียบๆ รวมหวาซีด้วยแล้วมีสิบเอ็ดคน นอกจากสี่คนที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย คนอื่นๆ อีกเจ็ดคนล้วนเป็นขั้นฝึกปราณช่วงกลาง อีกทั้งในนั้นยังมีสองคนคือหยวนถงและอี่ซานที่เคยได้พบกันเมื่อหลายวันก่อนด้วย หยวนถงนั้นไม่เป็นไร ทว่าอี่ซานก็มา กลับทำให้นางไม่พอใจ

ไม่รู้ว่าปีนักษัตรไม่ถูกกันหรือเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติหรือไม่ จินเฟยเหยาจึงเห็นนางเป็นที่ขัดตา อี่ซานก็เช่นเดียวกัน พบเห็นจินเฟยเหยายืนอยู่ตรงนี้แต่ไกล ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเบิกบานจึงอึมครึมขึ้นมา ทั้งสองคนต่างจับจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่ง มองเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู ไม่คิดจะปิดบังความเป็นศัตรูในใจเลยสักนิด

หยวนถงทนดูต่อไปไม่ได้ จึงฉุดดึงอี่ซานเบาๆ นางส่งเสียงฮึอย่างแรง ไม่หันหน้าไปสนใจจินเฟยเหยาอีก

เจตนาสังหารผุดขึ้นมาในใจจินเฟยเหยา แต่ว่าอีกฝ่ายมีศิษย์พี่ศิษย์น้องมากมายปานนั้น นางสะกดเจตนาสังหารไว้ชั่วคราว ปรับสีหน้าให้มีรอยยิ้มไร้พิษภัย นางเข้าไปหาหวาซีและคนของเขา

ภายใต้สายตาไถ่ถามของทุกคน หวาซีจึงอธิบายต่อบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้อง “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน นี่คือสหายของข้า จินเฟยเหยาแห่งสำนักเฉวียนเซียน ครั้งนี้การปฏิบัติภารกิจของเราขาดไปคนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงเชิญนางมาช่วยเหลือ”

จากนั้นเขาก็หันมาเอ่ยแนะนำต่อจินเฟยเหยา “สิบเอ็ดคนนี้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของข้า หลายวันก่อนเจ้าเคยพบสองคนนี้แล้ว ส่วนหลายคนนี้เป็นสหายสนิทของข้า คนนี้คือศิษย์พี่เซียว คนนี้คือศิษย์พี่เจ้า ท่านนี้คือ…”

จินเฟยเหยาฟังเขาแนะนำอย่างอดทน รอคอยให้เขาแนะนำแล้วพยักหน้ารับทราบให้คนผู้นั้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าคนเหล่านี้ชื่ออะไร นางไม่ได้ฟัง ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ผู้ใดจะไปจำชื่อของคนเหล่านี้

หลังจากทักทายอย่างเสแสร้งไปหลายคำ หวาซีก็นำทุกคนมาถึงข้างวงเวทส่งตัว มอบศิลาวิญญาณสิบก้อนให้ผู้ดูแลที่เฝ้าอยู่ด้านข้างวงเวทส่งตัว แล้วกล่าวกับคนผู้นั้นว่า “รบกวนส่งตัวไปที่ภูเขาซวงถ่า”

ภูเขาซวงถ่า จินเฟยเหยาเคยเห็นชื่อสถานที่นี้บนแผนที่ รู้แค่ว่าที่นั่นมีภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีสองยอดเขา ตรงกลางมีระดับที่แตกต่างกันอย่างมาก มองไกลๆ เหมือนหอสูงสองหลัง ดังนั้นจึงมีชื่อนี้ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ไปมาของสัตว์ปิศาจขั้นสอง ไม่รู้ว่าหวาซีรู้ได้อย่างไร ว่าที่นั่นมีสิงโตวารีหยกขั้นสาม แต่ว่านี่มิใช่เรื่องที่นางจำเป็นต้องครุ่นคิด ดังนั้นจึงติดตามทุกคนก้าวเข้าไปในวงเวทส่งตัว แสงสีขาวกระพริบวาบ คนกลุ่มหนึ่งก็ถูกส่งตัวไป

วงเวทส่งตัวที่ภูเขาซวงถ่าอยู่ห่างจากภูเขาซวงถ่า จึงเห็นแต่ยอดทั้งสองของภูเขาซวงถ่าไกลๆ ด้านล่างยอดเขาเป็นป่าทึบผืนใหญ่ เดินออกจากวงเวทส่งตัวก็เห็นพวกเขาทยอยกันโยนสัตว์พาหนะนานาชนิดออกมา แล้วขึ้นไปนั่งอย่างน่าเกรงขาม

หวาซีขี่โคจมูกยักษ์ที่อัปลักษณ์ตัวหนึ่ง ส่วนหยวนถงกลับขี่กวางผลึกหิมะที่มีสีขาวหิมะทั้งร่างแต่กลับมีเขาขนาดยักษ์สีฟ้าใสคู่หนึ่ง ส่วนอี่ซานที่จินเฟยเหยาเกลียดชังที่สุดเงยหน้าขึ้น นั่งเชิดจมูกอยู่บนนกลวดลายสีแดงตัวหนึ่ง นกตัวใหญ่ที่ทั่วร่างปกคลุมด้วยลวดลายสีแดงมีหางยาวสามอัน กู่ร้องขึ้นสู่ท้องนภาอย่างกระหยิ่มยินดี

ศิษย์ของสำนักชิงโซ่วคนอื่นๆ ก็ขับขี่สัตว์ตัวใหญ่น้อย บางตัวบินบางตัววิ่ง พร้อมใจกันมองจินเฟยเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ข้าใช้ยันต์เดินทาง พวกเจ้านำทางเถอะ” จินเฟยเหยาล้วงยันต์เดินทางออกมา แล้วเอ่ยอย่างชืดๆ

หวาซียิ้มน้อยๆ พาทุกคนไปยังภูเขาซวงถ่าอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป พาหนะกลุ่มนี้พอวิ่งขึ้นมาฝุ่นธุลีก็ฟุ้งตลบ ถ้าติดตามอยู่ด้านหลังใบหน้าต้องเปื้อนฝุ่น จินเฟยเหยาจึงขยับไปด้านข้างอยู่ห่างไม่ใกล้ไม่ไกล พอติดตามได้ทัน ทั้งใบหน้ายังไม่ต้องเปื้อนฝุ่น

เดินทางมาครึ่งชั่วยาม ทุกคนจึงมาถึงด้านนอกป่าตรงเชิงเขาของภูเขาซวงถ่า เพื่อไม่ให้สัตว์ปิศาจในป่าแตกตื่น ทุกคนจึงลงจากพาหนะมาเดินเท้า

ไม่เสียทีที่เป็นสำนักซึ่งเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ เห็นศิษย์พี่แซ่เซียวคนหนึ่งนำกระเป๋าสัตว์ภูติออกมาตบ ผีเสื้อเทาตัวใหญ่ยาวหนึ่งฉื่อก็บินออกมา มันบินวนรอบด้านรอบหนึ่ง จากนั้นก็หยุดอยู่เหนือกลุ่มคน ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร

ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว หวาซีก็พาคนเดินเข้าไปในภูเขา เดินทางไปได้ไม่ไกลนัก ผีเสื้อเทาตัวใหญ่ก็บินไปยังทิศทางหนึ่ง ส่วนทุกคนหยุดลงแล้วหลีกเลี่ยงทิศทางนั้น รอจนผีเสื้อเทากลับมาอยู่เหนือกลุ่มคนอีกครั้ง หวาซีก็พาทุกคนหาทางกลับมายังทิศที่คิดจะไป

ส่วนทิศทางที่ผีเสื้อเทาบินไป บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องคำรามของสัตว์หนึ่งถึงสองครั้ง ท่าทางผีเสื้อเทาตัวนี้สามารถรับรู้ได้ว่าเบื้องหน้ามีสัตว์ปิศาจหรือไม่ ถ้าเข้าไปในป่าแล้วมีผีเสื้อเทาแบบนี้สักตัว โอกาสที่จะพบสัตว์ปิศาจก็จะลดลง มีความปลอดภัยขึ้นมาก

Related

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset