คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 57 หมอน้อยน่ารัก

“อ๊บ” ไม่รู้ว่าพั่งจื่อแทรกออกมาจากไหน บนร่างเต็มไปด้วยคราบโลหิต ทว่าท่าทางกลับกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างยิ่ง

จินเฟยเหยายืนอยู่ไกลๆ มองทุกคนกำลังแบ่งซากงูภูติเงินทอง เห็นพั่งจื่อปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เมื่อครู่เจ้าหนีไปที่ไหนมา? คิดไม่ถึงว่าจะล่องูเข้าไปในฝูงชนอย่างไร้ยางอายขนาดนี้ ให้เจ้าแสดงฝีมือ เจ้าก็แอบเกียจคร้าน”

เห็นพั่งจื่อกลอกตาใส่นาง จินเฟยเหยาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงความแตกต่างระหว่างเจ้ากับมันจะมากเกินไปหน่อย ทว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยต่อสู้จริงมาก่อน ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังดีกับเจ้า เจ้าอย่าไม่รู้จักพอสิ งูตัวใหญ่ขนาดนี้นอนอยู่ตรงนั้น เจ้าแย่งชิงเนื้อมาบำรุงพลังวิญญาณหน่อยก็ได้?”

พั่งจื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์วาบผ่าน เห็นว่าไม่มีคนสนใจพวกนางสองคน มันก็อ้าปากให้จินเฟยเหยาดู พอจินเฟยเหยามองไปข้างใน พบว่าในปากของมันมีตานสัตว์ปิศาจขนาดเท่าเมล็ดถั่วเม็ดหนึ่ง ส่องแสงสีทองวิบวับงดงามอย่างยิ่ง

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะแย่งชิงตานสัตว์ปิศาจได้ก่อน เจ้านี่จริงๆ เลย รีบเอามาให้ข้าเร็ว ข้าจะซ่อนมันไว้ จะให้ผู้อื่นพบเห็นไม่ได้” จินเฟยเหยาดีใจสุดๆ เอ่ยเสียงเบาคิดจะยื่นมือไปหยิบในปากมัน

ผู้ใดจะรู้ว่าพั่งจื่อจะปิดปากกลืน ตานสัตว์ปิศาจถูกมันกลืนลงไปทั้งหมด ทำให้จินเฟยเหยาคว้าน้ำเหลว

“เจ้าทำอะไรน่ะ รีบคายออกมาให้ข้า สิ่งของระดับสูงเช่นนี้เป็นของที่เจ้ากินได้หรือ?” เห็นศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ถูกพั่งจื่อกลืนไปเช่นนี้ จินเฟยเหยาก็บีบคอและพยายามอ้าปากมัน

พั่งจื่อปิดปากแน่น ไม่ว่าจินเฟยเหยาจะบีบหรือเขย่าอย่างไร มันก็ไม่ยอมอ้าปาก จู่ๆ มันก็มองจินเฟยเหยา เหลือกตาขาวแล้วสลบไป

พอจินเฟยเหยาลูบตัวของมัน ก็พบว่าร้อนลวกมืออย่างยิ่ง จึงรีบยกมันวิ่งไปที่ตั้งกระโจมร้านสัตว์ภูติ พุ่งเข้าไปในกระโจม เห็นด้านในมีสัตว์ภูติที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากนอนอยู่ ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บตอนประลอง นางเหยียบพื้นที่ว่างระหว่างสัตว์ภูติเดินเข้าไปด้านใน ใช้มือฉุดดึงหมอรักษาสัตว์คนหนึ่งมาแล้วคำรามใส่อย่างวิตกกังวล “ท่านหมอสัตว์ รีบช่วยข้าดูหน่อย สัตว์ภูติของข้าจะตายแล้ว!”

“หมอสัตว์อะไรกัน เจ้าผู้นี้เหตุใดจึงเป็นแบบนี้ เจ้าสิเป็นสัตว์” ท่านหมอที่ถูกนางฉุดดึงมาหมุนตัวมา บริภาษเสียงหวานอย่างไม่พอใจ

ใบหน้าน่ารัก ดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากสีแดงจิ้มลิ้มยื่นเพราะว่าไม่พอใจ น่ารักอย่างยิ่ง ที่แท้เป็นหมอรักษาสัตว์สตรี เพื่อความสะดวกจึงมัดผมไว้ตามสบาย ทั้งยังสวมชุดสีเทาที่สามารถทนเปื้อนได้ พอจินเฟยเหยามองจากด้านหลัง ยังนึกว่านางเป็นบุรุษ

“นี่…เป็นเพราะข้าร้อนใจเกินไป ท่านหมอคนงาม เจ้าช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่? สัตว์ภูติของข้ามีอาการผิดปกติ อาจจะตายได้” เห็นหมอรักษาสัตว์หน้าตาสวยหวาน จินเฟยเหยาจึงนึกถึงกระบวนท่าที่หญิงสาวชอบที่สุดได้ รีบเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ หลังจากยอมรับผิดอย่างละอายใจก็เอ่ยอย่างขัดเขินและกังวลใจออกมา

เห็นจินเฟยเหยาท่าทางขัดเขินและเก้ๆ กังๆ ท่าทางของหมอหญิงก็อ่อนโยนลงไม่น้อย ทั้งยังเผยรอยยิ้มนิดๆ พอเห็นกบตัวใหญ่ในอ้อมกอดของจินเฟยเหยา ก็เอ่ยถามอย่างตกตะลึง “เหตุใดกบผานอวิ๋นตัวนี้จึงตัวใหญ่ขนาดนี้?”

“ท่านหมอดูอาการของมันก่อนได้หรือไม่ หากมีเวลาว่างข้าจะเล่าให้ท่านฟังว่าทำไมมันจึงตัวใหญ่ขนาดนี้” คงไม่ใช่คนที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ หรอกนะ เวลานี้ใครจะไปสนใจขนาดตัวของมัน จินเฟยเหยาไม่พอใจ ทว่ากลับไม่กล้าแสดงออกมาภายนอก หากล่วงเกินผู้อื่น เกรงว่าคงรักษาชีวิตของพั่งจื่อไว้ไม่ได้

ได้ยินนางพูดเช่นนี้ หมอหญิงก็เงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยา หน้าแดงเล็กน้อยอย่างกะทันหัน คนผู้นี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้นะพอเอ่ยปากก็นัดผู้อื่นแล้ว คงไม่ใช่จงใจทำร้ายสัตว์ภูติ จากนั้นก็หาโอกาสนัดข้าหรอกนะ ทั้งยังรู้ว่าผู้อื่นสนใจสัตว์ภูติแปลกประหลาด จึงทำกบผานอวิ๋นแบบนี้ขึ้นตัวหนึ่งโดยเฉพาะ คนผู้นี้ดูเหมือนสัตย์ซื่อ ทว่ากลับมีแผนการมากมายนัก

หมอหญิงชื่อตู้สุ่ยหลัน ในตระกูลประกอบอาชีพหมอรักษาสัตว์ภูติและเลี้ยงสัตว์ภูติสืบต่อกันมาหลายรุ่น เพียงเพราะหน้าตางดงามน่ารัก จึงมักจะมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากหาข้ออ้างมาตีสนิทกับนาง คิดจะแต่งนางเป็นคู่บำเพ็ญ ที่จริงสาเหตุหลักไม่ใช่เพราะนางหน้าตางดงามอย่างที่สุด แต่เป็นเพราะผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นล้วนป่าเถื่อนโหดร้าย หาภรรยาไม่ได้

และร้านสัตว์ภูติของตระกูลนางเป็นร้านใหญ่อันดับต้นๆ ในเมืองลั่วเซียน กำลังทรัพย์และความแข็งแกร่งล้วนไม่ธรรมดา ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับตำหนักลั่วเซียนมากมาย ดังนั้นธรณีประตูเกือบจะถูกคนที่มาขอแต่งงานเหยียบพัง นางยังเป็นโรคชอบหน้าแดง หลายครั้งล้วนทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้ามาตีสนิทเหล่านั้นเข้าใจผิด นึกว่านางหมายตาตนเอง ทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นไม่น้อย

ตอนนี้นางเข้าใจคำพูดของจินเฟยเหยาเมื่อครู่ผิดไป ก็เขินอายหน้าแดงขึ้นมา ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนด้านในจำนวนมากที่วิ่งมาจากสนามประลองอื่นโดยเฉพาะมีโทสะ เพียงเพราะว่าแค่นำกบผานอวิ๋นตัวหนึ่งมาก็กล้าตามจีบคุณหนูตู้ อีกทั้งเป็นคนร่างกายกำยำหัวสมองโง่งมคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้คุณหนูตู้หน้าแดง

จินเฟยเหยาไหนเลยจะรู้ว่าตนเองกลายเป็นเป็นหนามตำตาของบุรุษอื่นและเติงถูจื่อ[1]ไปโดยไม่ตั้งใจ อย่าว่าแต่หมอน้อยที่หน้าแดงเพราะนางเบื้องหน้าเลย ต่อให้เปลือยกายยืนอยู่เบื้องหน้านาง นางก็ไม่มีความคิดเกินเลยอะไรแน่นอน

เห็นหมอรักษาสัตว์ยืนหน้าแดงอยู่เบื้องหน้านาง ไม่ลงมือรักษาพั่งจื่อสักที จินเฟยเหยาอดเอ่ยถามอย่างร้อนใจไม่ได้ “ท่านหมอ กบผานอวิ๋นตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

“อ๋า?” ตู้สุ่ยหลันได้สติคืนมา รีบก้มหน้าลงตรวจสภาพของพั่งจื่อ ยิ่งมองคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น ท่าทางลำบากใจยิ่ง

จินเฟยเหยาเห็นนางขมวดคิ้วแน่น ในใจอดตื่นตระหนกไม่ได้ หรือว่าการบีบคอของตนเองเมื่อครู่ บีบคอพั่งจื่อตาย เจ้านี่กินอาหารของข้าไปตั้งเยอะ ยังไม่ได้ช่วยข้าทำอะไรเลย ก็มาตายไปแบบนี้? เช่นนั้นข้ามิต้องตายไปด้วยหรือ ต้มเจ้านี่กินก็ไม่ได้

ในใจคิดเช่นนี้ สายตาอดพินิจพั่งจื่อในอ้อมอกไม่ได้ พั่งจื่อตัวโต ขาหลังหยาบใหญ่ ดูเหมือนจะมีเนื้อไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งได้ยินว่ากบไม่มีไขมัน ทั้งหมดเป็นกล้ามเนื้อ ต้มเป็นน้ำแกงน่าจะมีรสชาติไม่เลว

นางครุ่นคิด พลันนึกขึ้นได้ว่าเคยกินน้ำแกงกบตุ๋นปลาหมึกในหอซานไห่ รสชาติไม่เลวจริงๆ สดใหม่ไม่เหม็นคาว เข้มข้นและนุ่มลื่น ถ้าต้มพั่งจื่อแบบนี้ ต้องกินได้อิ่มแน่ ปริมาณของน้ำแกงกบตุ๋นปลาหมึกมีน้อยเกินไป

“สหายเซียน สภาพของกบผานอวิ๋นตัวนี้ ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก” ตู้สุ่ยหลันตรวจสอบเสร็จสิ้น ก็เอ่ยกับจินเฟยเหยาด้วยสีหน้าจริงจังและไม่เข้าใจ จินเฟยเหยารีบได้สติคืนมาจากการเหม่อลอย รู้สึกขัดเขินนิดๆ เหตุใดตนเองจึงนึกถึงเรื่องกินได้นะ นางรีบเอ่ยถาม “หรือว่าช่วยไม่ได้ ต้องเก็บศพแล้ว?”

“ไม่ ไม่ใช่ สหายเซียนเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายถึงสภาพกบผานอวิ๋นของเจ้าพิเศษนิดหน่อย ดูแล้วเหมือนเข้าสู่การเลื่อนขั้น” ตู้สุ่ยหลันรีบโบกไม้โบกมือเอ่ยอธิบาย “เจ้าน่าจะรู้ โดยพื้นฐานแล้วกบผานอวิ๋นเลื่อนขั้นไม่ได้ ทว่ากบผานอวิ๋นของเจ้าตัวใหญ่ขนาดนี้ น่าจะเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ถ้าเลื่อนขั้นได้ ก็น่าจะสมเหตุสมผล”

“เลื่อนขั้น…”  จินเฟยเหยาโล่งอก น่าจะเป็นเพราะเจ้านี่กลืนตานสัตว์ปิศาจของงูภูติเงินทองเสียแปดส่วน ดังนั้นจึงสลบไปเพราะต้องเลื่อนขั้น ครั้งที่แล้วตอนมันเลื่อนขั้นเป็นสัตว์ปิศาจขั้นหนึ่ง ก็ไมได้สลบไปและไม่ได้ร้อนลวกทั้งตัว เพียงแค่หลับไปสองวัน หลังจากตื่นขึ้นมาก็ตัวโตขึ้นหน่อย ไม่มีปรากฏการณ์เหล่านี้เลย

เห็นจินเฟยเหยาครุ่นคิด ตู้สุ่ยหลันนึกว่าเขาคิดไม่ตก จึงเอ่ยปลอบประโลมอย่างสนิทสนม “สหายเซียนท่านนี้ไม่ต้องเป็นห่วง จำเป็นต้องให้มันนอนหลับอย่างสงบ รอโอกาสที่มันเลื่อนขั้นสำเร็จ ถึงตอนนั้นก็จะได้สติเอง”

“ขอบคุณท่านหมอ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว” ในเมื่อพั่งจื่อแค่เลื่อนขั้น ไม่ใช่ถูกตนเองบีบคอตาย จินเฟยเหยาก็วางใจ เอ่ยขอบคุณตู้สุ่ยหลันแล้วคิดจะจากไป ที่นี่มีสัตว์ภูติบาดเจ็บนานาชนิดนอนอยู่เต็มไปหมด กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไร

จินเฟยเหยานำพั่งจื่อในอ้อมกอดใส่ลงในกระเป๋าสัตว์ภูติอย่างวางใจ คิดจะออกไปจากที่นี่ อย่างไรเสียก็เข้ารอบย่อยสองร้อยคนแล้ว แค่รอประลองรอบสุดท้ายก็พอ ส่วนการประลองรอบสุดท้ายที่คิดมาเพื่อผู้บำเพ็ญเซียน ตกลงกันไว้นานแล้วที่อีกครึ่งเดือนให้หลัง ดังนั้นจินเฟยเหยาที่ประลองเสร็จสิ้น สามารถกลับได้แล้ว

ตู้สุ่ยหลันเห็นจินเฟยเหยารีบเดินออกจากกระโจม ก็กัดริมฝีปาก ตัดสินใจตะโกนเรียกเสียงดัง “สหายเซียน ช้าก่อน”

“ท่านหมอยังมีเรื่องอะไรหรือ? อ้อ ข้าลืมไป ยังไม่ได้จ่ายค่ารักษา ต้องการศิลาวิญญาณเท่าไร?” จินเฟยเหยาชะงักฝีเท้า นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้จ่ายค่ารักษา

ตู้สุ่ยหลันเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “แค่ดูนิดหน่อยไม่เก็บเงินค่ารักษา ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนสหายเซียน ไม่รู้ว่าสหายเซียนจะยินยอมหรือไม่?”

จินเฟยเหยามองนางอย่างงุนงง “ท่านหมอเอ่ยถึงเรื่องใด?”

“ปกติข้าชอบสัตว์ภูติแปลกๆ เป็นพิเศษ กบผานอวิ๋นของเจ้าเลื่อนขั้นได้ อยู่เหนือความรอบรู้ของข้า ข้ารู้สึกสนใจมันเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่าจะ…” ตู้สุ่ยหลันรวบรวมความกล้า พูดความคิดในใจออกมา

ที่แท้หมายความเช่นนี้ สงสัยนี่เอง จินเฟยเหยาสั่นศีรษะ ตอบอย่างหนักแน่น “ข้าไม่ขายสัตว์ภูติของข้า”

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าคิดจะถามว่าจะให้ข้าไปเยี่ยมมันบ่อยๆ หรือถามเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของมันและปกติเลี้ยงอย่างไรจากเจ้าได้หรือไม่ ข้าไม่ได้คิดจะแย่งสัตว์ภูติของเจ้า” ตู้สุ่ยหลันเห็นจินเฟยเหยาเข้าใจผิด จึงรีบอธิบาย

จินเฟยเหยามองนางอย่างหมดวาจา นึกว่าเรื่องใหญ่อะไร พูดอยู่นานก็ไม่ชัดเจนเสียที พอนึกถึงว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และอีกฝ่ายยังเปิดร้านสัตว์ภูติ ผูกสัมพันธ์เอาไว้อาจจะซื้อแมวบินได้ในราคาถูก จึงเอ่ยอย่างใจกว้าง “ไม่มีปัญหา เจ้าคิดจะถามอะไร แค่มาหาข้าก็พอ”

จินเฟยเหยาคิดนิดหนึ่ง ก็เขียนที่อยู่ในสำนักเฉวียนเซียนของตนเองลงบนกระดาษมอบให้นาง ทั้งยังบอกแซ่ของตนเองด้วย นางจะได้ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมาหาตนเองได้สะดวก

ส่วนตู้สุ่ยหลันหลังจากรับกระดาษมาดู ก็ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเซียนจิน วันหลังข้าจะไปหาท่านที่สำนักเฉวียนเซียน”

“ไม่มีปัญหา ข้าจะเตรียมขนมน้ำชาไว้รับรองเจ้า” จินเฟยเหยาตอบรับอย่างเบิกบาน จากนั้นรู้สึกได้ว่ารอบด้านมีสายตาอยากกินคนมองมา นางมองรอบด้านอย่างงุนงง เห็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษหลายคนจ้องมองตนเองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

กบผานอวิ๋นตัวนี้เลื่อนขั้นได้ก็แค่กบขั้นสอง คนเหล่านี้จ้องมองข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าสังคมทุกวันนี้ตกต่ำลงถึงขั้นนี้แล้ว? แม้แต่กบก็ยังมีคนคิดจะแย่งชิง ทั้งยังไม่เก็บอาการอีก กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว

พอนึกถึงว่าคนเหล่านี้คิดจะแย่งชิงสิ่งของของตนเอง จินเฟยเหยาก็ไม่แสดงความอ่อนแอ พลังวิญญาณปะทุ ไอสังหารรั่วไหล จ้องมองคนเหล่านั้นอย่างดุร้าย แผ่พลังกดดันออกไป

คนเหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนช่วงปลายคนนี้จะเป็นฝ่ายแสดงอานุภาพ เพลิงโทสะที่ภรรยาถูกแย่งชิงในใจยิ่งลุกไหม้อย่างโชติช่วง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset