คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 58 พ่อค้าหน้าเลือดมีอยู่ทุกที่

ไอสังหารที่พุ่งทะยานภายในกระโจมทำให้บรรดาสัตว์ภูติที่มารักษาก่อนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ สัตว์ภูติส่วนมากคำรามเสียงต่ำอย่างไม่วางใจ

ตู้สุ่ยหลันร้อนใจ บุรุษเหล่านี้เป็นอะไรกัน ถ้าสัตว์ภูติที่น่ารักเหล่านี้ตกใจกลัวจะทำอย่างไร โดยเฉพาะเจ้าหมอนี่ที่ดุร้ายที่สุด ตัวที่อุ้มอยู่ในมือยังเป็นจิ้งจอกหยกหิมะ ร่างเล็กๆ ตกใจกลัวจนสั่นไปหมด

“เจ้าเยี่ยนหง เจ้าทำอะไรน่ะ จิ้งจอกหยกหิมะตกใจกลัวแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ก็ออกไปเสีย”

เจ้าเยี่ยนหงที่อุ้มจิ้งจอกหยกหิมะ กำลังจ้องมองจินเฟยเหยาด้วยสายตาชั่วร้าย ราวกับมีความแค้นฆ่าบิดาชิงภรรยา ส่วนจินเฟยเหยากลับมีสีหน้าดูแคลน แสดงท่าทางอันธพาล ถลึงตาจ้องตอบอย่างดุร้าย

ทั้งสองคนกำลังแอบประลองความแข็งแกร่ง ได้ยินเสียงตู้สุ่ยหลันด่าทออย่างมีโทสะ เจ้าเยี่ยนหงรีบเก็บแววดุร้ายในดวงตา เอ่ยตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยนและประจบเอาใจ “คุณหนูตู้ เจ้าช่วยข้าดูเร็ว หิมะน้อยดูเหมือนจะป่วยหนัก”

ตู้สุ่ยหลันมองจิ้งจอกหยกหิมะที่ไร้เรี่ยวแรง เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “มันกินมากไป เจ้านำสัตว์ภูติมาก่อเรื่องเช่นนี้ ต่อไปข้าจะไม่ให้เจ้าเข้าบ้านข้าอีก”

“น้องตู้ เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ข้าไม่รู้ว่าจิ้งจอกหยกหิมะตัวนี้กินมากเกินไป ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะ ข้าไม่ได้บังคับมันกินอาหารเลยสักนิด ข้าจะกลับไปตรวจสอบดูว่าใครทารุณสัตว์ภูติของข้า” เจ้าเยี่ยนหงเลิกคิ้ว ราวกับมีใครหาเรื่องเขาจริงๆ

หลอกผู้อื่นยังพอได้ ตู้สุ่ยหลันย่อมไม่เชื่อลูกไม้นี้ของเขา เจ้าหมอนี่พาสัตว์ภูติล้ำค่าตัวหนึ่งมาทุกสองสามวัน ถ้าไม่ใช่เท้าแพลงก็กินของแปลกๆ แค่มองก็รู้ว่าจงใจทำให้ป่วย

“เจ้าอย่ามาที่นี่ทั้งวันเลย กระทบต่อการตรวจรักษาของข้า” ตู้สุ่ยหลันเงยหน้าขึ้นมองประตู พบว่าจินเฟยเหยาจากไปนานแล้ว

เห็นตู้สุ่ยหลันยังมองข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจ เพลิงโทสะในใจเจ้าเยี่ยนหงก็ลุกไหม้ จดจำจินเฟยเหยาเอาไว้ เห็นท่าทางของคนผู้นี้ น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เข้าร่วมการประลอง ถ้าผ่านการประลอง เขาพลันวางแผนการในใจแล้วแย้มยิ้มชั่วร้าย

จินเฟยเหยาไม่มีเวลาไปดูเขาประจบเอาใจสตรี จึงฉวยโอกาสนี้เดินออกมา นางครุ่นคิด หยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงส่งคำพูดถึงหวาซี แล้วกลับเข้าเมืองลั่วเซียน ไม่ว่าอย่างไรทุกคนเป็นสหายกัน ถึงอย่างไรก็สมควรห่วงใยหน่อย

นางไปร้านช่างไม้ก่อน คิดจะดูว่าการก่อสร้างหอน้อยเป็นอย่างไรบ้าง

เถ้าแก่เห็นจินเฟยเหยามา ก็นำนางไปลานเรือนด้านหลัง หอน้อยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ผ่านไปอีกครึ่งเดือนน่าจะส่งมอบงานได้ อย่างไรเสียในร้านช่างไม้ก็มีหัวหน้าคนงานที่เป็นผู้ฝึกปราณช่วงต้น ดังนั้นความเร็วในการก่อสร้างรวดเร็วกว่าในโลกมนุษย์มากนัก

เห็นหอน้อยมีความคืบหน้าไม่เลว จินเฟยเหยาก็สั่งทำเครื่องเรือนอีก ในเมื่อสร้างหออันงดงาม เช่นนั้นก็ต้องทำให้ดีหน่อย จะได้อาศัยอยู่ได้ สิ่งเดียวที่เสียใจคือไม่มีที่ปลูกหญ้าวิญญาณ

กลับถึงเรือน นางพบโดยบังเอิญว่าหวาซีได้รับยันต์ถ่ายทอดเสียงแล้ว ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ตอบนางด้วย

จินเฟยเหยาฉีกยันต์ถ่ายทอดเสียง จึงได้รู้ว่า หวาซีโชคร้ายถึงที่สุด คิดไม่ถึงว่ารอบแรกจะพบกับยอดฝีมือของหอจิ้งฮวา ยังไม่ทันได้ลงมืออะไร ก็ถูกอีกฝ่ายอัดตกเวที โดนคัดทิ้งไป

จินเฟยเหยาแลบลิ้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหอจิ้งฮวา ต่อให้ตนเองไม่มีประสบการณ์ ก็รู้ว่านั่นเป็นหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน เกาะลอยได้ที่มีทะเลสาบดุจกระจกข้างเกาะลอยได้ของหอชิงซวี ก็คือที่ตั้งของหอจิ้งฮวาที่รับแต่ศิษย์สตรี

คนพวกนี้เบื่อหน่ายเกินไป ไม่ขาดแคลนยาสร้างฐานชัดๆ ยังมาร่วมความครึกครื้น ลูกคุณหนูเหล่านี้ต่อให้มีพลังการบำเพ็ญเพียรเหมือนกัน แต่เคล็ดวิชาที่ร่ำเรียนและอาวุธเวทที่ใช้เป็นสิ่งของชั้นยอดที่อยู่ห่างจากของวิเศษเพียงก้าวเดียว บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ยังใช้อาวุธเวทชั้นล่างหรือชั้นกลาง พอเจอกับอาวุธเวทชั้นยอด จะสู้ชนะพวกเขาได้อย่างไร

พวกนางกลับมาเล่นบ้าๆ แบบนี้อย่างยินดี ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระและศิษย์สำนักเล็กๆ ถูกคัดทิ้ง พลาดยาสร้างฐานที่ปรารถนามาชั่วชีวิตไปเช่นนี้ จะไม่ร่ำไห้ได้หรือ คนว่างงานกลุ่มนี้ ช่างเป็นคนอิ่มที่ไม่เข้าใจความทุกข์ของคนหิวจริงๆ[1]

ปลอบใจหวาซีในยันต์ถ่ายทอดเสียง บอกเขาว่าอย่าซึมเซา เขาเข้าร่วมไม่ได้อาจจะต้องไปแย่งชิงมา แค่จำไว้ว่าต้องให้ยาสร้างฐานแก่นางเม็ดหนึ่งก็พอ ถ้าได้มากก็ให้เขากินเอง ไม่รู้ว่าหวาซีได้รับยันต์ถ่ายทอดเสียงด้วยความห่วงใยของสหายสนิทใบนี้ จะมีโทสะจนเป็นเช่นไร

มดหนึ่งผลึกในอ่างมายาจิ่งเทียนเติบโตดี ด้วยความเร็วในการถ่ายศิลาวิญญาณวันละก้อน ดูเหมือนจะอาศัยอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียนจนคุ้นเคยแล้ว พวกมันยังมีน้ำลายเหนียวแปะติดทรายสีดำสร้างรัง ทางออกสูงกว่าพื้นทรายสามฉื่อกว่า ที่เป็นห่วงนิดๆ คือเพื่อรักษาความสะอาดภายในรัง มดหนึ่งผลึกจึงถ่ายศิลาวิญญาณไว้ด้านนอกทั้งหมด เพื่อให้จินเฟยเหยาหยิบศิลาวิญญาณได้สะดวก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน การประลองรอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้น ลานประลองอยู่บนพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองลั่วเซียน ตำหนักลั่วเซียนเริ่มก่อสร้างลานประลองที่นี่เมื่อหนึ่งปีก่อน นอกจากรองรับการประลองครั้งนี้ ในอนาคตก็ใช้สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีกรณีพิพาทต่อสู้ตัดสินเป็นตายโดยเฉพาะ

ห้ามต่อสู้กันในเมืองลั่วเซียน ขอเพียงสร้างที่นี่ขึ้น บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนก็จะมีสถานที่คลี่คลายกรณีพิพาท อีกทั้งที่นี่ยังสามารถจองล่วงหน้าได้ จากนั้นหอฝูหลิงก็ให้ทุกคนลงเดิมพัน เรียกได้ว่าเงินทองไหลมาเทมา

รายชื่อผู้ประลองก็ประกาศล่วงหน้า หอฝูหลิงยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำอัตราต่อรองของผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละคนออกมาทันที จากนั้นก็กระจายไปทั่วเมืองลั่วเซียน เพื่อสร้างชื่อให้กับการประลองเป็นตายนี้

ความแค้นระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนมีมากจริงๆ เพิ่งไม่กี่วัน ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนหลายสิบคู่มาลงชื่อสมัครประลองเป็นตาย และสิทธิพิเศษเฉพาะของลานประลองเป็นตายคือ หลายวันมานี้ไม่เก็บค่าธรรมเนียมสถานที่กับผู้ลงสมัครเข้าร่วมการต่อสู้เป็นตาย อีกทั้งยังให้เงินหนึ่งในสามของที่ลงเดิมพันแก่ฝ่ายชนะอีก

เพราะเงื่อนไขข้อนี้ บรรดาพ่อค้าหัวไวที่ได้กลิ่น ก็เห็นโอกาสทางการค้าขนาดยักษ์ทันที คำนวณแล้วรอบหนึ่งสามารถชนะได้เงินหลายหมื่นถึงหลายแสนศิลาวิญญาณ ทำเงินได้มากกว่าการฆ่าสัตว์ปิศาจกระจอกๆ มากนัก ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีอาชีพเสี่ยงลงประลองเป็นตายก็ปรากฏตัว เพียงรอให้การประลองชิงยาสร้างฐานสิ้นสุดลง ก็คือวันอันบ้าคลั่งของพวกเขาแล้ว

ม้วนภาพที่ซื้อจากหอฝูหลิงก็ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้ทันสมัยตามไปด้วย จินเฟยเหยาหาหมายเลขลานประลองและคู่ต่อสู้ของตนเองในนั้นพบอย่างง่ายดาย

ลานประลองที่สิบสองในรอบที่สอง คู่ต่อสู้คือเจ้าเยี่ยนหง ฐานะคือคนตระกูลเจ้าตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนแห่งเมืองลั่วเซียน มองรูปเหมือนบนนั้น จินเฟยเหยารู้สึกว่าบังเอิญเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าคนที่คิดจะชิงพั่งจื่อที่พบในร้านรักษาสัตว์ ไม่เข้าใจว่าคุณชายแบบนี้มาเดินในเส้นทางปล้นชิงได้อย่างไร นางเริ่มศึกษาเคล็ดวิชาและอาวุธเวทของเจ้าเยี่ยนหงอย่างอะเอียด

“คงไม่ได้เข้าประตูหลัง[2]หรอกนะ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เขียนอะไรไว้เลย ทว่าอัตราเดิมพันกลับต่ำกว่าข้า ถ้าเขาชนะจ่ายแค่หนึ่งเท่า ถ้าข้าชนะจ่ายสามเท่า ท่าทางข้ากับเขาประลองกัน ข้าไม่ถูกเล็งผลเลิศเท่าไร” จินเฟยเหยามองอัตราเดิมพันด้านล่าง ตัวเลขศิลาวิญญาณที่ลงเดิมพันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คนที่ลงเดิมพันข้างเขามีมากกว่านางลิบลับ

ปกติจินเฟยเหยาไม่ค่อยสนใจตระกูลหรือคนที่มีชื่อเสียงในเมืองลั่วเซียน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเจ้าเยี่ยนหงเป็นใคร ยิ่งไม่รู้ว่าเจ้าเยี่ยนหงผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร ที่จริงตระกูลเจ้ามีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเมืองลั่วเซียน มีทรัพย์สินมากมายจนน่าตกใจ หอเซียนงามที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับหอสาวงามก็คือทรัพย์สินของตระกูลเขา ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่งดงามในนั้นมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่ง ทั้งยังพราวด้วยเสน่ห์เป็นพิเศษ เดินไปคนละทางกับความบริสุทธ์และสูงส่งของหอสาวงาม

เจ้าเยี่ยนหงนับว่าค่อนข้างได้รับความสำคัญในตระกูลเจ้า เป็นผู้เยาว์รุ่นหลังที่แข็งแกร่งในแถวหน้า อีกทั้งเวลานี้ยังกำลังแย่งชิงตำแหน่งในตระกูลกับลูกพี่ลูกน้อง ดังนั้นแต่งตู้สุ่ยหลันเป็นภรรยาก็จะเป็นทุนรอนก้อนใหญ่ที่สุดของเขา มิน่าเล่าเขาจึงใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากเข้าทางประตูหลัง ก็ต้องทำให้เขาและจินเฟยเหยาอยู่ลานประลองเดียวกันให้ได้

ที่จริงคนที่ตามจีบตู้สุ่ยหลันมีมากมาย เพียงแต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนขนาดใหญ่ ปกติทุกคนจะคุ้นเคยกันดี บนฉากหน้าต่างไม่ค่อยฉีกหน้ากัน ทว่าคนที่ไร้อำนาจและอิทธิพลเช่นจินเฟยเหยา ต่อให้เบื้องหลังมีสำนักเฉวียนเซียนก็เป็นเพียงอักษร ‘ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ’ ที่ติดอยู่บนหลังเท่านั้น หากไม่เอานางมาระบายโทสะ ก็มิใช่พฤติการณ์บ้าอำนาจของคุณชายแล้ว

จินเฟยเหยาไม่รู้ข้อมูลวงใน นึกว่าบังเอิญจริงๆ นึกถึงท่าทางของเจ้าหมอนี่ที่จับจ้องตนเองเหมือนพยัคฆ์จ้องมองเหยื่อ ก็ไม่สนใจฐานะตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนของเขา คิดเพียงว่าตอนขึ้นเวทีประลอง จะหาโอกาสลงมือสังหาร อย่างไรเสียก็เป็นการประลองพอดี ต่อให้เสียชีวิต คาดว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเข้าใจได้

จากอัตราเดิมพันของหอฝูหลิง นางรู้สึกว่าเจ้าเยี่ยนหงผู้นี้ร้ายกาจยิ่ง พั่งจื่อก็มาเลื่อนขั้นในช่วงเวลาสำคัญ ออกมาช่วยเหลือไม่ได้ ตนเองต้องเตรียมการให้พร้อมสรรพ

จินเฟยเหยาศึกษาตนเองดู พบว่าข้อดีของตนเองคือการต่อสู้ประชิดตัว ถ้าอีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาหรือของวิเศษชั้นยอดอะไรหนีไปกลางอากาศ ต่อให้ตนเองมีเวทเหยียบอากาศที่ไม่ค่อยชำนาญ เกรงว่าคงใช้ออกอย่างเต็มที่ไม่ได้ ท่าทางต้องใช้อาวุธเวทโจมตีระยะไกล

อย่างไรเสียก็มีมดหนึ่งผลึกที่ถ่ายศิลาวิญญาณได้ นางจึงไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดศิลาวิญญาณอีก จึงไปลงเดิมพันที่หอฝูหลิงซึ่งตั้งอยู่ในเมืองลั่วเซียนก่อน ลงศิลาวิญญาณชั้นล่างหนึ่งพันก้อนเดิมพันข้างตนเอง จากนั้นหิ้วศิลาวิญญาณเข้าไปในร้านยันต์ ซื้อยันต์อัคคีขั้นสองสองร้อยใบ ของสิ่งนี้ใช้แล้วสะดวก แค่โยนออกไปก็พอ ประหยัดพลังวิญญาณประหยัดเวลาเป็นสิ่งที่ต้องพกตอนออกศึก

ได้ยันต์แล้ว นางก็มาที่ร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่งที่มีหน้าร้านไม่ใหญ่นัก ร้านนี้เป็นร้านที่นางสอบถามมาได้อย่างยากเย็น เชี่ยวชาญการหลอมสร้างอาวุธเวทที่แปลกประหลาดและใช้วิธีสกปรกทำร้ายคน ถึงแม้ราคาแพง ทว่าใช้แล้วประสิทธิผลไม่ธรรมดา

ตอนจินเฟยเหยาออกมาจากในร้าน นางก็แย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย พออาสะใภ้ที่ขายผลไม้ฝั่งตรงข้ามเห็น ก็รู้ว่าร้านชั่วร้ายนี้ขายอาวุธเวททำร้ายคนได้อีกแล้ว จึงอดส่ายศีรษะทอดถอนใจไม่ได้ โลกนี้อันตรายยิ่งนัก โชคดีที่ไม่เห็นด้วยกับบุตรชายที่รบเร้าจะเข้าฝึกทักษะที่ร้านหลอมอาวุธแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นอาจจะร่ำเรียนจนเสียคนได้

จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าจะซื้อสิ่งของที่ใช้ได้ดีขนาดนี้ ถึงจะใช้ศิลาวิญญาณไปเยอะ ทว่ากลับเป็นสิ่งของที่คุ้มค่าเกินราคา แอบตัดสินใจว่าต่อไปจะซื้ออาวุธเวทแค่ที่ร้านนี้ ร้านหลอมอาวุธอื่นๆ ต่อให้ดีเพียงใดก็ไม่ไป สิ่งของที่ร้านนี้เหมาะกับตนเองและเชื่อถือได้ที่สุด

เวลาที่เหลือก็แค่รอ นางอยู่ว่างจนเบื่อหน่าย ถูกเวทซ่อนกายของซานเชียนจื่อดึงดูด ก็คันหัวใจยุบยิบคิดจะซื้อเวทซ่อนกายที่ใช้ได้ดีสักเล่ม น่าเสียดายที่หาตามร้านน้อยใหญ่รอบเมืองลั่วเซียน ขนาดแผงข้างถนนนางยังค้นดูแล้ว ก็ยังหาเคล็ดวิชาซ่อนกายระดับสูงไม่เจอสักเล่ม

นางได้แต่ตะโกนเสียงดังกับจันทราบนท้องนภาตอนไม่มีคนในเรือนอย่างช่วยไม่ได้ “อยากได้ ข้าอยากซ่อนกายได้ อยากผนึกการรั่วไหลของปราณวิญญาณได้ ทั้งยังอยากยับยั้งพลังการบำเพ็ญเพียรได้ ทางที่ดีต้องเป็นเวทซ่อนกายระดับสูงที่ไม่ต้องเสียเงิน”

หลังจากตะโกนเสียงดัง ดูเหมือนนางจะได้ยินเสียงอ่อนแรงดังมาไกลๆ ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด “เรื่องที่ดีงามขนาดนี้ เจ้าไปแย่งชิงเถอะ”

“เพ้ย วงเวทห่วยๆ ไม่ได้ซ่อมแซมมานานแล้ว แม้แต่เสียงตะโกนก็ดังเข้ามาได้ วงเวทของติงจี้ยังดี แม้แต่เสียงร้องครางในเรือนของเขายังไม่เคยดังออกมาเลย” จินเฟยเหยาด่าทออย่างโมโห ใครกันที่เบื่อหน่ายขนาดนี้แถมยังตอบมาด้วย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset